ASTVผู้จัดการรายวัน - ธปท.เผยแบงก์เริ่มมองแนวโน้มสินเชื่อดีขึ้น คาดไตรมาส 3 ภาคครัวเรือนจะขอกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิตยังหด เหตุแบงก์ยังไม่มั่นใจรายได้อนาคตของตัวผู้กู้ ด้านภาคธุรกิจคาดสินเชื่อที่ให้แก่ธุรกิจเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้น ผลจากรัฐให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือแบงก์รัฐเข้าไปช่วย
รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แจ้งว่า ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ สายนโยบายการเงิน ธปท.ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ไทยจำนวน 12 แห่ง สาขาธนาคารต่างชาติ 5 แห่ง และสถาบันการเงินเฉพาะกิจอีก 4 แห่ง ที่ดูแลงานด้านสินเชื่อ พบว่า แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดจากความกังวลต่อคุณภาพสินเชื่อและความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ยังคงอ่อนไหวในภาวะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจยังมีความเปาะบางอยู่ ขณะที่ความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ สถาบันการเงินคาดว่าความต้องการสินเชื่อของภาคครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเฉพาะสินเชื่อประเภทเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อครัวเรือนอื่นๆ ตามทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทำให้อุปสงค์ประเภททาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น ประกอบกับเงินออมของครัวเรือนลดลง รวมถึงอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำอยู่ แต่ความต้องการสินเชื่อบัตรเครดิตคาดว่าจะลดลงจากความน่าเชื่อถือทั้งความมั่นคงของรายได้และภาวการณ์มีงานทำ ทำให้ส่งผลต่อด้านเครดิตของผู้กู้ที่ลดลง
“ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ใช้บริการบัตรเครดิตลดลงในช่วงไตรมาสที่ 2 สะท้อนจากการชำระหนี้ล่าช้าและยอดยกเลิกบัตรเครดิตของลูกค้าที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ภายใน 90 วันเพิ่มขึ้น ขณะที่สินเชื่อครัวเรือนอื่นๆ เริ่มทรงตัวและผ่อนคลายมากขึ้นจากการแข่งขันที่มากขึ้นของบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์)และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ”
ขณะที่ภาคธุรกิจ สถาบันการเงินยังประเมินว่าความต้องการสินเชื่อกลุ่มนี้โดยรวมจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่มาจากธุรกิจเอสเอ็มอีที่ได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐที่เริ่มส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งนโยบายของรัฐที่ต้องการให้สถาบันการเงินรัฐและสถาบันการเงินเฉพาะกิจเร่งปล่อยกู้เข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น
“ด้านภาคธุรกิจในช่วงไตรมาสที่ 2 สถาบันการเงินได้ผ่อนคลายเงื่อนไขการให้สินเชื่อด้านราคา โดยตั้ง Margin สำหรับลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และธุรกิจเอสเอ็มอีให้แคบลงมา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 51 และการปรับลดค่าธรรมเนียมต่างๆลงเล็กน้อย สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในเงื่อนไขการให้สินเชื่ออื่นๆ แทน อาทิ วงเงินสินเชื่อ หลักทรัพย์ค้ำประกัน และเงื่อนไขสัญญาเงินกู้ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี”
ส่วนมาตรฐานการให้สินเชื่อทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดจากความกังวลต่อคุณภาพสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัยของภาคครัวเรือน ด้านภาคธุรกิจเอง หลังจากในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมาเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวในบางอุตสาหกรรมจากคำสั่งซื้อที่เริ่มกลับเข้ามา โดยเฉพาะจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันมากขึ้นทั้งจากสถาบันการเงินอื่นและจากตลาดตราสารหนี้ แต่ด้วยสภาพคล่องของสถาบันการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง จึงช่วยให้สถาบันการเงินผ่อนคลายมาตรการให้สินเชื่อแก่ลูกค้าได้ในระดับหนึ่ง
รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แจ้งว่า ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ สายนโยบายการเงิน ธปท.ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ไทยจำนวน 12 แห่ง สาขาธนาคารต่างชาติ 5 แห่ง และสถาบันการเงินเฉพาะกิจอีก 4 แห่ง ที่ดูแลงานด้านสินเชื่อ พบว่า แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดจากความกังวลต่อคุณภาพสินเชื่อและความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ยังคงอ่อนไหวในภาวะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจยังมีความเปาะบางอยู่ ขณะที่ความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ สถาบันการเงินคาดว่าความต้องการสินเชื่อของภาคครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเฉพาะสินเชื่อประเภทเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อครัวเรือนอื่นๆ ตามทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทำให้อุปสงค์ประเภททาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น ประกอบกับเงินออมของครัวเรือนลดลง รวมถึงอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำอยู่ แต่ความต้องการสินเชื่อบัตรเครดิตคาดว่าจะลดลงจากความน่าเชื่อถือทั้งความมั่นคงของรายได้และภาวการณ์มีงานทำ ทำให้ส่งผลต่อด้านเครดิตของผู้กู้ที่ลดลง
“ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ใช้บริการบัตรเครดิตลดลงในช่วงไตรมาสที่ 2 สะท้อนจากการชำระหนี้ล่าช้าและยอดยกเลิกบัตรเครดิตของลูกค้าที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ภายใน 90 วันเพิ่มขึ้น ขณะที่สินเชื่อครัวเรือนอื่นๆ เริ่มทรงตัวและผ่อนคลายมากขึ้นจากการแข่งขันที่มากขึ้นของบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์)และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ”
ขณะที่ภาคธุรกิจ สถาบันการเงินยังประเมินว่าความต้องการสินเชื่อกลุ่มนี้โดยรวมจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่มาจากธุรกิจเอสเอ็มอีที่ได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐที่เริ่มส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งนโยบายของรัฐที่ต้องการให้สถาบันการเงินรัฐและสถาบันการเงินเฉพาะกิจเร่งปล่อยกู้เข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น
“ด้านภาคธุรกิจในช่วงไตรมาสที่ 2 สถาบันการเงินได้ผ่อนคลายเงื่อนไขการให้สินเชื่อด้านราคา โดยตั้ง Margin สำหรับลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และธุรกิจเอสเอ็มอีให้แคบลงมา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 51 และการปรับลดค่าธรรมเนียมต่างๆลงเล็กน้อย สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในเงื่อนไขการให้สินเชื่ออื่นๆ แทน อาทิ วงเงินสินเชื่อ หลักทรัพย์ค้ำประกัน และเงื่อนไขสัญญาเงินกู้ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี”
ส่วนมาตรฐานการให้สินเชื่อทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดจากความกังวลต่อคุณภาพสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัยของภาคครัวเรือน ด้านภาคธุรกิจเอง หลังจากในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมาเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวในบางอุตสาหกรรมจากคำสั่งซื้อที่เริ่มกลับเข้ามา โดยเฉพาะจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันมากขึ้นทั้งจากสถาบันการเงินอื่นและจากตลาดตราสารหนี้ แต่ด้วยสภาพคล่องของสถาบันการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง จึงช่วยให้สถาบันการเงินผ่อนคลายมาตรการให้สินเชื่อแก่ลูกค้าได้ในระดับหนึ่ง
