xs
xsm
sm
md
lg

ตัดต่อคลิปมาร์ค วินมาร์ค เอสซี แมนซิฯ เพชรแม้ว เป็นแนวระบอบทักษิณ

เผยแพร่:   โดย: ไทยทน

ทันทีที่มีข่าวการ “ตัดต่อ” คลิปเสียงนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงคำพูดในลักษณะสร้างความรุนแรง ประชาชนไม่น้อยก็ไม่รู้สึกแปลกใจ เพราะต่างกับที่ได้เห็นความจริงที่ท่านนายกฯ ได้แก้ไขปัญหาด้วยการสร้างความรักความสามัคคีมาโดยตลอด

จะว่าไป ความคิดทางการเมืองของระบอบทักษิณ ที่ใช้เทคนิคการ “ตัดต่อ” นั้น ไม่ใช่ครั้งแรก และยังเป็นสิ่งที่ทำได้อย่างต่อเนื่อง ตราบเท่าที่ทุกครั้งที่พยายาม สื่อมวลชนยังให้โอกาสในการเผยแพร่ความเท็จเช่นนั้น เพียงสื่อมวลชนมีจิตสำนึกคล้ายๆ ครั้งนี้ ให้ความรู้กับประชาชนว่า มี “กลิ่น” ของ “ความเท็จ” ก็น่าจะทำให้ประเทศไทย รอดพ้นจากอำนาจมืดแห่งความเท็จ เข้าสู่ความสว่างแห่งสัจธรรมความจริงเสียที

1. ตัดต่อ “คลิปมาร์ค” : นายกฯ มาร์คได้อธิบายชี้แจงได้ชัดเจน จากการพิสูจน์ได้ด้านเทคโนโลยีว่ามีการตัดต่อเสียง ต้องชื่นชมสื่อมวลชน ที่ตัวแทนก็เห็นกับตาในการสลายการชุมนุมช่วงสงกรานต์ ซึ่งภาครัฐได้ปฏิบัติอย่างระมัดระวัง กลุ่มเสื้อแดงและกลุ่มสื่อมวลชนช่วยกันติดตามตรวจสอบมากมาย แต่ก็ไม่พบความรุนแรง แม้จะพยายามกล่าวอ้างว่ามี “ศพ” บ่อยๆ แต่ก็ไม่สามารถหาหลักฐานได้แต่อย่างใด

วิธีถามของคนในระบอบทักษิณบางคนในลักษณะว่า “เสียงทั้งหมดในคลิปเป็นเสียงนายกฯ หรือเปล่า?” ช่วยยืนยันว่า ต้องการนำไปใช้ตัดต่อต่อไป เพราะคำอธิบายก็ชัดอยู่แล้วว่า เสียงนายกฯ ถูกนำมาตัดต่อให้ความหมายเปลี่ยน ทำไมใช้คำถามว่า “เสียงทั้งหมดเป็นของนายกฯ หรือเปล่า?” ถามว่า “ท่านพูดดังที่คลิปบันทึกไว้หรือเปล่า?” ไม่ง่ายกว่าหรือ? ไม่ชัดกว่าหรือ? การถามเพียงเช่นนั้น ก็เพื่อสร้างความเท็จให้คนสับสนเพิ่มเติมเท่านั้น

2. ตัดต่อ “วินมาร์ค” : พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และภรรยา ได้สร้างภาพว่า ขายหุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 5-6 บริษัทให้วินมาร์ค ในวันที่ 1 สิงหาคม 2543 ที่ราคาพาร์ โดยอธิบายผ่านสื่อมวลชนว่า เป็นนักลงทุนต่างประเทศ ขายได้ที่ราคาพาร์ก็ดีแล้ว ที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อทั้งๆที่สภาพตลาดไม่ดีก็เพราะจะรอเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ภาพที่ถูกตัดออกไป คือ แต่ละบริษัทมีกำไร/ขาดทุน/มูลค่าไม่เท่ากันเลย กลับซื้อขายเหมาเข่งที่ราคาพาร์ทุกครั้งทุกบริษัทเลย สะท้อนว่าไม่มีการต่อรองระหว่างนักลงทุนเลย

3. ตัดต่อ “เอสซี” : ใน 5-6 บริษัทที่วินมาร์คซื้อไปนั้น มีเพียงบริษัทเดียวที่เข้าตลาดได้ คือ เอสซีแอสเสทฯ (SC) แต่วินมาร์คกลับขายออกไป 3 สัปดาห์ก่อนยื่นไฟลิ่งกับสำนักงาน กลต. ให้กองทุน VAF และกองทุน VAF ถือหุ้นเพียง 3 สัปดาห์ ก็โอนออกไปขายให้กองทุน OGF และ ODF แล้วตัดต่อเป็นข้อมูลบนหนังสือชี้ชวนขายหุ้น SC

ทั้งๆ ที่กองทุนทั้งสามคือ VAF, OGF และ ODF มีที่อยู่เดียวกัน สะท้อนว่า บริษัทมีการปกปิดข้อมูลจริง และแสดงข้อมูลเท็จในข้อมูลการถือหุ้นของครอบครัวชินวัตร และข้อมูลโครงสร้างผู้ถือหุ้น

สำนักงาน กลต. และดีเอสไอ สมัยท่านนายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงในวันที่ 19 มิถุนายน 2550 ได้กล่าวโทษแล้วว่า พบพยานหลักฐานที่ทำให้น่าเชื่อว่า Win Mark VIF OGF และ ODF เป็นนิติบุคคลที่อำพรางการถือหุ้น (Nominee) ของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และภรรยา จึงแสดงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และภรรยา เป็นเจ้าของหุ้นและเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจดำเนินการเกี่ยวกับหุ้น SC Asset และหุ้นของบริษัทในครอบครัวชินวัตรอีก 5 แห่งที่ถือโดยนิติบุคคลดังกล่าวมาโดยตลอด

ทำให้เห็นได้ว่า ท่านมีแหล่งเงินซ่อนไว้ในต่างประเทศผ่านวินมาร์ค และกองทุนต่างๆ นั้น และการขายหุ้นเหล่านั้นไป ก็เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งในการ “ฟอกเงิน” ซ่อนอยู่ในต่างประเทศเท่านั้น

และน่าคิดว่ามีเงินต่างประเทศที่ไม่เปิดเผยได้อย่างไร?

หากปะติดปะต่อ (ไม่ใช่ตัดต่อ) จากคำพูดของท่านเสนาะ เทียนทอง เลขาธิการ พรรคไทยรักไทย คนแรกในช่วงต้องระดมเงินช่วงแรกบนเวทีพันธมิตรฯ ช่วงต้นปี 2549 ว่า “เพราะรวยจากโกงชาติ กล้าทำแม้เผาบ้านเผาเมืองเพื่อเอาประกัน มีการไตร่ตรองและวางแผนไว้ก่อนทุกขั้นทุกตอน ...วันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กับประธานรัฐสภาที่เพิ่งหมดวาระไปไปหาหัวหน้าจิ๋ว คุยกุ๊กกิ๊กอะไรตนไม่รู้ แล้วในที่สุดให้ นายทนง พิทยะ มาเป็น รมว.คลัง เข้ามาไม่กี่วันก็ลอยตัวค่าเงินบาท จาก 26 บาท ขึ้นเป็น 50 บาท พี่น้องคนไทยเจ๊งเป็นเอ็นพีแอลทั้งประเทศ พอเสร็จภารกิจก็ลาออกเลย มาจัดตั้งรัฐบาลใหม่” เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทุบทำลายค่าเงินบาทจนมีเงินซ่อนในกองทุนต่างประเทศมากมาย แต่ชาติล่มจม คนไทยต้องล้มละลายมากมาย

ความผิดขนาดนี้ ก็น่าจะเข้าใจได้ว่า ทำไมแหล่งเงินในต่างประเทศนั้น จึงต้องซุกซ่อน และทยอยออกมาซื้อของที่ทำให้ตนและภรรยา ดูเหมือนมีเงินสุจริตเข้ามา ซึ่งก็คือ การ “ฟอกเงิน” ที่ได้จากการทุจริตนั่นเอง

4. ตัดต่อ “แมนซิฯ” : พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ตัดต่อสร้างภาพว่าเป็นเศรษฐีนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จสูง มีหน้าตาที่สง่างามในการซื้อหุ้นสโมสร แมนเชสเตอร์ซิตี้เป็นปี แล้วยังทำให้ทีมแมนซิฯ ซื้อตัวผู้จัดการทีมอย่างเสวน และนักเตะเก่งๆ ค่าตัวแพงๆอีกหลายคน

ทั้งๆ ที่การมีแหล่งเงินต่างประเทศ ก็ผิดรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว เอาเงินที่ไหนมาซื้อ? เปิดเผยต่อ ป.ป.ช. หรือไม่? เงินที่ครอบครัวได้จากการขายหุ้นชินฯ ให้เทมาเส็ก โอนไปผ่านประไหมสุหรี ฯลฯ เอาไปใช้ซื้อใช่ไหม? ในเมื่อเป็นหุ้นของ บรรณพจน์ ยิ่งลักษณ์ หรือลูกๆ ทำไมเมื่อซื้อแล้ว กลายเป็นของ ทักษิณและภรรยา แสดงว่าที่ให้ถือหุ้นชินฯ ก็คือ “ซุกหุ้น” เพื่อไม่ขัดต่อการเป็นนายกฯ ใช่ไหม? ทำให้ดูเหมือนการที่แก้เงื่อนไขสัมปทานมือถือให้ภาครัฐเสียประโยชน์นั้น ไม่ใช่ประโยชน์ของตัว เป็นเพียงของลูก น้อง และพี่ภรรยาเท่านั้น ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ (?) แต่ในที่สุด ภาพของแมนซิฯ ที่มองอย่างปะติดปะต่อ ไม่เชื่อตามที่ตัดต่อ ก็เห็นชัดว่า เป็นการเอาเงินผ่านการซุกหุ้นมาซื้อ และกำไรที่ได้ก็เกิดจากการ “เติมเงิน” จากแหล่งทุจริต ซื้อตัวผู้จัดการและนักเตะ จนทำให้ขายไปได้เงินมากขึ้น ดูเป็นกำไรที่สะอาด ก็คือการ “ฟอกเงิน” นั่นเอง

5. ตัดต่อ “เพชรแม้ว” : สุดท้าย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร กำลังตัดต่อสร้างภาพว่าเป็นเศรษฐีนักธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จสูง ในการซื้อเหมืองเพชร และจะทำกำไรอีกมากมายจากเพชรที่ได้ ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นการ “ตัดต่อ” จากเหมืองเพชร “ตัดต่อ” ว่าได้เพชรจากเหมืองง่ายจะตาย ด้วยการไปใช้เงินสกปรกแอบซื้อแร่เพชร หรือผลผลิตเพชร ทำเป็นเติมเข้าไป ก็ทำให้ดูเหมือนเป็นเงินที่สะอาดได้ง่ายจริงๆ

ที่สุดแล้ว หากไม่มีการตรวจบัญชี ตรวจการดำเนินงานอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ก็เชื่อได้ว่าเป็นการ “ตัดต่อ” เพื่อการฟอกเงินต่อไป

และกระบวนการเอาความเท็จมาเผยแพร่ ก็ยังทำได้หากสื่อมวลชนทำเป็นไม่เข้าใจ ไทยทนขอชมสื่อมวลชนในครั้งนี้ ที่ได้ใช้จรรยาบรรณของวิชาชีพที่ทรงคุณค่า ร่วมเปิดโปงการตัดต่อคลิปอย่างตรงไปตรงมา ไทยทนเชื่อว่า สื่อย่อมวางตัวเป็นกลางระหว่างฝ่ายต่างๆ อย่างเป็นธรรม แต่คงไม่เป็นกลางระหว่าง “ความจริง” กับ “ความเท็จ” เพราะความถูกต้องชอบธรรมที่ประชาชนรับรู้ คือความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ของสื่อมวลชนจริงๆ ครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น