ท่านผู้อ่านที่เคารพ
เช้านี้ผมให้เขาปลุกตีห้า เพื่อตื่นมาเขียนถึงท่านผู้อ่าน นอนอยู่โรงแรมริมปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ เพราะเหม็นกลิ่นพรมในห้อง เช้านี้ผมจะต้องไปแสดงปาฐกถาทองอวบ อุตรวิเชียร ตามคำเชิญของสมาคมศัลยแพทย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่โรงพยาบาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ปาฐกถาที่ผมจะแสดงนี้เป็นเกียรติแก่ศาสตราจาย์นายแพทย์ทองอวบ อุตรวิเชียร ความจริงเป็นเกียรติกับผมมากกว่า อาจารย์ทองอวบ เป็นศัลยแพทย์มือหนึ่งของโลกคนหนึ่ง ที่กลับบ้านทันทีเมื่อโอกาสเปิดเป็นครั้งแรก โดยกลับมาเป็นอาจารย์สอนตั้งแต่มหาวิทยาลัยขอนแก่นเปิดคณะแพทย์ปีแรกในพ.ศ. 2517
อาจารย์ทองอวบเป็นชาวบุรีรัมย์ จบจากโรงเรียนอัสสัมชัญรุ่นเดียวกับศาสตราจารย์นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ พ่อนายกรัฐมนตรี ไปเรียนต่อแพทยศาสตร์บัณฑิตมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ออสเตรเลีย และสำเร็จการศึกษาด้านศัลยศาสตร์ทั่วไปและศัลยศาสตร์ออร์โธปีดิกส์ จากมหาวิทยาลัย Edinburgh ประเทศอังกฤษ และทำงานอยู่ที่นั่นหลายปี
นายแพทย์เอก ปักเขม ลูกศิษย์สดุดีอาจารย์ไว้ดังนี้ “ฐานะผู้บุกเบิกก่อตั้งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ท่านเป็นผู้ก่อตั้งและดูแลภาควิชาศัลยศาสตร์และภาควิสัญญีวิทยา ซึ่งเป็นภาระที่หนัก ท่านเป็นผู้เสียสละ มีความเป็นผู้นำ ความอดทนตรากตรำทำงานอย่างวิริยะอุตสาหะและเพียบพร้อมด้วยอุดมการณ์ มีวิสัยทัศน์ บริหารภาควิชาจนเป็นภาควิชาที่มีความเจริญมั่นคง มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ เป็นครูที่ห่วงใยศิษย์ คอยพร่ำสอนทั้งวิชาการเพื่อประกอบวิชาชีพ และให้เป็นคนดีในสังคม ท่านเป็นแพทย์ที่ใฝ่รู้และหาความรู้ทางวิชาการที่ทันสมัยต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ เป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดทั้งแก่อาจารย์และนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ ท่านมีความกระตือรือร้น และจริงใจในการให้ความช่วยเหลือประชากรที่ยากจนและเจ็บไข้ได้ป่วยโดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ ท่านได้สร้างงานวิจัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านผ่าตัดที่ตอบสนองต่อปัญหาสุขภาพของประชากรในภาคอีสาน เช่น การผ่าตัดมะเร็งท่อน้ำดี จนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ เป็นผู้ริเริ่มการผ่าตัดปลูกถ่ายไตในภาคอีสานเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ด้วยความมุ่งมั่นและมองการณ์ไกลในการพัฒนาศักยภาพขององค์การและโอกาสในการรักษาผู้ป่วยตับวาย การผ่าตัดปลูกตับจึงเกิดขึ้นภายใต้การนำของท่านและประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ”
“ท่านเป็นประธานราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย International Association of Surgeons, Gasttroenterologists and Oncologist ฯลฯ ท่านมีผลงานมากมาย มีชื่อเสียงระดับโลก และได้รับรางวัลต่างๆ เช่น Albert Schweiier Golden Medal Award เป็นต้น”
ผมอยากจะพูดว่าอาจารย์ทองอวบโชคคีที่เกิดมาชาตินี้ได้ทดแทนบุญคุณมนุษยชาติและบ้านเกิดเต็มที่ ทั้งนี้เพราะมีมหาวิทยาลัย อาจารย์จึงเป็นทั้งแพทย์และอาจารย์แพทย์ได้ ถ้าอาจารย์เป็นแพทย์ธรรมดา และรับราชการในจังหวัดที่ไม่มีมหาวิทยาลัย ไหนเลยอาจารย์จะอยู่เป็นที่ เพื่อสร้างอาณาจักรของอาจารย์ให้โด่งดังทั่วโลกได้
ถ้าอาจารย์อยากอยู่บ้าน อย่างดีอาจารย์ก็คงเป็นหมอผ่าตัดในโรงพยาบาล เมื่อตำแหน่งเลื่อนสูงขึ้นไปกระทรวงก็คงต้องส่งอาจารย์ไปเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่อื่น เลื่อนขึ้นเป็นผู้อำนวยการจังหวัดเล็ก แล้วก็ไปจังหวัดใหญ่ขึ้นหรือเข้ากรม เหมือนศิษย์ของอาจารย์คือ นพ.ประเสริฐ ขันเงิน ผู้อำนวยการ รพ.พระพุทธชินราช พิษณุโลก ที่แสนรักคนไข้และเมืองเลยแบบไม่อยากจากเพราะอยู่มาแล้วอย่างมีความสุขเกือบ 25 ปี แต่ก็ต้องย้ายไปเพชรบูรณ์และต่อไปๆ กว่าจะกลับเลยได้ก็ต้องเกษียณหรือหมดแรงเสียก่อน อาจารย์ทองอวบบอกว่าการย้ายแพทย์เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เพราะทั้งหมอและคนไข้ที่คุ้นเคยรักษากันมาเป็นสิบๆ ปี (เสือก) ไปย้ายเขาทำไม
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะระบบราชการของเราเป็นแบบ “รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสส่วนกลาง” ความเหมาะสมของทางราชการอาจจะบัดซบและไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิงก็ได้ ดูตัวอย่างการเลื่อนยศปลดย้ายของกระทรวงทบวงกรมต่างๆ เช่น ปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือ ผบ.ตร. ยุคนี้เป็นตัวอย่างก็ได้ ประกอบกับการเมืองของเราก็ควบคุมโดยแก๊งเลือกตั้งที่จดทะเบียนผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาครองอำนาจตามโชคชะตาของหัวหน้า แต่พรรคหัวหน้าตั้งทุกพรรคไม่ยั่งยืน เป็นเรื่องสั้นๆ ชั่วคราว จนเกิดคติสมบัติผลัดกันชม ซึ่งที่จริงก็คือการรีบแย่งกันกินและกอบโกยเพื่อสะสมเงินไว้รักษาอำนาจ มีนักสมัครผู้แทนหน้าเก่าๆ ไม่ถึงพันคน หมุนเวียนโยกย้ายกันไปตามหัวหน้าแบบ “ชนะไหนเข้าด้วยช่วยกระพือ” ไม่ผิดอะไรกับ “กระสือ ฝูงห่า ลงหากิน”
เมื่อก่อนหลังปี 2490 นักการเมืองเป็นทาสของเผด็จการซึ่งเป็นข้าราชการประจำ เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแปลงระบบการเมืองในระบบพรรคจอมปลอมเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบ “รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้า” พวกนักการเมืองเอาข้าราชการเป็นทาส เอาอำนาจเรื่องการเลื่อนยศปลดย้ายเป็นเครื่องมือ
ยุคของทักษิณเป็นยุคที่ระบบราชการถูกย่ำยีบีฑาที่สุด กล่าวได้ว่าข้าราชทหารตำรวจต้องกลายเป็นสมุนทาสไปทั้งสิ้น นายกฯ อภิสิทธิ์เคยประกาศปณิธานว่า เป็นรัฐบาลเมื่อใดจะต้องแก้ไขปัญหาที่ข้าราชการดีๆ ที่ถูกการเมืองรังแก
นายกฯ อภิสิทธิ์ตั้งใจทำหรือทำสำเร็จหรือไม่ เราต้องฟังเสียงหัวเราะของผู้ทรงอำนาจที่แท้จริง คือ เนวิน-สุเทพ-นิพนธ์ และ3 ป. พวกนี้ยังใช้วิธีแบบเดียวกับทักษิณได้ผลยิ่งกว่ายุคทักษิณเสียอีก
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ความจริงถึงเวลาที่ผมจะแนะนำผู้เขียน “คิดถึงเมืองไทย” ใหม่อีกท่านหนึ่ง คือคุณวิทยา วชิระอังกูร มหาบัณฑิตนิเทศศาสตร์จากจุฬาฯ อดีตข้าราชการ รพช. ผมยังไม่เคยพบตัวคุณวิทยา ได้แต่ถามกันทางโทรศัพท์ว่าอยู่ รพช.ไม่เสียคนหมดแล้วหรือ เพราะ รพช.เป็นหนึ่งในเจ็ดของหน่วยงานที่ได้ชื่อว่ากินมหาราช
คุณวิทยาชอบเขียนกลอนและเขียนได้ดี มี blog ของตนเองใช้ชื่อว่า ว.แหวนลงยา กลอนบทหนึ่งตรงกับเรื่องที่เรากำลังพูดกัน ผมจึงขอนำมาจบบทความนี้ ที่ผมมาเขียนต่อที่สนามบินขอนแก่น จะรีบเดินทางต่อไปงานพระราชทานเพลิงฯ ศ.ดร.นิพนธ์ ศศิธร อดีตคณบดีสังคมศาสตร์ ลูกศิษย์กำลังได้ดีระเบิดเถิดเถิงทุกกระทรวงทบวงกรม เพราะบังเอิญเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกับซูเปอร์เทือก
กลอนที่ผมอยากจะนำมาลงชื่อ “ข้าราชกำศรวล” บังเอิญยังเปิดไม่เจอ จึงขอเอาบทนี้แทน
พระสยามเทวาธิราช ก็อาจไม่เว้น
กราบพระสยามเทวาธิราชเจ้า
บ้านเมือง ส่อเค้า สู่ยุคเข็ญ
คนไทย แตกกระสาน ซ่านเซ็น
แบ่งข้าง ขีดเส้น เป็นศัตรู
เห็นต่าง คิดต่าง อย่างยึดมั่น
พร้อมแตกหัก พร้อมประจัญ เข้าต่อสู้
อวดอัตตา “ตัวกู เป็นของกู”
ดิ่งลึก ในไม่รู้ ไม่ละวาง
มืดเมา โมหะ โทสะกล้า
ปลุกปั่น ปวงประชา ให้เลือกข้าง
สื่อสาร สับปลับ ลับลวงพราง
มืดบอด ทุกทิศทาง ประเทศไทย
นายทุน ขุนศึก ศักดินา
แยกธาตุ แยกฐานา อำมาตย์ – ไพร่
ร่ำร้อง ว่าต้องเป็น ประชาธิปไตย
เป็นแต่ตัว หัวใจ กลับไม่เป็น
ประชาธิปไตย แบบใจพร้อม เผด็จการ
เอาพวกมาก เข้ารังควาน เข้าบีบเค้น
พร้อมทำลาย ฝ่ายเห็นต่าง อย่างเลือดเย็น
พร้อมบิดเบือน ทุกประเด็น เพื่อฝ่ายตน
กราบพระสยามเทวาธิราชเจ้า
ประเทศไทย ส่อเค้า จะสับสน
เมื่อคนไทย กล้าก้าวล่วง จาบจ้วงเบื้องบน
พระสยามฯ ก็ยากจะพ้น คนปากบอน!
ว.แหวนลงยา
ปราโมทย์ นาครทรรพ
เช้านี้ผมให้เขาปลุกตีห้า เพื่อตื่นมาเขียนถึงท่านผู้อ่าน นอนอยู่โรงแรมริมปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ เพราะเหม็นกลิ่นพรมในห้อง เช้านี้ผมจะต้องไปแสดงปาฐกถาทองอวบ อุตรวิเชียร ตามคำเชิญของสมาคมศัลยแพทย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่โรงพยาบาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ปาฐกถาที่ผมจะแสดงนี้เป็นเกียรติแก่ศาสตราจาย์นายแพทย์ทองอวบ อุตรวิเชียร ความจริงเป็นเกียรติกับผมมากกว่า อาจารย์ทองอวบ เป็นศัลยแพทย์มือหนึ่งของโลกคนหนึ่ง ที่กลับบ้านทันทีเมื่อโอกาสเปิดเป็นครั้งแรก โดยกลับมาเป็นอาจารย์สอนตั้งแต่มหาวิทยาลัยขอนแก่นเปิดคณะแพทย์ปีแรกในพ.ศ. 2517
อาจารย์ทองอวบเป็นชาวบุรีรัมย์ จบจากโรงเรียนอัสสัมชัญรุ่นเดียวกับศาสตราจารย์นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ พ่อนายกรัฐมนตรี ไปเรียนต่อแพทยศาสตร์บัณฑิตมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ออสเตรเลีย และสำเร็จการศึกษาด้านศัลยศาสตร์ทั่วไปและศัลยศาสตร์ออร์โธปีดิกส์ จากมหาวิทยาลัย Edinburgh ประเทศอังกฤษ และทำงานอยู่ที่นั่นหลายปี
นายแพทย์เอก ปักเขม ลูกศิษย์สดุดีอาจารย์ไว้ดังนี้ “ฐานะผู้บุกเบิกก่อตั้งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ท่านเป็นผู้ก่อตั้งและดูแลภาควิชาศัลยศาสตร์และภาควิสัญญีวิทยา ซึ่งเป็นภาระที่หนัก ท่านเป็นผู้เสียสละ มีความเป็นผู้นำ ความอดทนตรากตรำทำงานอย่างวิริยะอุตสาหะและเพียบพร้อมด้วยอุดมการณ์ มีวิสัยทัศน์ บริหารภาควิชาจนเป็นภาควิชาที่มีความเจริญมั่นคง มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ เป็นครูที่ห่วงใยศิษย์ คอยพร่ำสอนทั้งวิชาการเพื่อประกอบวิชาชีพ และให้เป็นคนดีในสังคม ท่านเป็นแพทย์ที่ใฝ่รู้และหาความรู้ทางวิชาการที่ทันสมัยต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ เป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดทั้งแก่อาจารย์และนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ ท่านมีความกระตือรือร้น และจริงใจในการให้ความช่วยเหลือประชากรที่ยากจนและเจ็บไข้ได้ป่วยโดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ ท่านได้สร้างงานวิจัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านผ่าตัดที่ตอบสนองต่อปัญหาสุขภาพของประชากรในภาคอีสาน เช่น การผ่าตัดมะเร็งท่อน้ำดี จนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ เป็นผู้ริเริ่มการผ่าตัดปลูกถ่ายไตในภาคอีสานเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ด้วยความมุ่งมั่นและมองการณ์ไกลในการพัฒนาศักยภาพขององค์การและโอกาสในการรักษาผู้ป่วยตับวาย การผ่าตัดปลูกตับจึงเกิดขึ้นภายใต้การนำของท่านและประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ”
“ท่านเป็นประธานราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย International Association of Surgeons, Gasttroenterologists and Oncologist ฯลฯ ท่านมีผลงานมากมาย มีชื่อเสียงระดับโลก และได้รับรางวัลต่างๆ เช่น Albert Schweiier Golden Medal Award เป็นต้น”
ผมอยากจะพูดว่าอาจารย์ทองอวบโชคคีที่เกิดมาชาตินี้ได้ทดแทนบุญคุณมนุษยชาติและบ้านเกิดเต็มที่ ทั้งนี้เพราะมีมหาวิทยาลัย อาจารย์จึงเป็นทั้งแพทย์และอาจารย์แพทย์ได้ ถ้าอาจารย์เป็นแพทย์ธรรมดา และรับราชการในจังหวัดที่ไม่มีมหาวิทยาลัย ไหนเลยอาจารย์จะอยู่เป็นที่ เพื่อสร้างอาณาจักรของอาจารย์ให้โด่งดังทั่วโลกได้
ถ้าอาจารย์อยากอยู่บ้าน อย่างดีอาจารย์ก็คงเป็นหมอผ่าตัดในโรงพยาบาล เมื่อตำแหน่งเลื่อนสูงขึ้นไปกระทรวงก็คงต้องส่งอาจารย์ไปเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่อื่น เลื่อนขึ้นเป็นผู้อำนวยการจังหวัดเล็ก แล้วก็ไปจังหวัดใหญ่ขึ้นหรือเข้ากรม เหมือนศิษย์ของอาจารย์คือ นพ.ประเสริฐ ขันเงิน ผู้อำนวยการ รพ.พระพุทธชินราช พิษณุโลก ที่แสนรักคนไข้และเมืองเลยแบบไม่อยากจากเพราะอยู่มาแล้วอย่างมีความสุขเกือบ 25 ปี แต่ก็ต้องย้ายไปเพชรบูรณ์และต่อไปๆ กว่าจะกลับเลยได้ก็ต้องเกษียณหรือหมดแรงเสียก่อน อาจารย์ทองอวบบอกว่าการย้ายแพทย์เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เพราะทั้งหมอและคนไข้ที่คุ้นเคยรักษากันมาเป็นสิบๆ ปี (เสือก) ไปย้ายเขาทำไม
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะระบบราชการของเราเป็นแบบ “รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสส่วนกลาง” ความเหมาะสมของทางราชการอาจจะบัดซบและไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิงก็ได้ ดูตัวอย่างการเลื่อนยศปลดย้ายของกระทรวงทบวงกรมต่างๆ เช่น ปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือ ผบ.ตร. ยุคนี้เป็นตัวอย่างก็ได้ ประกอบกับการเมืองของเราก็ควบคุมโดยแก๊งเลือกตั้งที่จดทะเบียนผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาครองอำนาจตามโชคชะตาของหัวหน้า แต่พรรคหัวหน้าตั้งทุกพรรคไม่ยั่งยืน เป็นเรื่องสั้นๆ ชั่วคราว จนเกิดคติสมบัติผลัดกันชม ซึ่งที่จริงก็คือการรีบแย่งกันกินและกอบโกยเพื่อสะสมเงินไว้รักษาอำนาจ มีนักสมัครผู้แทนหน้าเก่าๆ ไม่ถึงพันคน หมุนเวียนโยกย้ายกันไปตามหัวหน้าแบบ “ชนะไหนเข้าด้วยช่วยกระพือ” ไม่ผิดอะไรกับ “กระสือ ฝูงห่า ลงหากิน”
เมื่อก่อนหลังปี 2490 นักการเมืองเป็นทาสของเผด็จการซึ่งเป็นข้าราชการประจำ เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแปลงระบบการเมืองในระบบพรรคจอมปลอมเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบ “รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้า” พวกนักการเมืองเอาข้าราชการเป็นทาส เอาอำนาจเรื่องการเลื่อนยศปลดย้ายเป็นเครื่องมือ
ยุคของทักษิณเป็นยุคที่ระบบราชการถูกย่ำยีบีฑาที่สุด กล่าวได้ว่าข้าราชทหารตำรวจต้องกลายเป็นสมุนทาสไปทั้งสิ้น นายกฯ อภิสิทธิ์เคยประกาศปณิธานว่า เป็นรัฐบาลเมื่อใดจะต้องแก้ไขปัญหาที่ข้าราชการดีๆ ที่ถูกการเมืองรังแก
นายกฯ อภิสิทธิ์ตั้งใจทำหรือทำสำเร็จหรือไม่ เราต้องฟังเสียงหัวเราะของผู้ทรงอำนาจที่แท้จริง คือ เนวิน-สุเทพ-นิพนธ์ และ3 ป. พวกนี้ยังใช้วิธีแบบเดียวกับทักษิณได้ผลยิ่งกว่ายุคทักษิณเสียอีก
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ความจริงถึงเวลาที่ผมจะแนะนำผู้เขียน “คิดถึงเมืองไทย” ใหม่อีกท่านหนึ่ง คือคุณวิทยา วชิระอังกูร มหาบัณฑิตนิเทศศาสตร์จากจุฬาฯ อดีตข้าราชการ รพช. ผมยังไม่เคยพบตัวคุณวิทยา ได้แต่ถามกันทางโทรศัพท์ว่าอยู่ รพช.ไม่เสียคนหมดแล้วหรือ เพราะ รพช.เป็นหนึ่งในเจ็ดของหน่วยงานที่ได้ชื่อว่ากินมหาราช
คุณวิทยาชอบเขียนกลอนและเขียนได้ดี มี blog ของตนเองใช้ชื่อว่า ว.แหวนลงยา กลอนบทหนึ่งตรงกับเรื่องที่เรากำลังพูดกัน ผมจึงขอนำมาจบบทความนี้ ที่ผมมาเขียนต่อที่สนามบินขอนแก่น จะรีบเดินทางต่อไปงานพระราชทานเพลิงฯ ศ.ดร.นิพนธ์ ศศิธร อดีตคณบดีสังคมศาสตร์ ลูกศิษย์กำลังได้ดีระเบิดเถิดเถิงทุกกระทรวงทบวงกรม เพราะบังเอิญเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกับซูเปอร์เทือก
กลอนที่ผมอยากจะนำมาลงชื่อ “ข้าราชกำศรวล” บังเอิญยังเปิดไม่เจอ จึงขอเอาบทนี้แทน
พระสยามเทวาธิราช ก็อาจไม่เว้น
กราบพระสยามเทวาธิราชเจ้า
บ้านเมือง ส่อเค้า สู่ยุคเข็ญ
คนไทย แตกกระสาน ซ่านเซ็น
แบ่งข้าง ขีดเส้น เป็นศัตรู
เห็นต่าง คิดต่าง อย่างยึดมั่น
พร้อมแตกหัก พร้อมประจัญ เข้าต่อสู้
อวดอัตตา “ตัวกู เป็นของกู”
ดิ่งลึก ในไม่รู้ ไม่ละวาง
มืดเมา โมหะ โทสะกล้า
ปลุกปั่น ปวงประชา ให้เลือกข้าง
สื่อสาร สับปลับ ลับลวงพราง
มืดบอด ทุกทิศทาง ประเทศไทย
นายทุน ขุนศึก ศักดินา
แยกธาตุ แยกฐานา อำมาตย์ – ไพร่
ร่ำร้อง ว่าต้องเป็น ประชาธิปไตย
เป็นแต่ตัว หัวใจ กลับไม่เป็น
ประชาธิปไตย แบบใจพร้อม เผด็จการ
เอาพวกมาก เข้ารังควาน เข้าบีบเค้น
พร้อมทำลาย ฝ่ายเห็นต่าง อย่างเลือดเย็น
พร้อมบิดเบือน ทุกประเด็น เพื่อฝ่ายตน
กราบพระสยามเทวาธิราชเจ้า
ประเทศไทย ส่อเค้า จะสับสน
เมื่อคนไทย กล้าก้าวล่วง จาบจ้วงเบื้องบน
พระสยามฯ ก็ยากจะพ้น คนปากบอน!
ว.แหวนลงยา
ปราโมทย์ นาครทรรพ