ที่ประชุม ครม.เห็นชอบเปลี่ยนบำเหน็จเป็นบำนาญ ให้ลูกจ้างทั่วประเทศ หากเกษียณ รับบำนาญรายเดือน คนละ 9,800 บาทต่อเดือน แต่ต้องรับหน้าที่ราชการไม่น้อยกว่า 25 ปี เผย ปีแรกใช้เงิน 1 พันล้านบาท ให้ลูกจ้างเกษียณ 6 พันคน
วันนี้ (25 ส.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบกรณีของลูกจ้างประจำในหน่วยงานราชการทั่วประเทศ ซึ่งได้เคยมีการเรียกร้องในเรื่องของสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับบำนาญ ก็จะได้รับบำนาญตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า งบประมาณปีละ 3 พันล้าน ที่จะให้กับลูกจ้างประจำของหน่วยงานราชการ กระทรวงการคลัง สามารถรองรับได้ เพราะจะเป็นสวัสดิการที่ยุติธรรมกับลูกจ้างประจำ ในเกณฑ์ที่รับหน้าที่เกินกว่า 25 ปี ทั้งนี้ งบประมาณในปีแรกจะใช้ 1 พันล้านบาท โดยปีแรกมีผู้เกษียณอายุ 6 พันคน
ปัจจุบันลูกจ้างประจำของทางราชการ มีจำนวน 205,478 คน จะออกจากราชการเมื่ออายุ 60 ปี ประมาณปีละ 8,660 คน โดยมีสิทธิ์ได้รับบำนาญรายเดือนปีละ 6,260 คน เฉลี่ยเงินบำนาญรายเดือนคนละ 9,800 บาทต่อเดือน จะใช้เงินงบประมาณปีละ 6,001 ล้านบาท สำหรับภาระการคลังในระยะยาว ซึ่งประเมินจากลูกจ้างประจำกลุ่มสุดท้ายที่จะออกจากราชการในปี พ.ศ.2576 และใช้อายุเฉลี่ยของประชากรไทยที่อายุ 80 ปีแล้ว ภาระงบประมาณรายเดือนต้องจ่ายสำหรับกลุ่มสุดท้ายจะสิ้นสุดประมาณในปี พ.ศ.2595 รวมระยะเวลา 43 ปี ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินงบประมาณสำหรับ 43 ปี รวมทั้งสิ้น 275,846 ล้านบาท
นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นประมาณปีละ 6 พันล้านบาทนั้น รมว.คลัง แจ้งในที่ประชุมว่า ปีแรกๆ อาจจะไม่ต้องใช้เงินมากขนาดนี้ เพราะลูกจ้างประจำจะไม่มีการรับเพิ่มอีก และเปลี่ยนจากลูกจ้างประจำรายเดือน
ทั้งนี้ นายกฯ ยังสอบถามว่า ร่างฉบันนี้จะซ้ำซ้อนกับกฎหมายบำเหน็จบำนาญของข้าราชการหรือไม่ ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา แจ้งว้า กฎหมายเป็นคนฉบับไม่เกี่ยวกับลูกจ้างประจำ จึงสามารถทำได้ ซึ่งนายกฯ สอบถามว่า ทำไมถึงใช้คำว่ารายเดือน ซึ่งไม่ต้องการที่จะให้ซ้ำซ้อนกับบำเหน็จรายเดือนของข้าราชการ ดังนั้นจึงขอให้เปลี่ยนให้ใช้คำว่า บำนาญลูกจ้างแทน
สำหรับ สาระสำคัญของร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....เพื่อกำหนดให้ลูกจ้างประจำมีสิทธิ์ได้รับบำเหน็จรายเดือน (บำนาญปกติที่ลูกจ้างประจำได้รับเป็นรายเดือน) และบำเหน็จพิเศษรายเดือน (บำนาญพิเศษสำหรับลูกจ้างประจำที่ได้รับอันตราย เจ็บป่วย หรือถูกประทุษร้ายจากการปฏิบัติงาน) โดยเป็นสิทธิเฉพาะตัวของลูกจ้างไม่รวมถึงบุคคลในครอบครัว เนื่องจากเห็นว่าลูกจ้างประจำมีกำหนดเวลาการปฏิบัติงานเช่นเดียวกับข้าราชการคือเกษียณอายุเมื่ออายุครบ 60 ปี ปฏิบัติงานอยู่ในระบบราชการและทำคุณประโยชน์ให้กับทางราชการคล้ายคลึงกับข้าราชการมาเป็นเวลานาน รัฐบาลจึงควรดูแลโดยให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามสมควร
ทั้งนี้ สวัสดิการต่างๆ ที่ได้รับ และควรปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้เพิ่มมากขึ้นเมื่อลูกจ้างประจำออกจากราชการ ซึ่งปัจจุบันเมื่อออกจากราชการจะได้รับเงินบำเหน็จในคราวเดียว ทำให้ได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากไม่มีรายได้เป็นรายเดือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเรื่องค่าครองชีพ จึงได้แก้ไขระเบียบดังกล่าว โดยหลักการของระเบียบ คือ ลูกจ้างประจำซึ่งมีเวลาทำงานตั้งแต่ 25 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป หรือมีสิทธิได้รับบำเหน็จพิเศษ สามารถขอรับเป็นบำเหน็จรายเดือน หรือบำเหน็จพิเศษรายเดือนแทนก็ได้ โดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเมื่อเลือกขอรับอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้ว จะได้รับตั้งแต่ออกจากงานจนกระทั่งผู้นั้นถึงแก่ความตาย และยังกำหนดสิทธิการได้รับบำเหน็จพิเศษรายเดือนในกรณีที่ได้รับอันตราย หรือเจ็บป่วย เพราะเหตุปฏิบัติงานในหน้าที่ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดอีกด้วย
วันนี้ (25 ส.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบกรณีของลูกจ้างประจำในหน่วยงานราชการทั่วประเทศ ซึ่งได้เคยมีการเรียกร้องในเรื่องของสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับบำนาญ ก็จะได้รับบำนาญตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า งบประมาณปีละ 3 พันล้าน ที่จะให้กับลูกจ้างประจำของหน่วยงานราชการ กระทรวงการคลัง สามารถรองรับได้ เพราะจะเป็นสวัสดิการที่ยุติธรรมกับลูกจ้างประจำ ในเกณฑ์ที่รับหน้าที่เกินกว่า 25 ปี ทั้งนี้ งบประมาณในปีแรกจะใช้ 1 พันล้านบาท โดยปีแรกมีผู้เกษียณอายุ 6 พันคน
ปัจจุบันลูกจ้างประจำของทางราชการ มีจำนวน 205,478 คน จะออกจากราชการเมื่ออายุ 60 ปี ประมาณปีละ 8,660 คน โดยมีสิทธิ์ได้รับบำนาญรายเดือนปีละ 6,260 คน เฉลี่ยเงินบำนาญรายเดือนคนละ 9,800 บาทต่อเดือน จะใช้เงินงบประมาณปีละ 6,001 ล้านบาท สำหรับภาระการคลังในระยะยาว ซึ่งประเมินจากลูกจ้างประจำกลุ่มสุดท้ายที่จะออกจากราชการในปี พ.ศ.2576 และใช้อายุเฉลี่ยของประชากรไทยที่อายุ 80 ปีแล้ว ภาระงบประมาณรายเดือนต้องจ่ายสำหรับกลุ่มสุดท้ายจะสิ้นสุดประมาณในปี พ.ศ.2595 รวมระยะเวลา 43 ปี ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินงบประมาณสำหรับ 43 ปี รวมทั้งสิ้น 275,846 ล้านบาท
นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นประมาณปีละ 6 พันล้านบาทนั้น รมว.คลัง แจ้งในที่ประชุมว่า ปีแรกๆ อาจจะไม่ต้องใช้เงินมากขนาดนี้ เพราะลูกจ้างประจำจะไม่มีการรับเพิ่มอีก และเปลี่ยนจากลูกจ้างประจำรายเดือน
ทั้งนี้ นายกฯ ยังสอบถามว่า ร่างฉบันนี้จะซ้ำซ้อนกับกฎหมายบำเหน็จบำนาญของข้าราชการหรือไม่ ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา แจ้งว้า กฎหมายเป็นคนฉบับไม่เกี่ยวกับลูกจ้างประจำ จึงสามารถทำได้ ซึ่งนายกฯ สอบถามว่า ทำไมถึงใช้คำว่ารายเดือน ซึ่งไม่ต้องการที่จะให้ซ้ำซ้อนกับบำเหน็จรายเดือนของข้าราชการ ดังนั้นจึงขอให้เปลี่ยนให้ใช้คำว่า บำนาญลูกจ้างแทน
สำหรับ สาระสำคัญของร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....เพื่อกำหนดให้ลูกจ้างประจำมีสิทธิ์ได้รับบำเหน็จรายเดือน (บำนาญปกติที่ลูกจ้างประจำได้รับเป็นรายเดือน) และบำเหน็จพิเศษรายเดือน (บำนาญพิเศษสำหรับลูกจ้างประจำที่ได้รับอันตราย เจ็บป่วย หรือถูกประทุษร้ายจากการปฏิบัติงาน) โดยเป็นสิทธิเฉพาะตัวของลูกจ้างไม่รวมถึงบุคคลในครอบครัว เนื่องจากเห็นว่าลูกจ้างประจำมีกำหนดเวลาการปฏิบัติงานเช่นเดียวกับข้าราชการคือเกษียณอายุเมื่ออายุครบ 60 ปี ปฏิบัติงานอยู่ในระบบราชการและทำคุณประโยชน์ให้กับทางราชการคล้ายคลึงกับข้าราชการมาเป็นเวลานาน รัฐบาลจึงควรดูแลโดยให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามสมควร
ทั้งนี้ สวัสดิการต่างๆ ที่ได้รับ และควรปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้เพิ่มมากขึ้นเมื่อลูกจ้างประจำออกจากราชการ ซึ่งปัจจุบันเมื่อออกจากราชการจะได้รับเงินบำเหน็จในคราวเดียว ทำให้ได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากไม่มีรายได้เป็นรายเดือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเรื่องค่าครองชีพ จึงได้แก้ไขระเบียบดังกล่าว โดยหลักการของระเบียบ คือ ลูกจ้างประจำซึ่งมีเวลาทำงานตั้งแต่ 25 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป หรือมีสิทธิได้รับบำเหน็จพิเศษ สามารถขอรับเป็นบำเหน็จรายเดือน หรือบำเหน็จพิเศษรายเดือนแทนก็ได้ โดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเมื่อเลือกขอรับอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้ว จะได้รับตั้งแต่ออกจากงานจนกระทั่งผู้นั้นถึงแก่ความตาย และยังกำหนดสิทธิการได้รับบำเหน็จพิเศษรายเดือนในกรณีที่ได้รับอันตราย หรือเจ็บป่วย เพราะเหตุปฏิบัติงานในหน้าที่ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดอีกด้วย