รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า การประชุมคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้มีการศึกษาพิจารณาสภาพความเป็นเมือง (Urbanization) เพื่อเสนอรูปแบบที่เหมาะสมในการจัดบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนถิ่น (อปท.) ในลักษณะเครือข่าย หรือกลุ่มพื้นที่ หลังจากที่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นประธานอนุกรรมการพัฒนารูปแบบการให้บริการสาธารณะของ อปท.ในลักษณะเครือข่าย หรือกลุ่มพื้นที่ และรูปแบบการจัดตั้งองค์กรบริหารจัดการในพื้นที่พิเศษเสนอ
สำหรับพื้นที่เป้าหมายที่เสนอให้ดำเนินโครงการนำร่อง จะให้ความสำคัญกับพื้นที่ ที่มีศักยภาพเป็นฐานเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยคำนึงถึงความพร้อมของพื้นที่ เช่น มีการศึกษาความเหมาะสมไว้แล้วระดับหนึ่ง และเป็นความต้องการที่สอดคล้องกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและคนในพื้นที่ รวมทั้งได้มีการทำประชาคมที่เห็นพ้องร่วมกันไว้ระดับหนึ่งแล้ว โดยเบื้องต้นมีข้อเสนอให้ดำเนินการใน 5 พื้นที่ ประกอบด้วย
1. เมืองศูนย์กลางการบิน ได้แก่ เมืองศูนย์กลางการบินสุวรรณภูมิ 2. กลุ่มเมืองชายแดน ได้แก่ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก 3. กลุ่มเมืองอุตสาหกรรม และโลจิสติกส์ ได้แก่ แหลมฉบังและมาบตาพุด 4. กลุ่มเมืองท่องเที่ยว ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต หัวหิน-ชะอำ สมุย 5. กลุ่มเมืองประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ได้แก่ สุโขทัย อยุธยา
**ยกกม.พัฒนาแม่สอด-สมุย เอาใจฐานปชป.
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ กกถ. ร่วมกับ อปท. ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ สภาพัฒน์ฯ เป็นที่ปรึกษา โดยขั้นแรกให้ กกถ.ไปยกร่างกฎหมายการพัฒนาเมืองแม่สอด และเมืองสมุย เพื่อนำเสนอที่นายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า โครงการนำร่องจะให้ความสำคัญในประเด็นปัญหาร่วมของเมือง ได้แก่ การจราจรและขนส่งสาธารณะ ขยะ น้ำท่วม และการจัดการน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค ขณะที่ในเชิงพื้นที่ ได้ให้ความสำคัญแก่ พื้นที่ยุทธศาสตร์ระหว่างจังหวัด สำหรับแนวทางการดำเนินการ ได้แก่ การจัดตั้งกลไกในรูปคณะกรรมการระดับพื้นที่ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ภาครัฐ อปท. ภาคเอกชน และประชาชน โดยจัดให้มีกลไกการเงิน และมีเงื่อนไขผ่อนปรนเพื่อสนับสนุนการจัดบริการสาธารณะที่เหมาะสม ตลอดจนจัดให้มีกลไกสนับสนุนด้านเทคนิคเพื่อเอื้อให้มีการจัดบริการสาธารณะที่เหมาะสม
แฉ!!งบซีอีโอ “สมัคร-สมชาย” ลงจังหวัด 600 ล้าน
ส่วนการประชุมคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค (กกภ.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รับทราบผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเร่งด่วนในพื้นที่ของคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคชุดที่ผ่านมา (หรืองบประมาณซีอีโอ สมัยรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์) ได้อนุมัติจัดสรรเงินงบประมาณให้แก่ส่วนราชการต่างๆ จำนวน 59 จังหวัด 356 โครงการ ในวงเงินงบประมาณ 612,214,990 บาท ซึ่งดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณเรียบร้อยแล้ว 220 โครงการ ที่เหลืออยู่ระหว่างการส่งมอบงานและรอเบิกจ่ายงบประมาณ
“เทือก” สั่งแก้ระเบียบรมต.สำนักนายกฯได้เงิน 900 ล้าน
ทั้งนี้ ที่ประชุมยังพิจารณากรอบวงเงินงบประมาณ ที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ละคนมีอำนาจในการอนุมัติการจัดสรร และพิจารณาขอบเขตและอำนาจหน้าที่ของรองนายกรัฐมนตรีในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคสำหรับปีงบประมาณ 2553 ในการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค พ.ศ. 2547 เกี่ยวกับการสนับสนุนงบประมาณตามอำนาจของรองนายกรัฐมนตรี เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน และเกิดประโยชน์สุขของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม และเพื่อประโยชน์ในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่ด้วยความคล่องตัว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีการกำหนดวงเงินงบประมาณที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ละคนมีอำนาจในการอนุมัติการจัดสรรรวมปีละ 900 ล้านบาท
ทั้งนี้ การประชุมครม.เมื่อเดือนมิ.ย.52 ที่ผ่านมา นายสุเทพได้เสนอการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค พ.ศ. 2547 เห็นชอบให้เฉพาะรองนายกรัฐมนตรี มีอำนาจในการอนุมัติการจัดสรรรวมปีละ 100 ล้านบาท เป็น 900 ล้านบาทเพื่อบริหารในปี 2553 อย่างไรก็ตามในการประชุมคณะกรรมการ กกภ.กลับให้ทำการแก้ไขให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สามารถใช้งบประมาณ 900 ล้านบาทได้ด้วย
--------------------
สำหรับพื้นที่เป้าหมายที่เสนอให้ดำเนินโครงการนำร่อง จะให้ความสำคัญกับพื้นที่ ที่มีศักยภาพเป็นฐานเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยคำนึงถึงความพร้อมของพื้นที่ เช่น มีการศึกษาความเหมาะสมไว้แล้วระดับหนึ่ง และเป็นความต้องการที่สอดคล้องกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและคนในพื้นที่ รวมทั้งได้มีการทำประชาคมที่เห็นพ้องร่วมกันไว้ระดับหนึ่งแล้ว โดยเบื้องต้นมีข้อเสนอให้ดำเนินการใน 5 พื้นที่ ประกอบด้วย
1. เมืองศูนย์กลางการบิน ได้แก่ เมืองศูนย์กลางการบินสุวรรณภูมิ 2. กลุ่มเมืองชายแดน ได้แก่ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก 3. กลุ่มเมืองอุตสาหกรรม และโลจิสติกส์ ได้แก่ แหลมฉบังและมาบตาพุด 4. กลุ่มเมืองท่องเที่ยว ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต หัวหิน-ชะอำ สมุย 5. กลุ่มเมืองประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ได้แก่ สุโขทัย อยุธยา
**ยกกม.พัฒนาแม่สอด-สมุย เอาใจฐานปชป.
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ กกถ. ร่วมกับ อปท. ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ สภาพัฒน์ฯ เป็นที่ปรึกษา โดยขั้นแรกให้ กกถ.ไปยกร่างกฎหมายการพัฒนาเมืองแม่สอด และเมืองสมุย เพื่อนำเสนอที่นายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า โครงการนำร่องจะให้ความสำคัญในประเด็นปัญหาร่วมของเมือง ได้แก่ การจราจรและขนส่งสาธารณะ ขยะ น้ำท่วม และการจัดการน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค ขณะที่ในเชิงพื้นที่ ได้ให้ความสำคัญแก่ พื้นที่ยุทธศาสตร์ระหว่างจังหวัด สำหรับแนวทางการดำเนินการ ได้แก่ การจัดตั้งกลไกในรูปคณะกรรมการระดับพื้นที่ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ภาครัฐ อปท. ภาคเอกชน และประชาชน โดยจัดให้มีกลไกการเงิน และมีเงื่อนไขผ่อนปรนเพื่อสนับสนุนการจัดบริการสาธารณะที่เหมาะสม ตลอดจนจัดให้มีกลไกสนับสนุนด้านเทคนิคเพื่อเอื้อให้มีการจัดบริการสาธารณะที่เหมาะสม
แฉ!!งบซีอีโอ “สมัคร-สมชาย” ลงจังหวัด 600 ล้าน
ส่วนการประชุมคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค (กกภ.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รับทราบผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเร่งด่วนในพื้นที่ของคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคชุดที่ผ่านมา (หรืองบประมาณซีอีโอ สมัยรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์) ได้อนุมัติจัดสรรเงินงบประมาณให้แก่ส่วนราชการต่างๆ จำนวน 59 จังหวัด 356 โครงการ ในวงเงินงบประมาณ 612,214,990 บาท ซึ่งดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณเรียบร้อยแล้ว 220 โครงการ ที่เหลืออยู่ระหว่างการส่งมอบงานและรอเบิกจ่ายงบประมาณ
“เทือก” สั่งแก้ระเบียบรมต.สำนักนายกฯได้เงิน 900 ล้าน
ทั้งนี้ ที่ประชุมยังพิจารณากรอบวงเงินงบประมาณ ที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ละคนมีอำนาจในการอนุมัติการจัดสรร และพิจารณาขอบเขตและอำนาจหน้าที่ของรองนายกรัฐมนตรีในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคสำหรับปีงบประมาณ 2553 ในการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค พ.ศ. 2547 เกี่ยวกับการสนับสนุนงบประมาณตามอำนาจของรองนายกรัฐมนตรี เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน และเกิดประโยชน์สุขของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม และเพื่อประโยชน์ในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่ด้วยความคล่องตัว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีการกำหนดวงเงินงบประมาณที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ละคนมีอำนาจในการอนุมัติการจัดสรรรวมปีละ 900 ล้านบาท
ทั้งนี้ การประชุมครม.เมื่อเดือนมิ.ย.52 ที่ผ่านมา นายสุเทพได้เสนอการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค พ.ศ. 2547 เห็นชอบให้เฉพาะรองนายกรัฐมนตรี มีอำนาจในการอนุมัติการจัดสรรรวมปีละ 100 ล้านบาท เป็น 900 ล้านบาทเพื่อบริหารในปี 2553 อย่างไรก็ตามในการประชุมคณะกรรมการ กกภ.กลับให้ทำการแก้ไขให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สามารถใช้งบประมาณ 900 ล้านบาทได้ด้วย
--------------------
