ASTVผู้จัดการรายวัน – “วีระ สมความคิด” ระดมพลไล่เขมรออกนอกดินแดนไทยหลังรัฐบาลนิ่งเฉยปล่อยให้สร้างถนน ชุมชน ปักหลักถาวรบนเขตแดนไทย 4.6 ตร.กม. ลั่นพร้อมคุยกับรัฐบาลแต่ต้องออนแอร์สดผ่านฟรีทีวีให้คนไทยทั้งประเทศรู้ ด้านประชาชนชาวศรีสะเกษตื่นตัวพร้อมรวมพลังครั้งใหญ่ 19 ก.ย.ขับไล่ผู้รุกล้ำดินแดน
นายวีระ สมความคิด ประธานคณะกรรมการอำนวยการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น กล่าวถึงการรวมตัวของประชาชนในวันที่ 19 ก.ย.นี้ เพี่อเรียกร้องและผลักดันให้ชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ประเทศไทยบริเวณเขาพระวิหารว่า ก่อนหน้านี้ทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ต่างออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เสียดินแดน ไม่ได้ปล่อยให้ชาวกัมพูชารุกล้ำดินแดนไทย แต่เมื่อเราลงพื้นที่ และนำภาพถ่ายออกมาเผยแพร่ก็กลับออกมายอมรับว่าอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อปรับพื้นที่ เป็นพื้นที่ที่มีการปรับและรุกล้ำเข้ามาในปีนี้เอง ตั้งแต่บริเวณช่องเขามะเขือ ที่มีการสร้างถนนจากบ้านโกมุยแบ่งทางเข้ามาเป็น 2 ทาง คือ ทางวัดแก้ว และทางศาลภูมะเขือ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนายอภิสิทธิ์ที่ปล่อยปละละเลย
ส่วนการเจรจาของรัฐบาลให้ผลักดันคนกัมพูชาออกไป ตนถามว่าใครจะออกไปเมื่อเขาสร้างถนน ตัดต้นไม้ สร้างชุมชนขึ้นมาแล้ว ใครจะออกไป เมื่อเขาได้เปรียบอย่างชัดเจน ที่สุดแล้วการเจรจาของรัฐบาลไทยกับกัมพูชาก็คือเราต้องยอม แต่ตนจะบอกว่าประชาชนอย่างตนไม่ยอม รัฐบาลไม่มีสิทธิ์เจรจาแทนประชาชนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินของประชาชนคนไทยได้ จะบอกว่า ปล่อยให้ใครเข้ามาอยู่ในแผ่นดินไทยก็ได้เพื่อรักษาสัมพันธภาพและความร่วมระหว่างกันไม่ได้ ไม่มีประเทศไหนเขาทำกัน ที่ปล่อยให้กองกำลังทหารเข้ามาในพื้นที่พร้อมอาวุธ ทั้งยังตั้งกองกำลังอยู่ในพื้นที่ของเรา ไม่มีประเทศไหนเขาทำกันต่างประเทศเองก็ไม่มีใครยอม
***ไล่คนเขมรออกนอกพื้นที่ก่อนเจรจา
“เรื่องนี้เราเจรจาไม่ได้ สิ่งเดียวที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ต้องทำ คือ การผลักดันให้คนของเขาออกไปก่อน แล้วค่อยเจรจา พร้อมทั้งทำหนังสือประท้วงไปยังรัฐบาลกัมพูชา นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่รัฐบาลทำคือการสั่งห้ามทหารยิง เพราะกลัวเสียความร่วมมือระหว่างกัน ผมอยากจะบอกว่าทุกประเทศที่มีเพื่อนบ้านกันมีความร่วมมือด้วยกันทั้งนั้น แต่ไม่มีประเทศไหนยอมให้ใครลุกล้ำพื้นที่ประเทศของตนเอง ลองง่ายๆ ไทยลองส่งทหารเข้าไปแถวชายแดนประเทศอื่น อย่างปอยเปต บอกว่าจะมารักษาบ่อนการพนันของคนไทยดูสิ ลองดูว่ากัมพูชาจะปล่อยให้เราเข้าไปหรือไม่ แล้วมาบอกเจรจา ผมถามว่าใครจะยอมเสียเปรียบ” นายวีระกล่าว
นายวีระกล่าวว่า สิ่งนี้คือเหตุที่เรากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงต้องรวมตัวกันเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 71 ระบุชัดว่า ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องป้องกันและรักษาผลประโยชน์ของประเทศ เป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ เมื่อคนมีอำนาจมีหน้าที่ทั้งรัฐบาล ทหาร ไม่ทำก็ต้องเป็นหน้าที่ของประชาชน ซึ่งในวันที่ 19 ก.ย.นี้เราจะรวมตัวกันเพื่อผลักดันคนกัมพูชาออกไป และจะอยู่จนกว่าจะสำเร็จ
ส่วนที่ นายอภิสิทธิ์ระบุว่า พร้อมคุยและรับทราบข้อมูลในการแก้ปัญหาเขาพระวิหาร นั้น นายวีระ กล่าวว่า ตนยินดีคุยกับรัฐบาล คุยกับนายกฯ หรือจะยกกันมาทั้งคณะรัฐมนตรีก็ได้ แต่ต้องมีการถ่ายทอดสดทางช่องโทรทัศน์ของรัฐ เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้ข้อมูลด้วย ไม่ใช่มาคุยกันแล้วประชาชนคนไทยคนอื่นไม่รู้ เรื่องนี้อยากให้นายกฯ รักษาคำพูดให้มีการคุยกัน
***"ปชช.ศรีสะเกษ"รณรงค์ทั่วเมือง
วานนี้ (14 ก.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ กลุ่มเครือข่ายประชาชนปกป้องแผ่นดินไทยศรีสะเกษ และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ศรีสะเกษ ร่วมกับประชาชนชาวศรีสะเกษ นักเรียน นักศึกษา จากหลายสถาบันการศึกษา กว่า 300 คน นำโดยนายอรุณศักดิ์ โอชารถ ที่ปรึกษาเครือข่ายประชาชนปกป้องแผ่นดินไทยศรีสะเกษ และนายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ ประธานโครงการ รวมใจไทยทวงคืนเขาพระวิหาร 19 จังหวัดภาคอีสาน และคณะ ได้มารวมตัวกันพร้อมธงชาติไทยและป้ายขนาดใหญ่ข้อความ "ทวงคืนแผ่นดินไทยเขาพระวิหาร" เพื่อรณรงค์ทวงแผ่นดินไทยคืนเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
โดยได้ร่วมกันปฏิญาณตนต่อหน้าพระบรมรูปทรงม้า รัชกาลที่ 5 เสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ระบุว่า ประชาชนชาวศรีสะเกษทุกคนพร้อมที่จะเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตในการปกป้องรักษาแผ่นดินไทยและทวงคืนเขาพระวิหารให้กลับมาเป็นของชาติไทย และร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี จากนั้นได้เคลื่อนขบวนเดินรณรงค์ทวงคืนเขาพระวิหาร ไปตามถนนทุกสายในเขตตัวเมืองศรีสะเกษ
***ยันพื้นที่4.6ตร.กม.ของไทย
นายอรุณศักดิ์ โอชารถ ที่ปรึกษาเครือข่ายประชาชนปกป้องแผ่นดินไทยศรีสะเกษ กล่าวว่า พวกเรามารวมตัวกันเพื่อแสดงพลังต่อสู้ให้โลกรู้ว่า แผ่นดินเขาพระวิหารทั้งหมด ตั้งแต่หน้าผาสูงบริเวณสันปันน้ำและผืนดินรอบประสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) เป็นของประเทศไทยและของประชาชนชาวไทยทุกคน
ดังนั้น เพื่อคัดค้านการยึดครองแผ่นดินไทยของกัมพูชาที่บริเวณเขาพระวิหารดังกล่าว จึงขอเรียกร้องให้ประชาชนชาวศรีสะเกษและชาวไทยทุกคน ออกมาร่วมชุมนุมแสดงพลังทวงคืนแผ่นดินไทยเขาพระวิหาร ครั้งใหญ่พร้อมกัน ในวันที่ 19 ก.ย.นี้ที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยผลักดันทหารและประชาชนชาวกัมพูชาให้ออกจากแผ่นดินไทยทันที
***ศาลแพ่งยกฟ้องคดีฟ้องฮุนเซ็น
เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาในคดีที่ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระ กับพวกรวม 9 คน เป็นโจทก์ฟ้องสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา, นายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการกัมพูชา และนายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เป็นจำเลยที่ 1-3 ฐานละเมิดสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่า ปราสาทเขาพระวิหารและบริเวณพื้นที่โดยรอบตั้งอยู่ในเขตแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่ให้ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของประเทศกัมพูชานั้น เป็นการไม่ชอบ เพราะศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่มีเขตอำนาจใดๆ เหนือคดีปราสาทฯ และคำพิพากษาดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงไม่มีผลผูกพันต่อโจทก์ทั้ง 9 และปวงชนชาวไทย ตั้งแต่ พ.ศ.2550 ถึงปัจจุบัน จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันกระทำละเมิดรุกล้ำเข้ามาก่อสร้างอาคารต่างๆ เป็นจำนวนมาก เช่น ร้านค้า วัด ทั้งยังนำกำลังทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาในตัวปราสาทอันเป็นพื้นที่พิพาท โดยมีเจตนายึดถือครอบครอง และอ้างสิทธิเหนือตัวปราสาทฯ และบริเวณพื้นที่ดังกล่าว
ต่อมาจำเลยทั้งสามกับพวกได้สมคบกันนำปราสาทฯ และพื้นที่บริเวณที่มีข้อพิพาทไปขอจดทะเบียนต่อคณะกรรมการมรดกโลกโดยมิชอบ ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าปราสาทและบริเวณข้อพิพาทอยู่ในอำนาจอธิปไตยของประเทศไทย ทั้งขัดต่ออนุสัญญามรดกโลก พ.ศ.1972 โดยขอให้ศาลพิพากษาว่าอำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทฯ และพื้นที่พิพาทเป็นของโจทก์ ปวงชนชาวไทย และประเทศไทย ห้ามจำเลยทั้งสามกับพวกเข้าเกี่ยวข้อง ขอให้ถอนทหารและอพยพราษฎรชาวกัมพูชาออกไป ให้มีคำสั่งให้นายทะเบียนมรดกโลก เพิกถอนการรับจดทะเบียน ปราสาทฯ และพื้นที่พิพาทเป็นมรดกโลกของคณะกรรมการยูเนสโก มิฉะนั้นให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา กับให้พิพากษาว่า “เส้นสันปันน้ำตอนเขาพนมดงรัก” เป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ตลอดแนวเขตแดนดังกล่าว
ศาลพิเคราะห์แล้วว่ากรณีที่โจทก์ทั้ง 9 ขอให้ศาลมีคำพิพากษาตามฟ้องมานั้น เห็นว่ากรณีเป็นเรื่องที่พิพาทเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยระหว่างประเทศ และบูรณภาพเหนือดินแดนระหว่างประเทศไทย และประเทศกัมพูชา หรือเป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐต่อรัฐ ไม่ได้เป็นข้อพิพาททางแพ่ง การที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะพิพากษาอย่างไร และคณะกรรมการมรดกโลกจะพิจารณาจดทะเบียนปราสาทฯหรือไม่ เป็นการกระทำในฐานะองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายระหว่างประเทศ อีกทั้งการที่จำเลยทั้งกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดต่อคำฟ้องโจทก์ เป็นเรื่องการใช้อำนาจในฐานะผู้บริหารประเทศกัมพูชา มิใช่การกระทำในฐานะส่วนบุคคลซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายของประเทศไทย แม้ว่าโจทก์ในฐานะปวงชนชาวไทยจะเป็นผู้มีส่วนได้รับผลกระทบจากคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างระเทศ และของคณะกรรมการมรดกโลก ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะฟ้องต่อศาลแพ่ง และตามคำขอของโจทก์ทั้ง 9 อยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจที่ศาลแพ่งจะบังคับได้ โจทก์ทั้ง 9 จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 พิพากษายกฟ้อง
***“ประวิตร”ยันทำตามข้อตกลง
พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์บริเวณปราสาทพระวิหาร ว่า ไม่มีอะไรเพราะมีคณะกรรมการชายแดนในทุกระดับบริหารงานไป แต่ละขั้นตอนเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นคนไทยต้องรักษาแผ่นดินไทย ให้ดีที่สุด เพราะนั้นไม่มีทางที่จะยอมให้เราเสียดินแดน ซึ่งการทำอะไรก็ตามที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งของแต่ละประเทศต้องพิจารณาดูให้ดี ทุกอย่างรัฐบาลต้องทำตามข้อตกลงและกฎหมายที่ร่วมมือกันระหว่างประเทศ ซึ่งเราสามารถดูแลพื้นที่อธิปไตยของประเทศได้ไม่ต้องห่วง เพราะทั้งสองประเทศได้มีการพูดคุยกันอยู่แล้ว เพราะแต่ละประเทศก็ต้องรักษาอธิปไตยของตัวเอง ทั้งนี้ได้มีการพุดคุยกันในระดับคณะกรรมการ จีบีซี. และเรื่องตามแนวชายแดน ก็เรียบร้อยดี สิ่งไหนที่เป็นข้อตกลงก็ต้องทำตาม
***ป.ป.ช.เลื่อนชี้มูลคดีพระวิหาร
น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช. ) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการปปช.ในวันที่15 กันยายน 2552 จะยังไม่มีการพิจารณาวินิจฉัยชี้มูลคดีที่คณะรัฐมนตรีนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี มีมติให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เนื่องจากมีคณะกรรมการปปช.หลายคน ติดราชการต้องเดินทางไปต่างประเทศ ส่วนในวาระการประชุมนั้นจะมีการพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการในท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งตนก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถวินิจฉัยชี้มูลความผิดได้หรือไม่ โดยในกรณีนี้จะมีการพิจราณาอีกครั้งก็จะเป็น ในวันอังคารที่ 22 กันยายน นี้
นายวีระ สมความคิด ประธานคณะกรรมการอำนวยการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น กล่าวถึงการรวมตัวของประชาชนในวันที่ 19 ก.ย.นี้ เพี่อเรียกร้องและผลักดันให้ชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ประเทศไทยบริเวณเขาพระวิหารว่า ก่อนหน้านี้ทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ต่างออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เสียดินแดน ไม่ได้ปล่อยให้ชาวกัมพูชารุกล้ำดินแดนไทย แต่เมื่อเราลงพื้นที่ และนำภาพถ่ายออกมาเผยแพร่ก็กลับออกมายอมรับว่าอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อปรับพื้นที่ เป็นพื้นที่ที่มีการปรับและรุกล้ำเข้ามาในปีนี้เอง ตั้งแต่บริเวณช่องเขามะเขือ ที่มีการสร้างถนนจากบ้านโกมุยแบ่งทางเข้ามาเป็น 2 ทาง คือ ทางวัดแก้ว และทางศาลภูมะเขือ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนายอภิสิทธิ์ที่ปล่อยปละละเลย
ส่วนการเจรจาของรัฐบาลให้ผลักดันคนกัมพูชาออกไป ตนถามว่าใครจะออกไปเมื่อเขาสร้างถนน ตัดต้นไม้ สร้างชุมชนขึ้นมาแล้ว ใครจะออกไป เมื่อเขาได้เปรียบอย่างชัดเจน ที่สุดแล้วการเจรจาของรัฐบาลไทยกับกัมพูชาก็คือเราต้องยอม แต่ตนจะบอกว่าประชาชนอย่างตนไม่ยอม รัฐบาลไม่มีสิทธิ์เจรจาแทนประชาชนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินของประชาชนคนไทยได้ จะบอกว่า ปล่อยให้ใครเข้ามาอยู่ในแผ่นดินไทยก็ได้เพื่อรักษาสัมพันธภาพและความร่วมระหว่างกันไม่ได้ ไม่มีประเทศไหนเขาทำกัน ที่ปล่อยให้กองกำลังทหารเข้ามาในพื้นที่พร้อมอาวุธ ทั้งยังตั้งกองกำลังอยู่ในพื้นที่ของเรา ไม่มีประเทศไหนเขาทำกันต่างประเทศเองก็ไม่มีใครยอม
***ไล่คนเขมรออกนอกพื้นที่ก่อนเจรจา
“เรื่องนี้เราเจรจาไม่ได้ สิ่งเดียวที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ต้องทำ คือ การผลักดันให้คนของเขาออกไปก่อน แล้วค่อยเจรจา พร้อมทั้งทำหนังสือประท้วงไปยังรัฐบาลกัมพูชา นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่รัฐบาลทำคือการสั่งห้ามทหารยิง เพราะกลัวเสียความร่วมมือระหว่างกัน ผมอยากจะบอกว่าทุกประเทศที่มีเพื่อนบ้านกันมีความร่วมมือด้วยกันทั้งนั้น แต่ไม่มีประเทศไหนยอมให้ใครลุกล้ำพื้นที่ประเทศของตนเอง ลองง่ายๆ ไทยลองส่งทหารเข้าไปแถวชายแดนประเทศอื่น อย่างปอยเปต บอกว่าจะมารักษาบ่อนการพนันของคนไทยดูสิ ลองดูว่ากัมพูชาจะปล่อยให้เราเข้าไปหรือไม่ แล้วมาบอกเจรจา ผมถามว่าใครจะยอมเสียเปรียบ” นายวีระกล่าว
นายวีระกล่าวว่า สิ่งนี้คือเหตุที่เรากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงต้องรวมตัวกันเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 71 ระบุชัดว่า ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องป้องกันและรักษาผลประโยชน์ของประเทศ เป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ เมื่อคนมีอำนาจมีหน้าที่ทั้งรัฐบาล ทหาร ไม่ทำก็ต้องเป็นหน้าที่ของประชาชน ซึ่งในวันที่ 19 ก.ย.นี้เราจะรวมตัวกันเพื่อผลักดันคนกัมพูชาออกไป และจะอยู่จนกว่าจะสำเร็จ
ส่วนที่ นายอภิสิทธิ์ระบุว่า พร้อมคุยและรับทราบข้อมูลในการแก้ปัญหาเขาพระวิหาร นั้น นายวีระ กล่าวว่า ตนยินดีคุยกับรัฐบาล คุยกับนายกฯ หรือจะยกกันมาทั้งคณะรัฐมนตรีก็ได้ แต่ต้องมีการถ่ายทอดสดทางช่องโทรทัศน์ของรัฐ เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้ข้อมูลด้วย ไม่ใช่มาคุยกันแล้วประชาชนคนไทยคนอื่นไม่รู้ เรื่องนี้อยากให้นายกฯ รักษาคำพูดให้มีการคุยกัน
***"ปชช.ศรีสะเกษ"รณรงค์ทั่วเมือง
วานนี้ (14 ก.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ กลุ่มเครือข่ายประชาชนปกป้องแผ่นดินไทยศรีสะเกษ และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ศรีสะเกษ ร่วมกับประชาชนชาวศรีสะเกษ นักเรียน นักศึกษา จากหลายสถาบันการศึกษา กว่า 300 คน นำโดยนายอรุณศักดิ์ โอชารถ ที่ปรึกษาเครือข่ายประชาชนปกป้องแผ่นดินไทยศรีสะเกษ และนายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ ประธานโครงการ รวมใจไทยทวงคืนเขาพระวิหาร 19 จังหวัดภาคอีสาน และคณะ ได้มารวมตัวกันพร้อมธงชาติไทยและป้ายขนาดใหญ่ข้อความ "ทวงคืนแผ่นดินไทยเขาพระวิหาร" เพื่อรณรงค์ทวงแผ่นดินไทยคืนเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
โดยได้ร่วมกันปฏิญาณตนต่อหน้าพระบรมรูปทรงม้า รัชกาลที่ 5 เสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ระบุว่า ประชาชนชาวศรีสะเกษทุกคนพร้อมที่จะเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตในการปกป้องรักษาแผ่นดินไทยและทวงคืนเขาพระวิหารให้กลับมาเป็นของชาติไทย และร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี จากนั้นได้เคลื่อนขบวนเดินรณรงค์ทวงคืนเขาพระวิหาร ไปตามถนนทุกสายในเขตตัวเมืองศรีสะเกษ
***ยันพื้นที่4.6ตร.กม.ของไทย
นายอรุณศักดิ์ โอชารถ ที่ปรึกษาเครือข่ายประชาชนปกป้องแผ่นดินไทยศรีสะเกษ กล่าวว่า พวกเรามารวมตัวกันเพื่อแสดงพลังต่อสู้ให้โลกรู้ว่า แผ่นดินเขาพระวิหารทั้งหมด ตั้งแต่หน้าผาสูงบริเวณสันปันน้ำและผืนดินรอบประสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) เป็นของประเทศไทยและของประชาชนชาวไทยทุกคน
ดังนั้น เพื่อคัดค้านการยึดครองแผ่นดินไทยของกัมพูชาที่บริเวณเขาพระวิหารดังกล่าว จึงขอเรียกร้องให้ประชาชนชาวศรีสะเกษและชาวไทยทุกคน ออกมาร่วมชุมนุมแสดงพลังทวงคืนแผ่นดินไทยเขาพระวิหาร ครั้งใหญ่พร้อมกัน ในวันที่ 19 ก.ย.นี้ที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยผลักดันทหารและประชาชนชาวกัมพูชาให้ออกจากแผ่นดินไทยทันที
***ศาลแพ่งยกฟ้องคดีฟ้องฮุนเซ็น
เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาในคดีที่ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระ กับพวกรวม 9 คน เป็นโจทก์ฟ้องสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา, นายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการกัมพูชา และนายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เป็นจำเลยที่ 1-3 ฐานละเมิดสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่า ปราสาทเขาพระวิหารและบริเวณพื้นที่โดยรอบตั้งอยู่ในเขตแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่ให้ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของประเทศกัมพูชานั้น เป็นการไม่ชอบ เพราะศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่มีเขตอำนาจใดๆ เหนือคดีปราสาทฯ และคำพิพากษาดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงไม่มีผลผูกพันต่อโจทก์ทั้ง 9 และปวงชนชาวไทย ตั้งแต่ พ.ศ.2550 ถึงปัจจุบัน จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันกระทำละเมิดรุกล้ำเข้ามาก่อสร้างอาคารต่างๆ เป็นจำนวนมาก เช่น ร้านค้า วัด ทั้งยังนำกำลังทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาในตัวปราสาทอันเป็นพื้นที่พิพาท โดยมีเจตนายึดถือครอบครอง และอ้างสิทธิเหนือตัวปราสาทฯ และบริเวณพื้นที่ดังกล่าว
ต่อมาจำเลยทั้งสามกับพวกได้สมคบกันนำปราสาทฯ และพื้นที่บริเวณที่มีข้อพิพาทไปขอจดทะเบียนต่อคณะกรรมการมรดกโลกโดยมิชอบ ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าปราสาทและบริเวณข้อพิพาทอยู่ในอำนาจอธิปไตยของประเทศไทย ทั้งขัดต่ออนุสัญญามรดกโลก พ.ศ.1972 โดยขอให้ศาลพิพากษาว่าอำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทฯ และพื้นที่พิพาทเป็นของโจทก์ ปวงชนชาวไทย และประเทศไทย ห้ามจำเลยทั้งสามกับพวกเข้าเกี่ยวข้อง ขอให้ถอนทหารและอพยพราษฎรชาวกัมพูชาออกไป ให้มีคำสั่งให้นายทะเบียนมรดกโลก เพิกถอนการรับจดทะเบียน ปราสาทฯ และพื้นที่พิพาทเป็นมรดกโลกของคณะกรรมการยูเนสโก มิฉะนั้นให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา กับให้พิพากษาว่า “เส้นสันปันน้ำตอนเขาพนมดงรัก” เป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ตลอดแนวเขตแดนดังกล่าว
ศาลพิเคราะห์แล้วว่ากรณีที่โจทก์ทั้ง 9 ขอให้ศาลมีคำพิพากษาตามฟ้องมานั้น เห็นว่ากรณีเป็นเรื่องที่พิพาทเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยระหว่างประเทศ และบูรณภาพเหนือดินแดนระหว่างประเทศไทย และประเทศกัมพูชา หรือเป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐต่อรัฐ ไม่ได้เป็นข้อพิพาททางแพ่ง การที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะพิพากษาอย่างไร และคณะกรรมการมรดกโลกจะพิจารณาจดทะเบียนปราสาทฯหรือไม่ เป็นการกระทำในฐานะองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายระหว่างประเทศ อีกทั้งการที่จำเลยทั้งกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดต่อคำฟ้องโจทก์ เป็นเรื่องการใช้อำนาจในฐานะผู้บริหารประเทศกัมพูชา มิใช่การกระทำในฐานะส่วนบุคคลซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายของประเทศไทย แม้ว่าโจทก์ในฐานะปวงชนชาวไทยจะเป็นผู้มีส่วนได้รับผลกระทบจากคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างระเทศ และของคณะกรรมการมรดกโลก ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะฟ้องต่อศาลแพ่ง และตามคำขอของโจทก์ทั้ง 9 อยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจที่ศาลแพ่งจะบังคับได้ โจทก์ทั้ง 9 จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 พิพากษายกฟ้อง
***“ประวิตร”ยันทำตามข้อตกลง
พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์บริเวณปราสาทพระวิหาร ว่า ไม่มีอะไรเพราะมีคณะกรรมการชายแดนในทุกระดับบริหารงานไป แต่ละขั้นตอนเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นคนไทยต้องรักษาแผ่นดินไทย ให้ดีที่สุด เพราะนั้นไม่มีทางที่จะยอมให้เราเสียดินแดน ซึ่งการทำอะไรก็ตามที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งของแต่ละประเทศต้องพิจารณาดูให้ดี ทุกอย่างรัฐบาลต้องทำตามข้อตกลงและกฎหมายที่ร่วมมือกันระหว่างประเทศ ซึ่งเราสามารถดูแลพื้นที่อธิปไตยของประเทศได้ไม่ต้องห่วง เพราะทั้งสองประเทศได้มีการพูดคุยกันอยู่แล้ว เพราะแต่ละประเทศก็ต้องรักษาอธิปไตยของตัวเอง ทั้งนี้ได้มีการพุดคุยกันในระดับคณะกรรมการ จีบีซี. และเรื่องตามแนวชายแดน ก็เรียบร้อยดี สิ่งไหนที่เป็นข้อตกลงก็ต้องทำตาม
***ป.ป.ช.เลื่อนชี้มูลคดีพระวิหาร
น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช. ) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการปปช.ในวันที่15 กันยายน 2552 จะยังไม่มีการพิจารณาวินิจฉัยชี้มูลคดีที่คณะรัฐมนตรีนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี มีมติให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เนื่องจากมีคณะกรรมการปปช.หลายคน ติดราชการต้องเดินทางไปต่างประเทศ ส่วนในวาระการประชุมนั้นจะมีการพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการในท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งตนก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถวินิจฉัยชี้มูลความผิดได้หรือไม่ โดยในกรณีนี้จะมีการพิจราณาอีกครั้งก็จะเป็น ในวันอังคารที่ 22 กันยายน นี้