นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวกับบรรดาลูกจ้างส่วนราชการแห่งประเทศไทย ที่เดินทางมาขอบคุณรัฐบาล และกระทรวงการคลัง ต่อกรณีที่ครม. และกระทรวงการคลัง เห็นชอบผ่าน ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้างว่า ตอนที่ตนเข้ามามีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิสวัสดิการ ในเรื่องที่เป็นประชาชนทั่วไป ความจริงถือว่าเป็นกลุ่มที่มีสิทธิน้อยที่สุด รัฐบาลได้พยายามเริ่มในหลายเรื่อง อาทิ เบี้ยยังชีพ และเวลานี้กระทรวงการคลัง พยายามที่จะผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวกับเรื่องกองทุน ที่เป็นเงินออกในรูปแบบที่ทุกคนสามารถส่งเงินสมทบเข้ากองทุน และสุดท้ายก็จะมีบำนาญได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่กล่าวมานั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และต้องแก้กฎหมาย เมื่อตนเข้ามารับหน้าที่ ทราบดีว่าในเรื่องกำลังคนภาครัฐนั้นมีความลักลั่น ตั้งแต่ข้าราชการ ลูกจ้างประจำลูกจ้างชั่วคราว พนักงานราชการ และภายหลังต่อมา มีลักษณะเหมาจ้าง เหมาจ่ายตั้งแต่ รายเดือน จนปัจจุบันรายชั่วโมงก็มี ตรงนี้เป็นปัญหาในหลายๆ เรื่อง ตนทราบดีว่า ความต้องการของทุกกลุ่ม จะมีค่อนข้างหลากหลาย รัฐบาลเข้ามาทำหน้าที่ในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ จำเป็นจะต้องระมัดระวังในเรื่องภาระงบประมาณที่เกิดขึ้น แต่ค่อยๆทำไป
"อย่างเช่นตอนนั้น เรื่องลูกจ้างก็มีเรื่องที่ว่า ลูกจ้างชั่วคราวเข้าประกันสังคมได้หรือไม่ เมื่อลูกจ้างชั่วคราวออกมาเรียกร้อง ผมก็ต้องไปดำเนินการใน ก.พ. อยู่ตรงนี้ก็จะผลักดันต่อไป โดยเฉพาะในส่วนลูกจ้างประจำนั้น จากเดิมซึ่งได้รับบำเหน็จ ก็ขอให้กระทรวงการคลังไปดู กระทรวงการคลัง ก็สรุปออกมาเสนอ ครม.ว่าจะสามารถเลือกได้ แทนที่จะรับเป็นเงินก้อน ก็จะรับเป็นรายเดือน จะใช้คำเรียกว่า บำเหน็จรายเดือน ตอนนั้นซึ่งฟังดูก็แปลกมาก เพราะว่ามันคงไม่ใช่ เราเข้าใจเรื่องบำเหน็จกับบำนาญกันอยู่ ก็มีการเสนอเข้าครม." นายกฯกล่าว
นายกฯกล่าวต่อว่าหลักก็คือการเปิดทางเลือก เป็นจุดเริ่มต้นซึ่งมีการประเมินว่า แน่นอนในระยะยาวต่อไป ภาระงบประมาณก็คงจะเพิ่มขึ้น แต่เมื่อประเมินแล้วก็เห็นว่า อยู่ในจุดที่รัฐบาลรับได้ และมีความเหมาะสมที่จะดำเนินการ ครม.จึงได้อนุมัติในข้อเสนอนี้ และให้มีการใช้คำว่า บำนาญ หลังจากนั้นทราบมาว่า จะเข้าเดือนกันยายน ทำให้หลายคน มีความห่วงใยในเรื่องของการปฎิบัติ ตนก็ได้สั่งการให้กระทรวงการคลัง ไปดูในเรื่องของการปฏิบัติด้วยว่า ทำอย่างไรให้ราบรื่นที่สุด
นายกฯ กล่าวต่อว่าส่วนในเรื่องของการรักษาพยาบาลที่เสนอมา จะขอรับไว้ก่อน และคิดว่าขณะนี้ต้องการให้ทันเดือนตุลาคม ตนเกรงว่าถ้ามีการเพิ่มมาอีกหลายประเด็น กระทรวงการคลัง อาจจะตอบกลับว่าไม่พร้อมที่จะทำให้ สุดท้ายก็ต้องเลื่อนทุกอย่างไป และถ้าเป็นไปได้เมื่อครม. อนุมัติหลักการ และเพิ่มทางเลือกให้ก็ควรรับไปก่อน และทำให้มีประสิทธิภาพ ส่วนเรื่องสิทธิที่ขอเพิ่มเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล มานั้น จะให้ทางกระทรวงการคลัง ไปดูและเสนอรายงานกลับมาที่ตนและถ้าจำเป็น ก็จะนำเข้าที่ประชุมครม.
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่กล่าวมานั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และต้องแก้กฎหมาย เมื่อตนเข้ามารับหน้าที่ ทราบดีว่าในเรื่องกำลังคนภาครัฐนั้นมีความลักลั่น ตั้งแต่ข้าราชการ ลูกจ้างประจำลูกจ้างชั่วคราว พนักงานราชการ และภายหลังต่อมา มีลักษณะเหมาจ้าง เหมาจ่ายตั้งแต่ รายเดือน จนปัจจุบันรายชั่วโมงก็มี ตรงนี้เป็นปัญหาในหลายๆ เรื่อง ตนทราบดีว่า ความต้องการของทุกกลุ่ม จะมีค่อนข้างหลากหลาย รัฐบาลเข้ามาทำหน้าที่ในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ จำเป็นจะต้องระมัดระวังในเรื่องภาระงบประมาณที่เกิดขึ้น แต่ค่อยๆทำไป
"อย่างเช่นตอนนั้น เรื่องลูกจ้างก็มีเรื่องที่ว่า ลูกจ้างชั่วคราวเข้าประกันสังคมได้หรือไม่ เมื่อลูกจ้างชั่วคราวออกมาเรียกร้อง ผมก็ต้องไปดำเนินการใน ก.พ. อยู่ตรงนี้ก็จะผลักดันต่อไป โดยเฉพาะในส่วนลูกจ้างประจำนั้น จากเดิมซึ่งได้รับบำเหน็จ ก็ขอให้กระทรวงการคลังไปดู กระทรวงการคลัง ก็สรุปออกมาเสนอ ครม.ว่าจะสามารถเลือกได้ แทนที่จะรับเป็นเงินก้อน ก็จะรับเป็นรายเดือน จะใช้คำเรียกว่า บำเหน็จรายเดือน ตอนนั้นซึ่งฟังดูก็แปลกมาก เพราะว่ามันคงไม่ใช่ เราเข้าใจเรื่องบำเหน็จกับบำนาญกันอยู่ ก็มีการเสนอเข้าครม." นายกฯกล่าว
นายกฯกล่าวต่อว่าหลักก็คือการเปิดทางเลือก เป็นจุดเริ่มต้นซึ่งมีการประเมินว่า แน่นอนในระยะยาวต่อไป ภาระงบประมาณก็คงจะเพิ่มขึ้น แต่เมื่อประเมินแล้วก็เห็นว่า อยู่ในจุดที่รัฐบาลรับได้ และมีความเหมาะสมที่จะดำเนินการ ครม.จึงได้อนุมัติในข้อเสนอนี้ และให้มีการใช้คำว่า บำนาญ หลังจากนั้นทราบมาว่า จะเข้าเดือนกันยายน ทำให้หลายคน มีความห่วงใยในเรื่องของการปฎิบัติ ตนก็ได้สั่งการให้กระทรวงการคลัง ไปดูในเรื่องของการปฏิบัติด้วยว่า ทำอย่างไรให้ราบรื่นที่สุด
นายกฯ กล่าวต่อว่าส่วนในเรื่องของการรักษาพยาบาลที่เสนอมา จะขอรับไว้ก่อน และคิดว่าขณะนี้ต้องการให้ทันเดือนตุลาคม ตนเกรงว่าถ้ามีการเพิ่มมาอีกหลายประเด็น กระทรวงการคลัง อาจจะตอบกลับว่าไม่พร้อมที่จะทำให้ สุดท้ายก็ต้องเลื่อนทุกอย่างไป และถ้าเป็นไปได้เมื่อครม. อนุมัติหลักการ และเพิ่มทางเลือกให้ก็ควรรับไปก่อน และทำให้มีประสิทธิภาพ ส่วนเรื่องสิทธิที่ขอเพิ่มเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล มานั้น จะให้ทางกระทรวงการคลัง ไปดูและเสนอรายงานกลับมาที่ตนและถ้าจำเป็น ก็จะนำเข้าที่ประชุมครม.