ขอพักการเมืองไทยที่ยังไงๆ ก็ยังคงสะกดคำว่า “เปลี่ยนแปลง (Change)” กับเขาให้ “ทันสมัย-ทันโลก” ไม่ได้ซักทีหนึ่ง เนื่องด้วยสัปดาห์ที่ผ่านมา เราคนไทยทุกคนได้ “เอื่อมระอา” อีกครั้งกับ “พฤติการณ์-พฤติกรรม” ของบรรดา “นักการเมืองผู้ทรงเกียรติ” จำนวนเกือบ 10 คน ที่แสดงกิริยาที่ต้องเรียกว่า “หยาบคาย-ถ่อย” จนมีหลายฝ่ายถึงกับเอ่ยเอื้อนคำว่า “สมเพช!” กับการตอบโต้ด้วย “กล้วย” และ “ไอ้...เห้...!” กลางสภาหินอ่อน สาเหตุจากการไม่มีการถ่ายทอดสดช่วงอภิปรายร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553
การเมืองไทยที่เราต่างตระหนักรู้ดีกันอยู่เสมอว่า “เน่า!” มาโดยตลอด นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนระบอบการปกครอง ว่ากันตามความเป็นจริงและเป็นธรรมแล้ว “พฤติกรรมเน่า” ของนักการเมืองยุคหลังช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมานี้เองที่เลวร้ายมากกว่าในอดีต ที่ “หยาบคาย-แจกของลับ-ตะโกนสัตว์เลื้อยคลาน” ประพฤติปฏิบัติตนเองไม่สมกับคำว่า “ผู้ทรงเกียรติ”
“การประท้วง-ด่าทอ-คำหยาบ” ก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนคนไทยเราเกิดอาการเบื่อหน่าย ซึ่งมิใช่เรื่องใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น กับเหตุการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพียงแต่เป็น “การตอกย้ำ” และ “สะท้อน” ให้เห็นถึง “รากฐาน-สันดานดิบ” ของนักการเมืองไทย ที่เราต่างรู้ซึ้งมาโดยตลอดว่า “จมปลัก!” อยู่กับ “วังวน” เช่นนี้มาหลายสิบปี และขอร่วมด้วยว่า “น่าสมเพช-น่าอดสู” ทั้งๆ ที่มีระดับความรู้ตั้งแต่ปริญญาตรี ปริญญาโท และถึงขั้น “ด็อกเตอร์-นายแพทย์” ก็เยอะ แต่ยังจมอยู่กับ “พฤติกรรมต่ำทราม!”
มาติดตาม “การเมืองญี่ปุ่น-แดนซามูไร-อาทิตย์อุทัย” กันดีกว่า ที่แน่นอนแล้วว่า “เปลี่ยนแปลง (Change)” อย่างแน่นอน โดยเฉพาะ “การพลิกโฉมหน้า” จากเก่าสู่ใหม่อย่างแท้จริง
ประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งโลกที่ 2 เป็นต้นมา ที่สงครามโลกยุติเมื่อ ค.ศ.1945 นับจากนั้นมาถึงวันนี้ 64 ปี น่าจะพอดิบพอดี ประเทศญี่ปุ่นในฐานะที่แพ้สงครามได้รับการประคบประหงมดูแลอย่างดี ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเมืองจากประเทศสหรัฐอเมริกา จนเรียกได้ว่าเป็น “พันธมิตร-เพื่อนเกลอ-บั๊ดดี้ (Buddy)” ของสหรัฐอเมริกานั้นมาจนถึงปัจจุบัน
อเมริกาช่วยจัดระเบียบทางการเมือง ตลอดจนอุ้มชูเศรษฐกิจ และเป็น “หุ้นส่วน (Partner)” กับญี่ปุ่น จนทำให้สภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเจริญรุดหน้า จนสามารถเรียกว่า “ก้าวกระโดด!” อย่างแท้จริงหลัง “สงครามคาบสมุทรเกาหลี” และ “หลังยุคสงครามเย็น (Cold War)”
ความมี “เสถียรภาพทางการเมือง” ของประเทศญี่ปุ่นเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดปัจจัยหนึ่ง นอกเหนือ “ความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ” กับประเทศสหรัฐอเมริกา นับถอยหลังไปประมาณ 50 กว่าปีก่อนสงครามเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การยึดครอง “สนามการเมือง” ของ “พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP : Liberal Democratic Party)” ที่ปักหลักมาอย่างยาวนานสืบทอดอำนาจรัฐบาลแอลพีดีมาโดยตลอดระยะเวลาประมาณ 54 ปี
จากการเมืองที่มีเสถียรภาพ เป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวที่ยึดครองอำนาจมาอย่างยาวนานเช่นนี้ จึงทำให้ “เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ” ของญี่ปุ่นเป็น “ซูเปอร์มหาอำนาจ” ของเศรษฐกิจโลกมายาวนานเช่นเดียวกัน
ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1965 เป็นต้นมา สภาวะเศรษฐกิจของดินแดนอาทิตย์อุทัยเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกว่า “ก้าวกระโดด” นำหน้าเศรษฐกิจทุกประเทศในภูมิภาคเอเชีย แม้แต่ประเทศจีนกับเกาหลีใต้ในช่วงนั้น ยังตามญี่ปุ่นไม่ทันชนิดที่เรียกว่า “ไม่เห็นฝุ่น!” ก็แล้วกัน
การก้าวกระโดดทางด้านอุตสาหกรรมที่เป็นองค์ประกอบหลักของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ล้ำหน้าไปอย่างมากมาย โดยเฉพาะมาได้ “คู่ค้า-หุ้นส่วน” อย่างประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประกบคู่ไปด้วยกันได้ดี ซึ่งในช่วง ค.ศ.1970 เรื่อยมา “ความแข็งแกร่ง” ของสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน
ที่สำคัญที่สุดหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังสงครามเย็นกับสงครามเกาหลี แต่ดันมาพ่ายแพ้กับสงครามเวียดนาม ทำให้สหรัฐฯ เสียรังวัดไปอักโข แต่ก็มิได้ทำให้สหรัฐฯ มีปัญหาแต่ประการใด ไม่เพียงแต่ “เสียเครดิต” เท่านั้น
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วง 1970-1990 ถือว่า “รุ่งเรือง-รุ่งโรจน์” ที่สุด จนเป็น “อภิมหาอำนาจ-จ้าวโลก!” ตลอดจนเป็น “ท้าวมาลีวราช-ตำรวจโลก” คอยก้าวก่ายกับทุกประเทศทั่วโลกไปหมด เรียกว่า “สั่งการ-กดปุ่ม” จะเอาอย่างไรก็ได้ทุกประเทศทั่วโลก ประกอบกับมีการลงทุนไปแทบทั่วทุกแห่งทั่วโลก โดยเฉพาะในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ “อาเซียน (Asean)” ในปัจจุบัน โดยไม่มาปักหลักลงทุนเอง ก็จะมี “ตัวแทน-นอมินี” สำคัญ โดยเฉพาะญี่ปุ่น “หุ้นส่วนใหญ่” มาลงทุนในภาคอุตสาหกรรมกับภูมิภาคเอเซีย
จึงเป็นธรรมดาที่ญี่ปุ่นมี “แบ็กอัพ-สนับสนุน-กำแพง” ดีอย่างสหรัฐฯ จึงทำให้สภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นพลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย โดยเฉพาะ “ภาคการลงทุน-ภาคการเงิน”
ระบบการเมืองการปกครองของญี่ปุ่น นับว่าเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียที่เป็น “ระบอบประชาธิปไตย” แข็งแกร่งมากที่สุด จนได้รับการยกย่องจากนานาอารยประเทศ และแน่นอนในทางคู่ขนานกันก็ทำให้สภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นพลอยแข็งแกร่งมั่นคง มีเสถียรภาพตั้งแต่นั้นมา
พรรคการเมืองที่ผูกขาดมายาวนานตลอดระยะเวลาเกือบ 54 ปี ของ “พรรคเสรีประชาธิปไตย” หรือมักเรียกกันติดปากว่า “LDP : แอลดีพี” ยึดครองอำนาจการเมืองการปกครองติดต่อกันมาโดยตลอด
จะมีเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียง 10 เดือนเท่านั้น เมื่อปี 2536 ที่พรรคร่วมรัฐบาลได้ก้าวขึ้นมาบริหารประเทศแทนพรรคแอลดีพีที่ตกต่ำด้วยคะแนนนิยมในช่วงนั้น แต่ก็ปรากฏว่าก็มิได้ทำให้เกิดความมีเสถียรภาพที่มั่นคงได้
ในที่สุด นายจุนอิชิโร โคอิซูมิ นักการเมืองนิยมไว้ทรงผมแบบ “เต่าทอง-บีทเทิ้ล (Beatle)” ได้ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2544 และกอบกู้คะแนนนิยมของพรรคกลับคืนมาได้ ทั้งนี้ นายโคอิซูมิสามารถนำพาพรรคแอลดีพีให้โลดแล่นสร้างคะแนนนิยมให้แก่พรรคแอลดีพี และความเชื่อมั่นศรัทธา กอบกู้เศรษฐกิจให้กลับมาอีกครั้งตลอด 3-4 ปี ที่นายโคอิซูมิ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เมื่อปี 2549 นายโคอิซูมิ ได้ก้าวลงลาออกจากตำแหน่งอย่างสง่างามและด้วยความเสียดายของชาวแดนซามูไร พรรคแอลดีพีก็เริ่ม “ร่วงดิ่ง!” ลงมาอีกครั้ง จนมีผู้นำพรรคถึง 3 คน แต่ก็ไม่อาจทวงคืนคะแนนนิยมกลับมาได้ และจนล่าสุด สภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นก็เริ่ม “หัวทิ่ม!” ตกต่ำลงอย่างมากจากสภาวะทางการเมืองของญี่ปุ่นเอง แถมถูกซ้ำเติมด้วย “สภาวะเศรษฐกิจทรุด” ของสหรัฐฯ ที่เป็นหุ้นส่วนเกี่ยวโยงด้าน “การค้า-การลงทุน-การเงิน” ร่วมกันชนิดแน่นแฟ้นจนแยกออกจากกันไม่ออก!
“นายทาโร อาโสะ” ผู้นำแอลดีพีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนล่าสุดที่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่นานนัก ชาวอาทิตย์อุทัยไม่ปลื้ม เนื่องด้วยปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่ตกต่ำ แต่ยังออกมาตรการสั่งเก็บภาษีเพิ่ม ตลอดจนส่งทหารไปปฏิบัติภารกิจที่คาบสมุทรอินเดีย และอัฟกานิสถานร่วมมือกอดคอกับรัฐบาลสหรัฐฯ จนล่าสุด ปัญหาการว่างงานก็เกิดขึ้น
นับว่าเป็นความโชคร้ายของนายทาโร อาโสะ ที่เป็นผู้นำพรรคแอลดีพีคนสุดท้ายที่ต้องพูดภาษาชาวบ้านว่า พรรคแอลดีพี “ตกต่ำสุดขีด!” ในยุคของเขา นี่ถ้าเป็นใน “ยุคโชกุนเลือดบูชิโด” ที่แท้จริง “ความอับอาย” ในครั้งนี้ อาจเกิด “การฮาราคีรี” ก็เป็นได้!
“พรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น (DPJ : Democratic Party of Japan)” หรืออาจเรียกว่า “พรรคประชาธิปัตย์” ของญี่ปุ่นก็ย่อมได้ ที่มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทรราษฎร (ส.ส.) เพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น จากจำนวน ส.ส.ใน “สภาเอโดะ” ทั้งหมด 480 ที่นั่ง เหมือนบ้านเรา โดยมีพรรคแอลดีพียึดที่นั่งไว้ประมาณ 300 กว่าที่นั่งแบบผูกขาดเบ็ดเสร็จมายาวนาน
การเลือกตั้งทั่วไปในครั้งนี้ คาดการณ์กันมานานแล้วว่า “พลิกฟ้าพลิกดิน” ที่ชาวซามูไรต้องการ “ความเปลี่ยนแปลง (Change)” โดย “พรรคดีพีเจ” ได้จำนานเก้าอี้ ส.ส.ในสภาเอโดะแบบถล่มทลาย จำนวน 308 ที่นั่ง พรรคแอลดีพีตกต่ำได้เพียง 100 กว่าที่นั่ง เรียกว่า “สลับขั้ว” กันเลย!
ชาวอาทิตย์อุทัยที่มีสิทธิใช้สิทธิหย่อนบัตรเลือกตั้งจำนวน 107 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 127 ล้านคน ซึ่งน่าเชื่อว่า “การเมืองญี่ปุ่น” ในญี่ปุ่นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองญี่ปุ่นที่พรรคแอลดีพีผูกขาดมายาวนาน 54 ปี
อย่างไรตาม “พรรคดีพีเจ” จะยึดครองแชมป์ได้นานขนาดไหน ชาวญี่ปุ่นและชาวโลกต่างเฝ้าจับตามองอย่างไม่กะพริบแน่!
การเมืองไทยที่เราต่างตระหนักรู้ดีกันอยู่เสมอว่า “เน่า!” มาโดยตลอด นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนระบอบการปกครอง ว่ากันตามความเป็นจริงและเป็นธรรมแล้ว “พฤติกรรมเน่า” ของนักการเมืองยุคหลังช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมานี้เองที่เลวร้ายมากกว่าในอดีต ที่ “หยาบคาย-แจกของลับ-ตะโกนสัตว์เลื้อยคลาน” ประพฤติปฏิบัติตนเองไม่สมกับคำว่า “ผู้ทรงเกียรติ”
“การประท้วง-ด่าทอ-คำหยาบ” ก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนคนไทยเราเกิดอาการเบื่อหน่าย ซึ่งมิใช่เรื่องใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น กับเหตุการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพียงแต่เป็น “การตอกย้ำ” และ “สะท้อน” ให้เห็นถึง “รากฐาน-สันดานดิบ” ของนักการเมืองไทย ที่เราต่างรู้ซึ้งมาโดยตลอดว่า “จมปลัก!” อยู่กับ “วังวน” เช่นนี้มาหลายสิบปี และขอร่วมด้วยว่า “น่าสมเพช-น่าอดสู” ทั้งๆ ที่มีระดับความรู้ตั้งแต่ปริญญาตรี ปริญญาโท และถึงขั้น “ด็อกเตอร์-นายแพทย์” ก็เยอะ แต่ยังจมอยู่กับ “พฤติกรรมต่ำทราม!”
มาติดตาม “การเมืองญี่ปุ่น-แดนซามูไร-อาทิตย์อุทัย” กันดีกว่า ที่แน่นอนแล้วว่า “เปลี่ยนแปลง (Change)” อย่างแน่นอน โดยเฉพาะ “การพลิกโฉมหน้า” จากเก่าสู่ใหม่อย่างแท้จริง
ประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งโลกที่ 2 เป็นต้นมา ที่สงครามโลกยุติเมื่อ ค.ศ.1945 นับจากนั้นมาถึงวันนี้ 64 ปี น่าจะพอดิบพอดี ประเทศญี่ปุ่นในฐานะที่แพ้สงครามได้รับการประคบประหงมดูแลอย่างดี ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเมืองจากประเทศสหรัฐอเมริกา จนเรียกได้ว่าเป็น “พันธมิตร-เพื่อนเกลอ-บั๊ดดี้ (Buddy)” ของสหรัฐอเมริกานั้นมาจนถึงปัจจุบัน
อเมริกาช่วยจัดระเบียบทางการเมือง ตลอดจนอุ้มชูเศรษฐกิจ และเป็น “หุ้นส่วน (Partner)” กับญี่ปุ่น จนทำให้สภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเจริญรุดหน้า จนสามารถเรียกว่า “ก้าวกระโดด!” อย่างแท้จริงหลัง “สงครามคาบสมุทรเกาหลี” และ “หลังยุคสงครามเย็น (Cold War)”
ความมี “เสถียรภาพทางการเมือง” ของประเทศญี่ปุ่นเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดปัจจัยหนึ่ง นอกเหนือ “ความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ” กับประเทศสหรัฐอเมริกา นับถอยหลังไปประมาณ 50 กว่าปีก่อนสงครามเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การยึดครอง “สนามการเมือง” ของ “พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP : Liberal Democratic Party)” ที่ปักหลักมาอย่างยาวนานสืบทอดอำนาจรัฐบาลแอลพีดีมาโดยตลอดระยะเวลาประมาณ 54 ปี
จากการเมืองที่มีเสถียรภาพ เป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวที่ยึดครองอำนาจมาอย่างยาวนานเช่นนี้ จึงทำให้ “เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ” ของญี่ปุ่นเป็น “ซูเปอร์มหาอำนาจ” ของเศรษฐกิจโลกมายาวนานเช่นเดียวกัน
ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1965 เป็นต้นมา สภาวะเศรษฐกิจของดินแดนอาทิตย์อุทัยเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกว่า “ก้าวกระโดด” นำหน้าเศรษฐกิจทุกประเทศในภูมิภาคเอเชีย แม้แต่ประเทศจีนกับเกาหลีใต้ในช่วงนั้น ยังตามญี่ปุ่นไม่ทันชนิดที่เรียกว่า “ไม่เห็นฝุ่น!” ก็แล้วกัน
การก้าวกระโดดทางด้านอุตสาหกรรมที่เป็นองค์ประกอบหลักของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ล้ำหน้าไปอย่างมากมาย โดยเฉพาะมาได้ “คู่ค้า-หุ้นส่วน” อย่างประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประกบคู่ไปด้วยกันได้ดี ซึ่งในช่วง ค.ศ.1970 เรื่อยมา “ความแข็งแกร่ง” ของสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน
ที่สำคัญที่สุดหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังสงครามเย็นกับสงครามเกาหลี แต่ดันมาพ่ายแพ้กับสงครามเวียดนาม ทำให้สหรัฐฯ เสียรังวัดไปอักโข แต่ก็มิได้ทำให้สหรัฐฯ มีปัญหาแต่ประการใด ไม่เพียงแต่ “เสียเครดิต” เท่านั้น
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วง 1970-1990 ถือว่า “รุ่งเรือง-รุ่งโรจน์” ที่สุด จนเป็น “อภิมหาอำนาจ-จ้าวโลก!” ตลอดจนเป็น “ท้าวมาลีวราช-ตำรวจโลก” คอยก้าวก่ายกับทุกประเทศทั่วโลกไปหมด เรียกว่า “สั่งการ-กดปุ่ม” จะเอาอย่างไรก็ได้ทุกประเทศทั่วโลก ประกอบกับมีการลงทุนไปแทบทั่วทุกแห่งทั่วโลก โดยเฉพาะในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ “อาเซียน (Asean)” ในปัจจุบัน โดยไม่มาปักหลักลงทุนเอง ก็จะมี “ตัวแทน-นอมินี” สำคัญ โดยเฉพาะญี่ปุ่น “หุ้นส่วนใหญ่” มาลงทุนในภาคอุตสาหกรรมกับภูมิภาคเอเซีย
จึงเป็นธรรมดาที่ญี่ปุ่นมี “แบ็กอัพ-สนับสนุน-กำแพง” ดีอย่างสหรัฐฯ จึงทำให้สภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นพลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย โดยเฉพาะ “ภาคการลงทุน-ภาคการเงิน”
ระบบการเมืองการปกครองของญี่ปุ่น นับว่าเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียที่เป็น “ระบอบประชาธิปไตย” แข็งแกร่งมากที่สุด จนได้รับการยกย่องจากนานาอารยประเทศ และแน่นอนในทางคู่ขนานกันก็ทำให้สภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นพลอยแข็งแกร่งมั่นคง มีเสถียรภาพตั้งแต่นั้นมา
พรรคการเมืองที่ผูกขาดมายาวนานตลอดระยะเวลาเกือบ 54 ปี ของ “พรรคเสรีประชาธิปไตย” หรือมักเรียกกันติดปากว่า “LDP : แอลดีพี” ยึดครองอำนาจการเมืองการปกครองติดต่อกันมาโดยตลอด
จะมีเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียง 10 เดือนเท่านั้น เมื่อปี 2536 ที่พรรคร่วมรัฐบาลได้ก้าวขึ้นมาบริหารประเทศแทนพรรคแอลดีพีที่ตกต่ำด้วยคะแนนนิยมในช่วงนั้น แต่ก็ปรากฏว่าก็มิได้ทำให้เกิดความมีเสถียรภาพที่มั่นคงได้
ในที่สุด นายจุนอิชิโร โคอิซูมิ นักการเมืองนิยมไว้ทรงผมแบบ “เต่าทอง-บีทเทิ้ล (Beatle)” ได้ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2544 และกอบกู้คะแนนนิยมของพรรคกลับคืนมาได้ ทั้งนี้ นายโคอิซูมิสามารถนำพาพรรคแอลดีพีให้โลดแล่นสร้างคะแนนนิยมให้แก่พรรคแอลดีพี และความเชื่อมั่นศรัทธา กอบกู้เศรษฐกิจให้กลับมาอีกครั้งตลอด 3-4 ปี ที่นายโคอิซูมิ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เมื่อปี 2549 นายโคอิซูมิ ได้ก้าวลงลาออกจากตำแหน่งอย่างสง่างามและด้วยความเสียดายของชาวแดนซามูไร พรรคแอลดีพีก็เริ่ม “ร่วงดิ่ง!” ลงมาอีกครั้ง จนมีผู้นำพรรคถึง 3 คน แต่ก็ไม่อาจทวงคืนคะแนนนิยมกลับมาได้ และจนล่าสุด สภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นก็เริ่ม “หัวทิ่ม!” ตกต่ำลงอย่างมากจากสภาวะทางการเมืองของญี่ปุ่นเอง แถมถูกซ้ำเติมด้วย “สภาวะเศรษฐกิจทรุด” ของสหรัฐฯ ที่เป็นหุ้นส่วนเกี่ยวโยงด้าน “การค้า-การลงทุน-การเงิน” ร่วมกันชนิดแน่นแฟ้นจนแยกออกจากกันไม่ออก!
“นายทาโร อาโสะ” ผู้นำแอลดีพีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนล่าสุดที่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่นานนัก ชาวอาทิตย์อุทัยไม่ปลื้ม เนื่องด้วยปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่ตกต่ำ แต่ยังออกมาตรการสั่งเก็บภาษีเพิ่ม ตลอดจนส่งทหารไปปฏิบัติภารกิจที่คาบสมุทรอินเดีย และอัฟกานิสถานร่วมมือกอดคอกับรัฐบาลสหรัฐฯ จนล่าสุด ปัญหาการว่างงานก็เกิดขึ้น
นับว่าเป็นความโชคร้ายของนายทาโร อาโสะ ที่เป็นผู้นำพรรคแอลดีพีคนสุดท้ายที่ต้องพูดภาษาชาวบ้านว่า พรรคแอลดีพี “ตกต่ำสุดขีด!” ในยุคของเขา นี่ถ้าเป็นใน “ยุคโชกุนเลือดบูชิโด” ที่แท้จริง “ความอับอาย” ในครั้งนี้ อาจเกิด “การฮาราคีรี” ก็เป็นได้!
“พรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น (DPJ : Democratic Party of Japan)” หรืออาจเรียกว่า “พรรคประชาธิปัตย์” ของญี่ปุ่นก็ย่อมได้ ที่มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทรราษฎร (ส.ส.) เพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น จากจำนวน ส.ส.ใน “สภาเอโดะ” ทั้งหมด 480 ที่นั่ง เหมือนบ้านเรา โดยมีพรรคแอลดีพียึดที่นั่งไว้ประมาณ 300 กว่าที่นั่งแบบผูกขาดเบ็ดเสร็จมายาวนาน
การเลือกตั้งทั่วไปในครั้งนี้ คาดการณ์กันมานานแล้วว่า “พลิกฟ้าพลิกดิน” ที่ชาวซามูไรต้องการ “ความเปลี่ยนแปลง (Change)” โดย “พรรคดีพีเจ” ได้จำนานเก้าอี้ ส.ส.ในสภาเอโดะแบบถล่มทลาย จำนวน 308 ที่นั่ง พรรคแอลดีพีตกต่ำได้เพียง 100 กว่าที่นั่ง เรียกว่า “สลับขั้ว” กันเลย!
ชาวอาทิตย์อุทัยที่มีสิทธิใช้สิทธิหย่อนบัตรเลือกตั้งจำนวน 107 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 127 ล้านคน ซึ่งน่าเชื่อว่า “การเมืองญี่ปุ่น” ในญี่ปุ่นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์การเมืองญี่ปุ่นที่พรรคแอลดีพีผูกขาดมายาวนาน 54 ปี
อย่างไรตาม “พรรคดีพีเจ” จะยึดครองแชมป์ได้นานขนาดไหน ชาวญี่ปุ่นและชาวโลกต่างเฝ้าจับตามองอย่างไม่กะพริบแน่!