เครือสหพัฒน์ ปั้นโอซีซี-ดี ลุยธุรกิจขายตรงหลายชั้น ชงโมเดลกิฟฟารีนต้นแบบ โหนกระแส เจ-ป็อป บูม เดินเกมนำเข้าสินค้าแดนปลาดิบ นำร่องส่งสินค้าทดลองตลาด ตั้งเป้า 5 เดือนโกย 10 ล้านบาท ลั่นปีหน้ากวาดสาวขายตรง 1,000 ราย จัดทัพเครื่องสำอาง คัฟเวอร์มาร์ค สลัดคราบสินค้ารุ่นแม่ ขยายฐานวัยทำงาน
นางธีรดา อำพันวงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอ.ซี.ซี.จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องสำอางคัฟเวอร์มาร์ค เปิดเผยว่า บริษัทได้เริ่มทดลองดำเนินธุรกิจขายตรงภายใต้ชื่อ”โอซีซี-ดี” โดยเป็นการทำธุรกิจขายตรงหลายชั้น เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี้ สินค้าที่บริษัทมุ่งเน้นมีด้วยกัน 3 กลุ่ม คือ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว อาหารเสริม และเครื่องใช้ในครัวเรือน โดยสินค้าเป็นการนำเข้าในสัดส่วน 50% อาทิ ประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน และภายในประเทศ 50%
ทั้งนี้บริษัทได้นำร่องเปิดสินค้า 3 รายการ เท่านั้น ผ่านตัวแทนจำหน่ายขายตรง และผ่านช่องทางขายตรงทางเคเบิลทีวี โดยปีหน้านี้เปิดตัวสินค้า 5 รายการ อย่างไรก็ตามโมเดลการธุรกิจขายตรงของโอซีซี-ดี จะคล้ายคลึงกับกิฟฟารีน ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงหลายชั้นสัญชาติไทย สำหรับผลประกอบการในปีนี้ตั้งเป้ามีรายได้ 10 ล้านบาท
เนื่องจากเป็นช่วงแรกของการดำเนินธุรกิจเท่านั้น ขณะที่ในปีหน้านี้ตั้งเป้ามีตัวแทนจำหน่ายขายตรง 500-1,000ราย
นางธีรดา กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ตนเข้ามาบริหารงานในบริษัทกว่า 1 ปี วางเป้าหมายให้โอซีซี เป็นองค์กรเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันรายได้หลักมาจาก เครื่องสำอางคัฟเวอร์ มาร์ค 30% กลุ่มชุดว่ายน้ำและชุดชั้นในกีลาโรช 20% เครื่องสำอาง เคเอ็มเอ 10% และอื่นๆ 40% ล่าสุดบริษัทดำเนินการเชิงรุก โดยการจัดทัพกลุ่มสินค้าใหม่ วางโพซิชันนิ่งแต่ละแบรนด์ให้ชัดเจน เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายแตกต่างกัน โดยปีนี้ใช้งบการตลาด 10% ของยอดขาย
สำหรับกลุ่มเครื่องสำอางคัฟเวอร์ มาร์ค วางแผนแตกไลน์สินค้าใหม่ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มอายุ 25 ปีขึ้นไป จากเดิมฐานลูกค้าเป็นกลุ่มมีอายุ 35 ปีขึ้นไป ขณะที่เครื่องสำอางเคเอ็มเอ เจาะกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น และเปิดตัวครีมกันแดดซันเกรซ เพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้านกลุ่มชุดชั้นใน เร่งสร้างแบรนด์กินเซ่ ชูจุดเด่นเป็นผลิตสวมใส่สบาย ซักแล้วไม่หด ราคา 300-600บาท เริ่มจำหน่ายผ่านช่องทางห้างสรรพสินค้า
ภาวะตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางในปีนี้ มีอัตราการเติบโต 3-5% นับว่าเป็นการเติบโตที่ดีท่ามกลางการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สำหรับผลประกอบการของบริษัทในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโต 5% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งเป้าเติบโต 8-10% ดังนั้นบริษัทจึงทำโปรโมชั่น และการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เนื่องจากมองว่าในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี เป็นฤดูกาลจำหน่ายสินค้า และกำลังการซื้อของผู้บริโภคเริ่มฟื้น ซึ่งจะผลักดันรายได้สิ้นปีนี้โต 8% หรือมีรายได้เพิ่มจาก 1,100 ล้านบาท เป็น 1,200 ล้านบาท ตามเป้าหมาย
นางธีรดา อำพันวงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอ.ซี.ซี.จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องสำอางคัฟเวอร์มาร์ค เปิดเผยว่า บริษัทได้เริ่มทดลองดำเนินธุรกิจขายตรงภายใต้ชื่อ”โอซีซี-ดี” โดยเป็นการทำธุรกิจขายตรงหลายชั้น เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี้ สินค้าที่บริษัทมุ่งเน้นมีด้วยกัน 3 กลุ่ม คือ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว อาหารเสริม และเครื่องใช้ในครัวเรือน โดยสินค้าเป็นการนำเข้าในสัดส่วน 50% อาทิ ประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน และภายในประเทศ 50%
ทั้งนี้บริษัทได้นำร่องเปิดสินค้า 3 รายการ เท่านั้น ผ่านตัวแทนจำหน่ายขายตรง และผ่านช่องทางขายตรงทางเคเบิลทีวี โดยปีหน้านี้เปิดตัวสินค้า 5 รายการ อย่างไรก็ตามโมเดลการธุรกิจขายตรงของโอซีซี-ดี จะคล้ายคลึงกับกิฟฟารีน ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงหลายชั้นสัญชาติไทย สำหรับผลประกอบการในปีนี้ตั้งเป้ามีรายได้ 10 ล้านบาท
เนื่องจากเป็นช่วงแรกของการดำเนินธุรกิจเท่านั้น ขณะที่ในปีหน้านี้ตั้งเป้ามีตัวแทนจำหน่ายขายตรง 500-1,000ราย
นางธีรดา กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ตนเข้ามาบริหารงานในบริษัทกว่า 1 ปี วางเป้าหมายให้โอซีซี เป็นองค์กรเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันรายได้หลักมาจาก เครื่องสำอางคัฟเวอร์ มาร์ค 30% กลุ่มชุดว่ายน้ำและชุดชั้นในกีลาโรช 20% เครื่องสำอาง เคเอ็มเอ 10% และอื่นๆ 40% ล่าสุดบริษัทดำเนินการเชิงรุก โดยการจัดทัพกลุ่มสินค้าใหม่ วางโพซิชันนิ่งแต่ละแบรนด์ให้ชัดเจน เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายแตกต่างกัน โดยปีนี้ใช้งบการตลาด 10% ของยอดขาย
สำหรับกลุ่มเครื่องสำอางคัฟเวอร์ มาร์ค วางแผนแตกไลน์สินค้าใหม่ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มอายุ 25 ปีขึ้นไป จากเดิมฐานลูกค้าเป็นกลุ่มมีอายุ 35 ปีขึ้นไป ขณะที่เครื่องสำอางเคเอ็มเอ เจาะกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น และเปิดตัวครีมกันแดดซันเกรซ เพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้านกลุ่มชุดชั้นใน เร่งสร้างแบรนด์กินเซ่ ชูจุดเด่นเป็นผลิตสวมใส่สบาย ซักแล้วไม่หด ราคา 300-600บาท เริ่มจำหน่ายผ่านช่องทางห้างสรรพสินค้า
ภาวะตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางในปีนี้ มีอัตราการเติบโต 3-5% นับว่าเป็นการเติบโตที่ดีท่ามกลางการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สำหรับผลประกอบการของบริษัทในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโต 5% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งเป้าเติบโต 8-10% ดังนั้นบริษัทจึงทำโปรโมชั่น และการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เนื่องจากมองว่าในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี เป็นฤดูกาลจำหน่ายสินค้า และกำลังการซื้อของผู้บริโภคเริ่มฟื้น ซึ่งจะผลักดันรายได้สิ้นปีนี้โต 8% หรือมีรายได้เพิ่มจาก 1,100 ล้านบาท เป็น 1,200 ล้านบาท ตามเป้าหมาย