ASTVผู้จัดการรายวัน – เอ็มเคสุกี้ เตรียมบุกตปท.หนัก เล็งปรับโครงสร้างรองรับ พุ่งขายแฟรนไชส์เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ สิ้นปีเห็นที่เวียดนามอีก ยันยังลงทุนไทยต่อเนื่อง งบ 200 ล้านบาทเปิด 15-20 แห่งต่อปี พร้อมลดไซส์ลง ไม่หวั่นชาบูชาบูรุกตลาดแย่งลูกค้า
นายสมชาย หาญจิตต์เกษม รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจสาขา บริษัท เอ็มเค เรสโตรองค์ จำกัด ผู้บริหารร้านเอ็มเคสุกี้ เปิดเผยว่า บริษัทฯเตรียมปรับโครงสร้างองค์กรใหม่เพื่อรองรับกับการขยายธุรกิจแฟรนไชส์ร้านเอ็มเคสุกี้ไปต่างประเทศอย่างเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้นี้ โดยระยะแรกมุ่งเป้าหมายไปที่เอเซียตะวันออกดเฉียงใต้ก่อน
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา บริษัทฯได้ขายแฟรนไชส์ร้านเอ็มเคสุกี้แห่งแรกไปแล้วที่ประเทศญี่ปุ่นได้หลายปีแล้ว ปัจจุบันมี 16 สาขาซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากชาวญี่ปุ่น และเวียดนามจะเป็นประเทศที่สอง ซึ่งสาขาแรกคาดว่าจะเปิดได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่เมืองโฮจิมินห์ และตามสัญญาจะต้องเปิดอย่างต่ำ 10 สาขา ภายในเวลา 3 ปี ซึ่งขณะนี้ทางผู้ซื้อแฟรนไชส์ได้ส่งพนักงานมาอบรมที่สาขาเดอะมอลล์บางกะปิแล้ว
นายสมชายกล่าวถึงแผนการลงทุนในไทยด้วยว่า บริษัทฯยังมีแผนลงทุนต่อเนื่อง โดยจะใช้งบลงทุนเฉลี่ย 150-200 ล้านบาทต่อปี เปิดประมาณ 15-20 สาขาต่อปี อย่างไรก็ตามเมื่อปีที่แล้วเปิดสาขามากกว่า 40 แห่ง เนื่องจากได้ทำเลที่ดี
แต่แนวทางการลงทุนจะลดขนาดสาขาลงเหลือประมาณ 25-30 โต๊ะ ลงทุน 7-8 ล้านบาทหรือเฉลี่ย 35,000-45,000 บาทต่อตารางเมตร จากเดิมที่จะเป็นขนาดใหญ่กว่านี้ คือตั้งแต่ 60 – 100 กว่าโต๊ะ เนื่องจากบางครั้งไปเปิดสาขาใกล้กับสาขาเดิม ไม่ต้องการสร้างผลกระทบมากนัก อีกทั้งการหาทำเลดีๆขนาดใหญ่ก้หาได้ยากขึ้น และเพื่อให้การลงทุนนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ปัจจุบันเอ็มเคสกี้มี 4 ขนาดคือ 1.ขนาดเอเอ พื้นที่ใหญ่ที่สุด มากกว่า 100 โต๊ะ ประมาณ 20 สาขา 2.ขนาด เอ และ 3. ขนาด บี จำนวน 40-80 โต๊ะ และ4.ขนาด ซี เล็กสุด ประมาณ 20 สาขา โดยมีสาขารวมกันขณะนี้ 300 แห่ง รวมทั้งเอ็มเคโกลด์ และเอ็มเคเทรนดี้ด้วย
สำหรับผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรก 2552 นี้มียอดขาย 8-10% แต่ต่ำกสว่าป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งการเติบโตเป็นเพราะว่าการเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่องและการจัดกิจกรรม แต่ต่ำกว่าเป้าหมายเพราะว่า สาขาที่อยู่ในจังวหัดท่องเที่ยวหลัก เช่น พัทยา ภูเก็ต หาดใหญ่ ได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติหายไปมาก แต่ยังมั่นใจว่าในสิ้นปีจะมีอัตราการเติบโต 10% ตามแผนที่ตั้ง้ไว้ จากยอดขายปีที่แล้ว 8,000 ล้านบาท คาดว่าจะเพิ่มเป็น 8,800-9,000 ล้านบาท โดยมียอดใช้จ่ายของลูกค้า 220-240 บาทต่อคนต่อครั้ง และเข้าร้านเฉลี่ย 1 ครั้งต่อเดือน มียอดสมาชิกกว่า 6 แสนราย
ล่าสุดจัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 20 ปี 300 สาขา “อิ่มท้อง ลุ้นอิ่มทอง” แจกรางวัลรวมทั้งสิ้น 3,600 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท และออกหนังโฆษณาชุดใหม่ด้วยแนวคิด “อยากให้เมืองไทยสุขภาพดี คนไทยมีชีวิตชีวาขึ้น” ซึ่งตั้งงบตลาดทั้งปี 5% จากยอดขายหรือประมาณ 200 กว่าล้านบาท
นายสมชายกล่าวด้วยว่า แม้ว่ารูปแบบชาบูชาบูและบุฟเฟ่ต์จะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเอ็มเคสุกี้มากนัก เพราะถือว่าเป็นคนละกลุ่มเป้าหมายและอาหารก็ต่างกันด้วย แต่การที่เอ็มเคได้ทำบุฟเฟ่ต์นั้นถือเป็นการทดลองและตอบรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งทดลองบุฟเฟ่ต์กับสาขาเอ็มเคโกลด์เท่านั้นรวม 5 สาขา เช่นที่ เอสพละนาด เซ็นทรัลเวิลด์ ศาลาแดง เอกมัย เป็นต้น ราคา 299 บาท บวกบวกต่อคน ทดลองอีก 3 เดือนจึงสรุปผล ส่วนเอ็มเคเทรนดี้ก็ทำเพื่อตอบรับกลุ่มวัยรุ่น ผลตอบรับดีเช่นกัน ขณะที่ดีลิเวอรี่ก็เติบโตดีเช่นกันมียอดขายเฉลี่ย 120 ล้านบาท
สำหรับโครงการนำหุ่นยนต์มาบริการเสิร์ฟอาหารนั้น ทดลองที่เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ 2 ตัว แต่จะทำ 10 ตัวราคาเฉลี่ย 5-8 แสนบาท ซึ่งเป็นการทำเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาด ส่วนประเด็นตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นยังไม่มีแผนที่จะเข้าซึ่งต้องดูวัตถุประสงค์ว่าจะเข้าทำไม ขณะนี้บริษัทฯก็มีความพร้อมเรื่องการลงทุนอยู่แล้ว
นายสมชาย หาญจิตต์เกษม รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจสาขา บริษัท เอ็มเค เรสโตรองค์ จำกัด ผู้บริหารร้านเอ็มเคสุกี้ เปิดเผยว่า บริษัทฯเตรียมปรับโครงสร้างองค์กรใหม่เพื่อรองรับกับการขยายธุรกิจแฟรนไชส์ร้านเอ็มเคสุกี้ไปต่างประเทศอย่างเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้นี้ โดยระยะแรกมุ่งเป้าหมายไปที่เอเซียตะวันออกดเฉียงใต้ก่อน
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา บริษัทฯได้ขายแฟรนไชส์ร้านเอ็มเคสุกี้แห่งแรกไปแล้วที่ประเทศญี่ปุ่นได้หลายปีแล้ว ปัจจุบันมี 16 สาขาซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากชาวญี่ปุ่น และเวียดนามจะเป็นประเทศที่สอง ซึ่งสาขาแรกคาดว่าจะเปิดได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่เมืองโฮจิมินห์ และตามสัญญาจะต้องเปิดอย่างต่ำ 10 สาขา ภายในเวลา 3 ปี ซึ่งขณะนี้ทางผู้ซื้อแฟรนไชส์ได้ส่งพนักงานมาอบรมที่สาขาเดอะมอลล์บางกะปิแล้ว
นายสมชายกล่าวถึงแผนการลงทุนในไทยด้วยว่า บริษัทฯยังมีแผนลงทุนต่อเนื่อง โดยจะใช้งบลงทุนเฉลี่ย 150-200 ล้านบาทต่อปี เปิดประมาณ 15-20 สาขาต่อปี อย่างไรก็ตามเมื่อปีที่แล้วเปิดสาขามากกว่า 40 แห่ง เนื่องจากได้ทำเลที่ดี
แต่แนวทางการลงทุนจะลดขนาดสาขาลงเหลือประมาณ 25-30 โต๊ะ ลงทุน 7-8 ล้านบาทหรือเฉลี่ย 35,000-45,000 บาทต่อตารางเมตร จากเดิมที่จะเป็นขนาดใหญ่กว่านี้ คือตั้งแต่ 60 – 100 กว่าโต๊ะ เนื่องจากบางครั้งไปเปิดสาขาใกล้กับสาขาเดิม ไม่ต้องการสร้างผลกระทบมากนัก อีกทั้งการหาทำเลดีๆขนาดใหญ่ก้หาได้ยากขึ้น และเพื่อให้การลงทุนนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ปัจจุบันเอ็มเคสกี้มี 4 ขนาดคือ 1.ขนาดเอเอ พื้นที่ใหญ่ที่สุด มากกว่า 100 โต๊ะ ประมาณ 20 สาขา 2.ขนาด เอ และ 3. ขนาด บี จำนวน 40-80 โต๊ะ และ4.ขนาด ซี เล็กสุด ประมาณ 20 สาขา โดยมีสาขารวมกันขณะนี้ 300 แห่ง รวมทั้งเอ็มเคโกลด์ และเอ็มเคเทรนดี้ด้วย
สำหรับผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรก 2552 นี้มียอดขาย 8-10% แต่ต่ำกสว่าป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งการเติบโตเป็นเพราะว่าการเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่องและการจัดกิจกรรม แต่ต่ำกว่าเป้าหมายเพราะว่า สาขาที่อยู่ในจังวหัดท่องเที่ยวหลัก เช่น พัทยา ภูเก็ต หาดใหญ่ ได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติหายไปมาก แต่ยังมั่นใจว่าในสิ้นปีจะมีอัตราการเติบโต 10% ตามแผนที่ตั้ง้ไว้ จากยอดขายปีที่แล้ว 8,000 ล้านบาท คาดว่าจะเพิ่มเป็น 8,800-9,000 ล้านบาท โดยมียอดใช้จ่ายของลูกค้า 220-240 บาทต่อคนต่อครั้ง และเข้าร้านเฉลี่ย 1 ครั้งต่อเดือน มียอดสมาชิกกว่า 6 แสนราย
ล่าสุดจัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 20 ปี 300 สาขา “อิ่มท้อง ลุ้นอิ่มทอง” แจกรางวัลรวมทั้งสิ้น 3,600 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท และออกหนังโฆษณาชุดใหม่ด้วยแนวคิด “อยากให้เมืองไทยสุขภาพดี คนไทยมีชีวิตชีวาขึ้น” ซึ่งตั้งงบตลาดทั้งปี 5% จากยอดขายหรือประมาณ 200 กว่าล้านบาท
นายสมชายกล่าวด้วยว่า แม้ว่ารูปแบบชาบูชาบูและบุฟเฟ่ต์จะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเอ็มเคสุกี้มากนัก เพราะถือว่าเป็นคนละกลุ่มเป้าหมายและอาหารก็ต่างกันด้วย แต่การที่เอ็มเคได้ทำบุฟเฟ่ต์นั้นถือเป็นการทดลองและตอบรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งทดลองบุฟเฟ่ต์กับสาขาเอ็มเคโกลด์เท่านั้นรวม 5 สาขา เช่นที่ เอสพละนาด เซ็นทรัลเวิลด์ ศาลาแดง เอกมัย เป็นต้น ราคา 299 บาท บวกบวกต่อคน ทดลองอีก 3 เดือนจึงสรุปผล ส่วนเอ็มเคเทรนดี้ก็ทำเพื่อตอบรับกลุ่มวัยรุ่น ผลตอบรับดีเช่นกัน ขณะที่ดีลิเวอรี่ก็เติบโตดีเช่นกันมียอดขายเฉลี่ย 120 ล้านบาท
สำหรับโครงการนำหุ่นยนต์มาบริการเสิร์ฟอาหารนั้น ทดลองที่เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ 2 ตัว แต่จะทำ 10 ตัวราคาเฉลี่ย 5-8 แสนบาท ซึ่งเป็นการทำเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาด ส่วนประเด็นตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นยังไม่มีแผนที่จะเข้าซึ่งต้องดูวัตถุประสงค์ว่าจะเข้าทำไม ขณะนี้บริษัทฯก็มีความพร้อมเรื่องการลงทุนอยู่แล้ว