วานนี้ ( 2 ก.ย.) คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้รับฟังคำชี้แจง กรณี นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล และส.ส. พรรคเพื่อไทย ขอให้ตรวจสอบว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2553 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา168 วรรคหก หรือไม่ โดยฝ่ายผู้ร้องมีผู้มาเข้าชี้แจงประกอบด้วยฝ่ายผู้ร้องได้แก่นายสุรพงษ์ นายประเกียรติ นาสิมมา นางอนุสรา ยังตรง ส.ส. พรรคเพื่อไทย ขณะที่ฝ่ายกรรมาธิการงบประมาณ ประกอบด้วยนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองประธานกรรมาธิการ และนายบัณฑูร สุภัควณิช ผอ.สำนักงบประมาณ ผู้เข้าชี้แจง
หลังการชี้แจงกว่า 1 ชั่วโมง นายสุรพงษ์ กล่าวว่าได้ให้ปากคำเพิ่มเติมกรณีที่ กมธ.งบประมาณฯได้แปรญัตติเพิ่มเติมงบประมาณ 22,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าขัดต่อรธน. โดยยืนยันว่า การเสนอดังกล่าว ขัดต่อมาตรา 168 วรรหก เพราะกรรมาธิการและส.ส.จะมีส่วนรู้ถึงการใช้งบประมาณ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมจะกระทำมิได้ เพราะฉะนั้นการพิจารณาของกมธ.งบฯ โดยไม่มีรายละเอียดของโครงการ เป็นไปไม่ได้ นอกจากจะมีการสมรู้ร่วมคิดกันเท่านั้น หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ การแปรญัตติเพิ่มเติมก็ถือว่าตกไป เพราะส.ส.จะทำได้แค่ปรับลดเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีการตีความว่า การแปรญัตติเพิ่มเติมนั้นไม่ได้แปรโดย กมธ.งบฯ แต่ทำโดยคณะรัฐมนตรี จะเป็นอย่างไร นายสุรงพงษ์ กล่าวว่าจะบอกว่าเป็น ครม.เป็นผู้แปรญัตติก็ทำไม่ได้ เพราะครม. ก็ต้องแปรผ่านกมธ.ฯ เช่นกัน แล้วนำมา เข้าสู่สภา โดยที่ไม่มีรายละเอียด และให้ สภารับรอง ส.ส.ไม่ใช่วัวใช่ควาย แต่ไม่ว่าผลจะออกอย่างไร เราก็ยอมรับ หากศาลตีความว่าถูก คราวหน้าเราจะทำบ้าง เพราะเราชอบเลียนแบบ
"หาก ศาลรัฐธรมนูญตีความว่าผิด รัฐบาลจะยุบสภาหรือไม่ยุบก็เป็นเรื่องของนายกฯ เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ ก็เคยเกิดขึ้นสมัยพ.ศ. 2481 ที่พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกฯ ซึ่ง พ.ร.บ. งบประมาณไม่ผ่านสภา ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ยุบสภา ดังนั้น ก็อยู่ที่รัฐบาลว่าจะละอายหรือไม่"
ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจว่าจะชนะคดีหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า "ผมไม่เคยมั่นใจอะไรกับศาล"
ด้านนายประเกียติ กล่าวว่า ตามธรรมเนียมปกติ หากรัฐบาลจะตั้งงบประมาณเพิ่มเติมให้กับกระทรวง ทบวง กรม จะต้องทำเป็น ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ รายจ่ายเพิ่มเติม มีรายละเอียดเพิ่มเติมว่า เพิ่มให้หน่วยงานใด และใช้ในกิจการอะไร และเสนอเข้าสู่สภา เริ่มต้นตั้งแต่ วาระ1 ใหม่ ไม่ใช่ลักไก่พอผ่านวาระ 1 ก็เพิ่มงบฯในชั้น กมธ.โดยที่ไม่มีรายละเอียดเช่นนี้
ด้านรมว.คลังและกมธ.งบฯ หลังใช้เวลาชี้แจงประมาณ 40 นาที ก็รีบเดินทางกลับทันที โดยปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดของการชี้แจง ซึ่งนายกรณ์ กล่าวเพียงว่า "ชี้แจงไปหมดแล้วและไม่น่ามีปัญหาใดๆ"
ภายหลังการชี้แจงศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดวันแถลงด้วยวาจา และลงมติในวันที่ 3 ก.ย. เวลา 17.00 น.
** ครม.แปรงบ 53 เพิ่มส่อไม่ขัดรธน.
รายงานข่าวแจ้งว่า กรณีคำร้องที่พรรคเพื่อไทยมายื่นมานั้น มีลักษณะเดียวกับที่ ส.ว. 30 คนที่นำโดย น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. เคยยื่นร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 สมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ โดยขณะนั้นมีการร้องว่า การตัดลดงบประมาณ และตั้งงบประมาณเพิ่มกลับมาอีกนั้น น่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 167 และ 168 เพราะครม.เป็นผู้ใช้งบประมาณ แต่ ครม.ยังมีสถานะเป็น ส.ส.จึงต้องห้ามแปรญัตติใดๆที่มีผลได้เสีย ไม่ว่าทางตรงหรืออ้อม ซึ่งในครั้งนั้นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ลงมติวินิจฉัยด้วยมติ 8 ต่อ 1 เห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 168 วรรคหก แต่อย่างใด เพราะการที่ ครม. มีมติให้เสนอเพิ่มงบประมาณ เท่ากับจำนวนที่ถูกปรับลดต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญ เป็นการกระทำในฐานะฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เพื่อให้รัฐสภาอนุมัติ ซึ่งเป็นการดำเนินการในฐานะองค์กรฝ่ายบริหาร มิได้กระทำในฐานะ ส.ส.
หลังการชี้แจงกว่า 1 ชั่วโมง นายสุรพงษ์ กล่าวว่าได้ให้ปากคำเพิ่มเติมกรณีที่ กมธ.งบประมาณฯได้แปรญัตติเพิ่มเติมงบประมาณ 22,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าขัดต่อรธน. โดยยืนยันว่า การเสนอดังกล่าว ขัดต่อมาตรา 168 วรรหก เพราะกรรมาธิการและส.ส.จะมีส่วนรู้ถึงการใช้งบประมาณ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมจะกระทำมิได้ เพราะฉะนั้นการพิจารณาของกมธ.งบฯ โดยไม่มีรายละเอียดของโครงการ เป็นไปไม่ได้ นอกจากจะมีการสมรู้ร่วมคิดกันเท่านั้น หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ การแปรญัตติเพิ่มเติมก็ถือว่าตกไป เพราะส.ส.จะทำได้แค่ปรับลดเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีการตีความว่า การแปรญัตติเพิ่มเติมนั้นไม่ได้แปรโดย กมธ.งบฯ แต่ทำโดยคณะรัฐมนตรี จะเป็นอย่างไร นายสุรงพงษ์ กล่าวว่าจะบอกว่าเป็น ครม.เป็นผู้แปรญัตติก็ทำไม่ได้ เพราะครม. ก็ต้องแปรผ่านกมธ.ฯ เช่นกัน แล้วนำมา เข้าสู่สภา โดยที่ไม่มีรายละเอียด และให้ สภารับรอง ส.ส.ไม่ใช่วัวใช่ควาย แต่ไม่ว่าผลจะออกอย่างไร เราก็ยอมรับ หากศาลตีความว่าถูก คราวหน้าเราจะทำบ้าง เพราะเราชอบเลียนแบบ
"หาก ศาลรัฐธรมนูญตีความว่าผิด รัฐบาลจะยุบสภาหรือไม่ยุบก็เป็นเรื่องของนายกฯ เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ ก็เคยเกิดขึ้นสมัยพ.ศ. 2481 ที่พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกฯ ซึ่ง พ.ร.บ. งบประมาณไม่ผ่านสภา ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ยุบสภา ดังนั้น ก็อยู่ที่รัฐบาลว่าจะละอายหรือไม่"
ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจว่าจะชนะคดีหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า "ผมไม่เคยมั่นใจอะไรกับศาล"
ด้านนายประเกียติ กล่าวว่า ตามธรรมเนียมปกติ หากรัฐบาลจะตั้งงบประมาณเพิ่มเติมให้กับกระทรวง ทบวง กรม จะต้องทำเป็น ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ รายจ่ายเพิ่มเติม มีรายละเอียดเพิ่มเติมว่า เพิ่มให้หน่วยงานใด และใช้ในกิจการอะไร และเสนอเข้าสู่สภา เริ่มต้นตั้งแต่ วาระ1 ใหม่ ไม่ใช่ลักไก่พอผ่านวาระ 1 ก็เพิ่มงบฯในชั้น กมธ.โดยที่ไม่มีรายละเอียดเช่นนี้
ด้านรมว.คลังและกมธ.งบฯ หลังใช้เวลาชี้แจงประมาณ 40 นาที ก็รีบเดินทางกลับทันที โดยปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดของการชี้แจง ซึ่งนายกรณ์ กล่าวเพียงว่า "ชี้แจงไปหมดแล้วและไม่น่ามีปัญหาใดๆ"
ภายหลังการชี้แจงศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดวันแถลงด้วยวาจา และลงมติในวันที่ 3 ก.ย. เวลา 17.00 น.
** ครม.แปรงบ 53 เพิ่มส่อไม่ขัดรธน.
รายงานข่าวแจ้งว่า กรณีคำร้องที่พรรคเพื่อไทยมายื่นมานั้น มีลักษณะเดียวกับที่ ส.ว. 30 คนที่นำโดย น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. เคยยื่นร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 สมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ โดยขณะนั้นมีการร้องว่า การตัดลดงบประมาณ และตั้งงบประมาณเพิ่มกลับมาอีกนั้น น่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 167 และ 168 เพราะครม.เป็นผู้ใช้งบประมาณ แต่ ครม.ยังมีสถานะเป็น ส.ส.จึงต้องห้ามแปรญัตติใดๆที่มีผลได้เสีย ไม่ว่าทางตรงหรืออ้อม ซึ่งในครั้งนั้นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ลงมติวินิจฉัยด้วยมติ 8 ต่อ 1 เห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 168 วรรคหก แต่อย่างใด เพราะการที่ ครม. มีมติให้เสนอเพิ่มงบประมาณ เท่ากับจำนวนที่ถูกปรับลดต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญ เป็นการกระทำในฐานะฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เพื่อให้รัฐสภาอนุมัติ ซึ่งเป็นการดำเนินการในฐานะองค์กรฝ่ายบริหาร มิได้กระทำในฐานะ ส.ส.
