เศรษฐกิจเกาหลีใต้ยังคงแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่จะดีดตัวกลับคืนออกจากวิกฤตได้อย่างรวดเร็ว โดยสำหรับในคราวนี้ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดได้แก่ มาตรการกระตุ้นภายในประเทศ ผสมผสานกับการที่ทั่วโลกอยู่ในภาวะสต็อกสินค้าคงคลังกันอีกครั้ง
ทั้งนี้ เศรษฐกิจเกาหลีใต้ เคยแสดงความสามารถในการฟื้นชีวิตขึ้นมาได้อย่างฉับไวมาแล้วเมื่อคราวที่เกิดวิกฤตการเงินเอเชียปี 1997-98 ตอนนี้ก็สามารถเติบโตขยายตัวได้ 2.6% ในไตรมาสสองปีนี้ หากเปรียบเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งดีกว่าที่เคยประมาณการกันไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะทำได้เพียง 2.3% นอกจากนั้นในเดือนกรกฎาคมยังได้เห็นการผลิตทางอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น (เมื่อวัดกับช่วงเดียวกับของปีที่แล้ว) เป็นเดือนแรกในรอบ 10 เดือน ภายหลังจากในไตรมาสสองก็เติบโตได้มากกว่าไตรมาสแรกอย่างน่ามหัศจรรย์ถึง 8.2%
ยังมีข่าวดีๆ มาจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ซึ่งไต่ขึ้นไปอยู่ที่ 53.6 ในเดือนสิงหาคม เมื่อคำสั่งซื้อสินค้าออกเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ดัชนีนี้หากสูงเกิน 50 ก็ถือว่าเงื่อนไขต่างๆ ทางธุรกิจกำลังกระเตื้องขึ้น ในวันอังคาร(8) สถาบันการพัฒนาเกาหลี ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ แถลงว่าเศรษฐกิจของประเทศน่าจะหดตัวเพียง 0.7% ในปีปฏิทินนี้ หลังจากที่เคยทำนายไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะติดลบ 2.3%
ทางด้านธนาคารเพื่อพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ให้ความเห็นไว้ในเดือนกรกฎาคมว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้มาถึงจุดต่ำสุดแล้วเมื่อช่วงไตรมาสแรกของปีปฏิทินปัจจุบัน ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) คาดหมายว่าอัตราการฟื้นตัวของโสมขาวจะสูญเสียแรงขับเคลื่อนไปบ้าง แต่กระนั้นก็ยังคงเดินหน้าได้ต่อไปอีก
สภาพที่ทั่วโลกพากันสต็อกสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นนั้นเวลานี้กำลังมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว แต่ก็ยังมีความคาดหมายกันเป็นฉันทามติทีเดียวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯที่กำลังฟื้นตัวจะสามารถกลายเป็นปัจจัยขับดันการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของโสมขาวได้ ขณะเดียวกัน การบริภาคภายในประเทศของเกาหลีใต้ก็อาจจะทรุดต่ำลง หากรัฐบาลไม่ต่ออายุมาตรการลดภาษีที่เป็นส่วนหนึ่งของแพกเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ
การที่ค่าเงินวอนของเกาหลีใต้อยู่ในทิศทางอ่อนตัวลง ก็เปิดทางให้ผลิตภัณฑ์ของโสมขาวสามารถขยายส่วนแบ่งในตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็จะยังคงเป็นปัจจัยลบที่จะฉุดดัชนีตลาดหลักทรัพย์ให้ทรุดต่ำ แน่นอนทีเดียวว่าสถานการณ์ที่ประชาคมระหว่างประเทศยังคงประจันหน้ากับเกาหลีเหนือ ย่อมเพิ่มความเสี่ยงทางการเมืองในคาบสมุทรนี้ ทว่าปัจจัยเรื่องที่ยังมีความสามารถการผลิตเหลืออยู่ไม่ได้ใช้ และการฟื้นตัวก็ยังไม่มีความแน่นอนต่างหากที่มีน้ำหนักมากกว่าความเสี่ยงทางการเมือง ในการทำให้กิจการต่างๆ ของเกาหลีใต้ยังคงไม่วางแผนเพื่อทำการลงทุนใหม่ๆ
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ฟิตช์ เรตติ้งส์ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่รายหนึ่งของโลก มีความประทับใจกับระบบการธนาคารของเกาหลีใต้ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีความยืดหยุ่นได้ดี จึงได้ยกระดับเครดิตเรตติ้งด้านทิศทางอนาคต (outlook) ของโสมขาว จาก “ลบ” เป็น “คงที่”
ดัชนีหุ้น คอสปิ (KOSPI) ของตลาดหลักทรัพย์โซล ซึ่งมีหุ้นในหมวดธนาคารเข้าเป็นส่วนประกอบอย่างเต็มเหนี่ยวถึงสองในห้า ปิดวันพฤหัสบดี(10) ที่ระดับ 1,645 สูงขึ้น 56% จากจุดที่ลงต่ำสุดในตอนสิ้นเดือนตุลาคมปีที่แล้ว หมวดธุรกิจอื่นๆ ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญอยู่ในดัชนีหุ้นนี้เช่นกัน ยังมีอาทิ การต่อเรือ, เหล็กกล้า, อิเล็กทรอนิกส์, และรวมทั้งรถยนต์ ทั้งนี้สองหมวดท้ายสุดก็เป็นกิจการที่มีบทบาทมากทีเดียวในการขับดันให้การส่งออกพุ่งโด่งในเดือนกรกฎาคม
พวกบริษัทการเงินรายใหญ่แทบทั้งหมดต่างคาดหมายว่า ดัชนีหุ้นคอสปิ ยังจะเพิ่มสูงขึ้นต่อไปในระยะสั้นและระยะกลาง ถ้าหากไม่ใช่ในระยะยาวไกลด้วย โดยน่าจะลุยโด่งไปได้อีก 10% ภายในสิ้นปีปฏิทินนี้ และไปถึงจุดสูงสุดเอาสักประมาณไตรมาสสองหรือสามของปีนี้ ช่วงจังหวะดังกล่าวนี้สอดคล้องกันพอดีกับคำทำนายอันน่ากลัวในบางวงการที่ว่า ทั่วโลกจะต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจดำดิ่งอีกรอบหนึ่งตามรูปลักษณะการถดถอยแบบ “ดำดิ่งลงสองทอด” (double-dip) หรือ “รูปตัวดับเบิลยู” (W-shaped) ถึงแม้พวกนักวิเคราะห์ไม่ได้คาดการณ์อย่างเปิดเผยว่าดัชนีคอสปิจะเคลื่อนไหวไปในลักษณะดังกล่าวด้วย
พวกนักวิเคราะห์การเมืองพากันจัดอันดับให้เกาหลีใต้อยู่ในกลุ่มที่ตลาดการเงินและตลาดหุ้นมีความเสี่ยงสูงที่สุด สืบเนื่องจากสถานการณ์เกาหลีเหนือ ทว่าเรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นที่สนใจใยดีของพวกนักวิเคราะห์ทางการเงินและทางเศรษฐกิจ ซึ่งกลับไปให้น้ำหนักแก่พวกปัจจัยที่อาจจะประมาณการคาดคำนวณได้มากกว่า ด้วยเหตุนี้ พวกนักวิเคราะห์ด้านการเงินและเศรษฐกิจต่างมองว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้อยู่ในกลุ่มพวกที่มีทิศทางอนาคตสดใสที่สุดในเอเชีย ทั้งในอนาคตระยะใกล้และระยะกลาง
(เก็บความและตัดตอนจากเรื่อง South Korea shows recovery skills โดย Dr. R M Cutler นักวิจัยอาวุโสที่ สถาบันยุโรป รัสเซีย และยูเรเชียศึกษา มหาวิทยาลัยคาร์ลตัน ประเทศแคนาดา เขาเคยทำการวิจัยและสอนในมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั้งในสหรัฐฯ, แคนาดา, ฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์, และรัสเซีย รวมทั้งให้คำปรึกษาแก่ภาคเอกชนในหลายๆ ด้าน)
ทั้งนี้ เศรษฐกิจเกาหลีใต้ เคยแสดงความสามารถในการฟื้นชีวิตขึ้นมาได้อย่างฉับไวมาแล้วเมื่อคราวที่เกิดวิกฤตการเงินเอเชียปี 1997-98 ตอนนี้ก็สามารถเติบโตขยายตัวได้ 2.6% ในไตรมาสสองปีนี้ หากเปรียบเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งดีกว่าที่เคยประมาณการกันไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะทำได้เพียง 2.3% นอกจากนั้นในเดือนกรกฎาคมยังได้เห็นการผลิตทางอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น (เมื่อวัดกับช่วงเดียวกับของปีที่แล้ว) เป็นเดือนแรกในรอบ 10 เดือน ภายหลังจากในไตรมาสสองก็เติบโตได้มากกว่าไตรมาสแรกอย่างน่ามหัศจรรย์ถึง 8.2%
ยังมีข่าวดีๆ มาจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ซึ่งไต่ขึ้นไปอยู่ที่ 53.6 ในเดือนสิงหาคม เมื่อคำสั่งซื้อสินค้าออกเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ดัชนีนี้หากสูงเกิน 50 ก็ถือว่าเงื่อนไขต่างๆ ทางธุรกิจกำลังกระเตื้องขึ้น ในวันอังคาร(8) สถาบันการพัฒนาเกาหลี ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ แถลงว่าเศรษฐกิจของประเทศน่าจะหดตัวเพียง 0.7% ในปีปฏิทินนี้ หลังจากที่เคยทำนายไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะติดลบ 2.3%
ทางด้านธนาคารเพื่อพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ให้ความเห็นไว้ในเดือนกรกฎาคมว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้มาถึงจุดต่ำสุดแล้วเมื่อช่วงไตรมาสแรกของปีปฏิทินปัจจุบัน ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) คาดหมายว่าอัตราการฟื้นตัวของโสมขาวจะสูญเสียแรงขับเคลื่อนไปบ้าง แต่กระนั้นก็ยังคงเดินหน้าได้ต่อไปอีก
สภาพที่ทั่วโลกพากันสต็อกสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นนั้นเวลานี้กำลังมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว แต่ก็ยังมีความคาดหมายกันเป็นฉันทามติทีเดียวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯที่กำลังฟื้นตัวจะสามารถกลายเป็นปัจจัยขับดันการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของโสมขาวได้ ขณะเดียวกัน การบริภาคภายในประเทศของเกาหลีใต้ก็อาจจะทรุดต่ำลง หากรัฐบาลไม่ต่ออายุมาตรการลดภาษีที่เป็นส่วนหนึ่งของแพกเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ
การที่ค่าเงินวอนของเกาหลีใต้อยู่ในทิศทางอ่อนตัวลง ก็เปิดทางให้ผลิตภัณฑ์ของโสมขาวสามารถขยายส่วนแบ่งในตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็จะยังคงเป็นปัจจัยลบที่จะฉุดดัชนีตลาดหลักทรัพย์ให้ทรุดต่ำ แน่นอนทีเดียวว่าสถานการณ์ที่ประชาคมระหว่างประเทศยังคงประจันหน้ากับเกาหลีเหนือ ย่อมเพิ่มความเสี่ยงทางการเมืองในคาบสมุทรนี้ ทว่าปัจจัยเรื่องที่ยังมีความสามารถการผลิตเหลืออยู่ไม่ได้ใช้ และการฟื้นตัวก็ยังไม่มีความแน่นอนต่างหากที่มีน้ำหนักมากกว่าความเสี่ยงทางการเมือง ในการทำให้กิจการต่างๆ ของเกาหลีใต้ยังคงไม่วางแผนเพื่อทำการลงทุนใหม่ๆ
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ฟิตช์ เรตติ้งส์ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่รายหนึ่งของโลก มีความประทับใจกับระบบการธนาคารของเกาหลีใต้ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีความยืดหยุ่นได้ดี จึงได้ยกระดับเครดิตเรตติ้งด้านทิศทางอนาคต (outlook) ของโสมขาว จาก “ลบ” เป็น “คงที่”
ดัชนีหุ้น คอสปิ (KOSPI) ของตลาดหลักทรัพย์โซล ซึ่งมีหุ้นในหมวดธนาคารเข้าเป็นส่วนประกอบอย่างเต็มเหนี่ยวถึงสองในห้า ปิดวันพฤหัสบดี(10) ที่ระดับ 1,645 สูงขึ้น 56% จากจุดที่ลงต่ำสุดในตอนสิ้นเดือนตุลาคมปีที่แล้ว หมวดธุรกิจอื่นๆ ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญอยู่ในดัชนีหุ้นนี้เช่นกัน ยังมีอาทิ การต่อเรือ, เหล็กกล้า, อิเล็กทรอนิกส์, และรวมทั้งรถยนต์ ทั้งนี้สองหมวดท้ายสุดก็เป็นกิจการที่มีบทบาทมากทีเดียวในการขับดันให้การส่งออกพุ่งโด่งในเดือนกรกฎาคม
พวกบริษัทการเงินรายใหญ่แทบทั้งหมดต่างคาดหมายว่า ดัชนีหุ้นคอสปิ ยังจะเพิ่มสูงขึ้นต่อไปในระยะสั้นและระยะกลาง ถ้าหากไม่ใช่ในระยะยาวไกลด้วย โดยน่าจะลุยโด่งไปได้อีก 10% ภายในสิ้นปีปฏิทินนี้ และไปถึงจุดสูงสุดเอาสักประมาณไตรมาสสองหรือสามของปีนี้ ช่วงจังหวะดังกล่าวนี้สอดคล้องกันพอดีกับคำทำนายอันน่ากลัวในบางวงการที่ว่า ทั่วโลกจะต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจดำดิ่งอีกรอบหนึ่งตามรูปลักษณะการถดถอยแบบ “ดำดิ่งลงสองทอด” (double-dip) หรือ “รูปตัวดับเบิลยู” (W-shaped) ถึงแม้พวกนักวิเคราะห์ไม่ได้คาดการณ์อย่างเปิดเผยว่าดัชนีคอสปิจะเคลื่อนไหวไปในลักษณะดังกล่าวด้วย
พวกนักวิเคราะห์การเมืองพากันจัดอันดับให้เกาหลีใต้อยู่ในกลุ่มที่ตลาดการเงินและตลาดหุ้นมีความเสี่ยงสูงที่สุด สืบเนื่องจากสถานการณ์เกาหลีเหนือ ทว่าเรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นที่สนใจใยดีของพวกนักวิเคราะห์ทางการเงินและทางเศรษฐกิจ ซึ่งกลับไปให้น้ำหนักแก่พวกปัจจัยที่อาจจะประมาณการคาดคำนวณได้มากกว่า ด้วยเหตุนี้ พวกนักวิเคราะห์ด้านการเงินและเศรษฐกิจต่างมองว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้อยู่ในกลุ่มพวกที่มีทิศทางอนาคตสดใสที่สุดในเอเชีย ทั้งในอนาคตระยะใกล้และระยะกลาง
(เก็บความและตัดตอนจากเรื่อง South Korea shows recovery skills โดย Dr. R M Cutler นักวิจัยอาวุโสที่ สถาบันยุโรป รัสเซีย และยูเรเชียศึกษา มหาวิทยาลัยคาร์ลตัน ประเทศแคนาดา เขาเคยทำการวิจัยและสอนในมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั้งในสหรัฐฯ, แคนาดา, ฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์, และรัสเซีย รวมทั้งให้คำปรึกษาแก่ภาคเอกชนในหลายๆ ด้าน)