ASTVผู้จัดการรายวัน- “ลูกเขยเจริญ”ชี้ทำเลแนวรถไฟฟ้าราคาที่ดินมีแต่เพิ่ม ยิ่งสถานีรถไฟฟ้าสยามสแควร์ทำเลทอง หรือ ไข่แดงเมืองกรุง ฟุ้งดิจิตอล เกตเวย์ ยอดลูกค้าเดินเข้าแสนคนต่อวัน อควาเรียสฯ ชี้คอนโดฯเกรดเอโตต่อเนื่อง เผยครึ่งปีหลังเห็นสัญญาณด้านบวกมั่นใจตลาดรวมยังแข็งแกร่ง ส่งผลมีพอร์ตบริหารโครงการในมือเพิ่ม 6,700 ล้านบาท คาดครึ่งปีหลังโครงการเปิดใหม่อีก 27 แห่ง ส่งผลให้ปริมาณคอนโดในตลาดเริ่มลดลง ในขณะความต้องการเพิ่ม สุขุมวิท และทำเลแนวรถไฟฟ้ายังมาแรงไม่ตก
นายโสมพัฒน์ ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีซี แคปปิตอล จำกัด (ลูกเขยนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ) เปิดเผยว่า ปัจจุบันที่ดินตามแนวโครงข่ายระบบรถไฟฟ้ามีราคาปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเป็นเส้นทางที่จะมีประชาชนใช้อาศัยในการเดินทาง โดยเฉพาะระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสที่มีส่วนผลักดันให้ราคาตามแนวรถไฟฟ้าสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งในส่วนของทีซีซี แลนด์ฯ
มีโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ตามแนวรถไฟฟ้า
“ ต้องยอมรับว่า ทำเลบริเวณสยามสแควร์เป็นทำเลทอง หรือจะเรียกว่าเป็น ไข่แดงของกรุงเทพฯก็ว่าได้ ซึ่งล่าสุด ทางที.ซี.ซี.แลนด์ฯได้เปิดโครงการศูนย์การค้าใหม่ภายใต้ชื่อ “ดิจิตอล เกตเวย์ ”สยามสแควร์ ซึ่งเป็นแหล่งชอปปิ้งในรูปแบบไลฟ์สไตล์ โดยได้เช่าพื้นที่จากจุฬาลงกรณ์ฯเป็นเวลา 15 ปี ซึ่งเรามั่นใจว่า ภายในระยะเวลา10 ปีคืนทุนได้เร็วก็คิดดูบริเวณมีความหนาแน่นของผู้คน คนเดินผ่านเกตเวย์ของเรากว่าแสนคนต่อวัน และตอนนี้ พื้นในศูนย์การค้าของเราก็ขายหมด ขายพื้นที่ได้ราคาดีประมาณ 3,000 บาทต่อตร.ม.” นายโสมพัฒน์กล่าวถึงศักยภาพของทำเลสยามสแควร์ อนึ่ง “ดิจิตอล เกตเวย์ มีพื้นที่รวม 8,390 ตร.ม. เป็นพื้นที่ร้านค้า 4,000 ตร.ม.
นอกจากนี้ ที.ซี.ซี.แลนด์ฯ ได้เปิดศูนย์อาหารภายใต้แบรนด์”ฟู้ดแชนแนล” บริเวณใกล้กับซอยละลายทรัพย์ (ก่อนถึงธนาคารดีบีเอสไทยทนุ) ซึ่งเป็นแหล่งรวมร้านอาหารและเครื่องดื่มแบรนด์ต่างๆ อาทิ สตาร์บัคส์ ฯลฯ
อนึ่ง บริษัทเอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด (AREA) ระบุว่า ราคาที่ดินที่แพงที่สุดจากการประเมินตามราคาตลาด ณ กลางปี 52 คือ 1 ล้านบาทต่อตารางวา (ตรว.)หรือไร่ละ 400 ล้านบาท ได้แก่พื้นที่บริเวณห้างสยามพารากอน บริเวณหน้าสถานีรถไฟฟ้าชิดลม และบริเวณหน้าสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต(สถานทูตอังกฤษ ซึ่งก่อนหน้านี้กลุ่มเซ็นทรัล เป็นผู้ชนะการประมูลที่ดินสถานทูตอังกฤษที่เข้าประมูลในนาม บริษัท เตียง จิราธิวัฒน์ จำกัด เมื่อเดือนมกราคม 2549 ในราคา 950,000 บาทต่อตรว. พื้นที่รวม9 ไร่)
ส่วนแปลงซื้อขายที่แพงที่สุด คงจะเป็นรายการของบริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) ที่ได้ทำสัญญาซื้อที่ดินจำนวน 7 ไร่ ติดสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต ซึ่งเดิมเป็นของบริษัท เพลินจิต อาเขต ก่อนที่จะเปลี่ยนมือมาเป็นของบริษัท ภาสกรนที โฮลดิ้ง ซึ่งมีนายตัน ภาสกรนที ผู้บริหารโออิชิ เป็นผู้ถือหุ้นด้วย โดยที่ดินแปลงดังกล่าว กลุ่มไรมอน แลนด์ฯ ซื้อมาในราคากว่า 3,300 ล้านบาทหรือเฉลี่ยราคา 1.2 ล้านบาทต่อตรว.
ด้านนายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อควาเรียส เอสเตท จำกัด กล่าวว่าจากผลการสำรวจโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯพบว่า แนวโน้มการเกิดโครงการคอนโดฯในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไปจะเป็นโครงการระดับใหญ่เป็นหลัก เพื่อเน้นจับกลุ่มลูกค้าเกรดเอ และบีบวก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจและการเมืองน้อยสุด แม้ว่าตัวเลขการวิจัยคอนโดมิเนียมเกรดเอ และ บีบวก จะแสดงยอดขายเฉลี่ยที่ไม่ค่อยดีนัก
เนื่องจากมีบางโครงการที่ยอดขายไม่ดีเพราะพัฒนาโครงการผิดแนวทางหรือตั้งราคาสูงจนเกินไป จึงมีผลทำให้ยอดขายเฉลี่ยในโซนดังกล่าวต่ำลง แต่หากวิเคราะห์ยอดขายเฉพาะโซนสุขุมวิท โดยเลือกทำเลตั้งแต่พร้อมพงษ์ ถึงทองหล่อ ซึ่งเป็นทำเลยอดนิยม จะพบว่ายอดขายเฉลี่ยจะอยู่ที่ 73% ซึ่งโครงการในโซนดังกล่าวมีการแข่งขันด้านอื่นที่นอกเหนือจากทำเลใกล้รถไฟฟ้า เช่น แนวคิดในการพัฒนาโครงการ คุณภาพสินค้า พื้นที่ใช้สอย ที่จอดรถ
ปัจจุบันโครงการเกรด A มักจะให้ที่จอดรถเพื่อ เป็นการสร้างจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์ และปัจจัยที่ทำให้การพัฒนาคอนโดฯเกรด A ในปัจจุบันพัฒนาได้ยากขึ้น คือการปรับตัวของราคาที่ดินย่านธุรกิจสำคัญๆ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 400,000-600,000 บาทต่อตารางเมตร และค่าก่อสร้างคอนโดมิเนียมเกรดเอ ประมาณ 30,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไป
“อย่างไรก็ตามเชื่อว่า คอนโดเกรด B-C ยังคงเป็นตลาดใหญ่ ฐานลูกค้ากว้าง และยอดขายจะปรับตัวดีขึ้นหากภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ดังนั้นในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันผู้ประกอบการควรใช้เวลาพิจารณาก่อนการพัฒนาให้มากเพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากตลาดคอนโดมิเนียมเกรด C มีคู่แข่งที่เป็นเจ้าตลาดหลายราย และกลุ่มลูกค้าจะให้ความสำคัญเรื่องราคาเป็นหลัก”
ทั้งนี้ ในช่วง 2 ไตรมาสแรก อควาเรียส ได้ให้บริการด้านการศึกษาความเป็นไปได้ และที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการให้กับลูกค้าหลายราย ในบริเวณ ห้วยขวาง สุขุมวิท ถนนเพชรบุรี ซอยสารสิน และ Golf Residence โดยมีมูลค่างานรวมกว่า 6,700 ล้านบาท
นายยงยุทธ สำหรับผลการสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งแรกของปี พบว่า ตลาดรวมคอนโดฯเกรด A และ B ในบริเวณสุขุมวิท ยังเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะโครงการที่อยู่ในระยะเดินถึงรถไฟฟ้า และมีจุดขายที่แตกต่างโดดเด่น และตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า ที่เริ่มเห็นสัญญาณตลาดที่ดีขึ้นในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดคอนโดในกลุ่ม B ตามแนวรถไฟฟ้า ซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 15-20% ส่วนตลาดระดับ C มียอดขายเฉลี่ยลดลง เพราะกลุ่มลูกค้ายังกังวลภาวะเศรษฐกิจ และความเข้มงวดการปล่อยของสถาบันการเงิน ซึ่งทำให้ตลาดมียอดขายลดลง
“หากพิจารณาราคาเฉลี่ยคอนโดฯที่เปิดใหม่มีการปรับราคาสูงขึ้น โดยผู้ซื้อยังแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ประกอบด้วย กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย (End Users) และกลุ่มนักลงทุน (Investor) ส่วนกลุ่มผู้ซื้อเก็งกำไรลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจาก ตลาดขายบ้านมือสอง (Resale) ปัจจุบันทำได้ยาก ทำให้ผู้พัฒนาโครงการหลายราย หันมาใช้กลยุทธ์ด้านการชำระเงิน เพื่อเปิดรับกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้นและทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น”
สำหรับภาพรวมการพัฒนาโครงการคอนโดฯ คาดว่า ในปีนี้จะมีจำนวนโครงการเกิดใหม่รวม 65 โครงการ หรือประมาณ 20,000 ยูนิต จำนวนใกล้เคียงกับโครงการที่เกิดขึ้นในปี51 รวม 70 โครงการ หรือ 22,000 ยูนิต ลดลงประมาณ 7% โดยในปี51มีจำนวนที่อยู่อาศัยจดทะเบียนทั้งหมด 50,000 ยูนิต แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 24,000 ยูนิต หรือ 48%
“เราพบว่าปริมาณคอนโดฯเข้ามาในตลาด ปัจจุบันยังน้อยกว่าความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยครึ่งปีแรก มีจำนวนคอนโดฯที่เปิดตัวทั้งหมด 38 โครงการ หรือ 12,800 ยูนิต บริเวณที่มีจำนวนคอนโดเปิดมากที่สุดได้แก่ โซนธนบุรี (สาทร-ตากสิน) รวม 7 โครงการ 18% ของจำนวนโครงการทั้งหมด และ โซน สุขุมวิท (ชิดลม-เอกมัย) รวม 5 โครงการคิดเป็น 13% ของจำนวนโครงการทั้งหมด โดยจำนวนโครงการที่เปิดตัวในระดับ ซี,บี และบีบวก มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน ประมาณ 34%, 29% และ 26% ของจำนวนโครงการทั้งหมดตามลำดับ
ทั้งนี้ ยังมีโครงการที่อยู่ในโซนสุขุมวิท (ชิดลม-เอกมัย) ที่จะเปิดตัวภายในไตรมาส 3 อีกอย่างน้อย 3-4 โครงการ ส่วนมากจะเป็นโครงการเกาะเส้นรถไฟฟ้า โดยช่วงปลายปี51 ถึงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ เป็นช่วงที่คอนโดมิเนียมโซน สุขุมวิท (ชิดลม-เอกมัย) เปิดตัวประมาณ 11 โครงการ เนื่องจากเป็นกลุ่มตลาดที่ลูกค้ายังมีกำลังซื้อ และเป็นบริเวณที่มีศักยภาพทั้งด้านตลาดบ้านมือสอง (Resale) และปล่อยเช่า
ส่วนยอดขายโครงการ โซนที่มียอดขายเฉลี่ยสูงที่สุดคือ โซน พญาไท-ราชเทวี ยอดขายที่ 77% และคอนโดมิเนียม เกรดบีบวกที่ขายดีที่สุด โดยมียอดขายเฉลี่ยที่ 55% ที่เปิดขาย ขณะที่ราคาคอนโดฯยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาเฉลี่ยปี51 ปรับขึ้น 28% จาก 57,600 บาทต่อตารางเมตร ในปี 50 เป็น 74,000 บาทต่อตารางเมตร ส่วนราคาเฉลี่ยปี52 ปรับลดลงประมาณ 5% เป็น 70,000 บาทต่อตารางเมตร เนื่องจากมีโครงการเกรด C โซนรอบนอก เปิดตัวค่อนข้างมาก ซึ่งหากไม่นับรวมการเปิดตัวของคอนโดเกรดซีราคาเฉลี่ยจะขึ้นมาที่84,560 บาทต่อตารางเมตร
นายโสมพัฒน์ ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีซี แคปปิตอล จำกัด (ลูกเขยนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ) เปิดเผยว่า ปัจจุบันที่ดินตามแนวโครงข่ายระบบรถไฟฟ้ามีราคาปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเป็นเส้นทางที่จะมีประชาชนใช้อาศัยในการเดินทาง โดยเฉพาะระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสที่มีส่วนผลักดันให้ราคาตามแนวรถไฟฟ้าสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งในส่วนของทีซีซี แลนด์ฯ
มีโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ตามแนวรถไฟฟ้า
“ ต้องยอมรับว่า ทำเลบริเวณสยามสแควร์เป็นทำเลทอง หรือจะเรียกว่าเป็น ไข่แดงของกรุงเทพฯก็ว่าได้ ซึ่งล่าสุด ทางที.ซี.ซี.แลนด์ฯได้เปิดโครงการศูนย์การค้าใหม่ภายใต้ชื่อ “ดิจิตอล เกตเวย์ ”สยามสแควร์ ซึ่งเป็นแหล่งชอปปิ้งในรูปแบบไลฟ์สไตล์ โดยได้เช่าพื้นที่จากจุฬาลงกรณ์ฯเป็นเวลา 15 ปี ซึ่งเรามั่นใจว่า ภายในระยะเวลา10 ปีคืนทุนได้เร็วก็คิดดูบริเวณมีความหนาแน่นของผู้คน คนเดินผ่านเกตเวย์ของเรากว่าแสนคนต่อวัน และตอนนี้ พื้นในศูนย์การค้าของเราก็ขายหมด ขายพื้นที่ได้ราคาดีประมาณ 3,000 บาทต่อตร.ม.” นายโสมพัฒน์กล่าวถึงศักยภาพของทำเลสยามสแควร์ อนึ่ง “ดิจิตอล เกตเวย์ มีพื้นที่รวม 8,390 ตร.ม. เป็นพื้นที่ร้านค้า 4,000 ตร.ม.
นอกจากนี้ ที.ซี.ซี.แลนด์ฯ ได้เปิดศูนย์อาหารภายใต้แบรนด์”ฟู้ดแชนแนล” บริเวณใกล้กับซอยละลายทรัพย์ (ก่อนถึงธนาคารดีบีเอสไทยทนุ) ซึ่งเป็นแหล่งรวมร้านอาหารและเครื่องดื่มแบรนด์ต่างๆ อาทิ สตาร์บัคส์ ฯลฯ
อนึ่ง บริษัทเอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด (AREA) ระบุว่า ราคาที่ดินที่แพงที่สุดจากการประเมินตามราคาตลาด ณ กลางปี 52 คือ 1 ล้านบาทต่อตารางวา (ตรว.)หรือไร่ละ 400 ล้านบาท ได้แก่พื้นที่บริเวณห้างสยามพารากอน บริเวณหน้าสถานีรถไฟฟ้าชิดลม และบริเวณหน้าสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต(สถานทูตอังกฤษ ซึ่งก่อนหน้านี้กลุ่มเซ็นทรัล เป็นผู้ชนะการประมูลที่ดินสถานทูตอังกฤษที่เข้าประมูลในนาม บริษัท เตียง จิราธิวัฒน์ จำกัด เมื่อเดือนมกราคม 2549 ในราคา 950,000 บาทต่อตรว. พื้นที่รวม9 ไร่)
ส่วนแปลงซื้อขายที่แพงที่สุด คงจะเป็นรายการของบริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) ที่ได้ทำสัญญาซื้อที่ดินจำนวน 7 ไร่ ติดสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต ซึ่งเดิมเป็นของบริษัท เพลินจิต อาเขต ก่อนที่จะเปลี่ยนมือมาเป็นของบริษัท ภาสกรนที โฮลดิ้ง ซึ่งมีนายตัน ภาสกรนที ผู้บริหารโออิชิ เป็นผู้ถือหุ้นด้วย โดยที่ดินแปลงดังกล่าว กลุ่มไรมอน แลนด์ฯ ซื้อมาในราคากว่า 3,300 ล้านบาทหรือเฉลี่ยราคา 1.2 ล้านบาทต่อตรว.
ด้านนายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อควาเรียส เอสเตท จำกัด กล่าวว่าจากผลการสำรวจโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯพบว่า แนวโน้มการเกิดโครงการคอนโดฯในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไปจะเป็นโครงการระดับใหญ่เป็นหลัก เพื่อเน้นจับกลุ่มลูกค้าเกรดเอ และบีบวก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจและการเมืองน้อยสุด แม้ว่าตัวเลขการวิจัยคอนโดมิเนียมเกรดเอ และ บีบวก จะแสดงยอดขายเฉลี่ยที่ไม่ค่อยดีนัก
เนื่องจากมีบางโครงการที่ยอดขายไม่ดีเพราะพัฒนาโครงการผิดแนวทางหรือตั้งราคาสูงจนเกินไป จึงมีผลทำให้ยอดขายเฉลี่ยในโซนดังกล่าวต่ำลง แต่หากวิเคราะห์ยอดขายเฉพาะโซนสุขุมวิท โดยเลือกทำเลตั้งแต่พร้อมพงษ์ ถึงทองหล่อ ซึ่งเป็นทำเลยอดนิยม จะพบว่ายอดขายเฉลี่ยจะอยู่ที่ 73% ซึ่งโครงการในโซนดังกล่าวมีการแข่งขันด้านอื่นที่นอกเหนือจากทำเลใกล้รถไฟฟ้า เช่น แนวคิดในการพัฒนาโครงการ คุณภาพสินค้า พื้นที่ใช้สอย ที่จอดรถ
ปัจจุบันโครงการเกรด A มักจะให้ที่จอดรถเพื่อ เป็นการสร้างจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์ และปัจจัยที่ทำให้การพัฒนาคอนโดฯเกรด A ในปัจจุบันพัฒนาได้ยากขึ้น คือการปรับตัวของราคาที่ดินย่านธุรกิจสำคัญๆ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 400,000-600,000 บาทต่อตารางเมตร และค่าก่อสร้างคอนโดมิเนียมเกรดเอ ประมาณ 30,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไป
“อย่างไรก็ตามเชื่อว่า คอนโดเกรด B-C ยังคงเป็นตลาดใหญ่ ฐานลูกค้ากว้าง และยอดขายจะปรับตัวดีขึ้นหากภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ดังนั้นในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันผู้ประกอบการควรใช้เวลาพิจารณาก่อนการพัฒนาให้มากเพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากตลาดคอนโดมิเนียมเกรด C มีคู่แข่งที่เป็นเจ้าตลาดหลายราย และกลุ่มลูกค้าจะให้ความสำคัญเรื่องราคาเป็นหลัก”
ทั้งนี้ ในช่วง 2 ไตรมาสแรก อควาเรียส ได้ให้บริการด้านการศึกษาความเป็นไปได้ และที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการให้กับลูกค้าหลายราย ในบริเวณ ห้วยขวาง สุขุมวิท ถนนเพชรบุรี ซอยสารสิน และ Golf Residence โดยมีมูลค่างานรวมกว่า 6,700 ล้านบาท
นายยงยุทธ สำหรับผลการสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งแรกของปี พบว่า ตลาดรวมคอนโดฯเกรด A และ B ในบริเวณสุขุมวิท ยังเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะโครงการที่อยู่ในระยะเดินถึงรถไฟฟ้า และมีจุดขายที่แตกต่างโดดเด่น และตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า ที่เริ่มเห็นสัญญาณตลาดที่ดีขึ้นในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดคอนโดในกลุ่ม B ตามแนวรถไฟฟ้า ซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 15-20% ส่วนตลาดระดับ C มียอดขายเฉลี่ยลดลง เพราะกลุ่มลูกค้ายังกังวลภาวะเศรษฐกิจ และความเข้มงวดการปล่อยของสถาบันการเงิน ซึ่งทำให้ตลาดมียอดขายลดลง
“หากพิจารณาราคาเฉลี่ยคอนโดฯที่เปิดใหม่มีการปรับราคาสูงขึ้น โดยผู้ซื้อยังแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ประกอบด้วย กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย (End Users) และกลุ่มนักลงทุน (Investor) ส่วนกลุ่มผู้ซื้อเก็งกำไรลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจาก ตลาดขายบ้านมือสอง (Resale) ปัจจุบันทำได้ยาก ทำให้ผู้พัฒนาโครงการหลายราย หันมาใช้กลยุทธ์ด้านการชำระเงิน เพื่อเปิดรับกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้นและทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น”
สำหรับภาพรวมการพัฒนาโครงการคอนโดฯ คาดว่า ในปีนี้จะมีจำนวนโครงการเกิดใหม่รวม 65 โครงการ หรือประมาณ 20,000 ยูนิต จำนวนใกล้เคียงกับโครงการที่เกิดขึ้นในปี51 รวม 70 โครงการ หรือ 22,000 ยูนิต ลดลงประมาณ 7% โดยในปี51มีจำนวนที่อยู่อาศัยจดทะเบียนทั้งหมด 50,000 ยูนิต แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 24,000 ยูนิต หรือ 48%
“เราพบว่าปริมาณคอนโดฯเข้ามาในตลาด ปัจจุบันยังน้อยกว่าความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยครึ่งปีแรก มีจำนวนคอนโดฯที่เปิดตัวทั้งหมด 38 โครงการ หรือ 12,800 ยูนิต บริเวณที่มีจำนวนคอนโดเปิดมากที่สุดได้แก่ โซนธนบุรี (สาทร-ตากสิน) รวม 7 โครงการ 18% ของจำนวนโครงการทั้งหมด และ โซน สุขุมวิท (ชิดลม-เอกมัย) รวม 5 โครงการคิดเป็น 13% ของจำนวนโครงการทั้งหมด โดยจำนวนโครงการที่เปิดตัวในระดับ ซี,บี และบีบวก มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน ประมาณ 34%, 29% และ 26% ของจำนวนโครงการทั้งหมดตามลำดับ
ทั้งนี้ ยังมีโครงการที่อยู่ในโซนสุขุมวิท (ชิดลม-เอกมัย) ที่จะเปิดตัวภายในไตรมาส 3 อีกอย่างน้อย 3-4 โครงการ ส่วนมากจะเป็นโครงการเกาะเส้นรถไฟฟ้า โดยช่วงปลายปี51 ถึงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ เป็นช่วงที่คอนโดมิเนียมโซน สุขุมวิท (ชิดลม-เอกมัย) เปิดตัวประมาณ 11 โครงการ เนื่องจากเป็นกลุ่มตลาดที่ลูกค้ายังมีกำลังซื้อ และเป็นบริเวณที่มีศักยภาพทั้งด้านตลาดบ้านมือสอง (Resale) และปล่อยเช่า
ส่วนยอดขายโครงการ โซนที่มียอดขายเฉลี่ยสูงที่สุดคือ โซน พญาไท-ราชเทวี ยอดขายที่ 77% และคอนโดมิเนียม เกรดบีบวกที่ขายดีที่สุด โดยมียอดขายเฉลี่ยที่ 55% ที่เปิดขาย ขณะที่ราคาคอนโดฯยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาเฉลี่ยปี51 ปรับขึ้น 28% จาก 57,600 บาทต่อตารางเมตร ในปี 50 เป็น 74,000 บาทต่อตารางเมตร ส่วนราคาเฉลี่ยปี52 ปรับลดลงประมาณ 5% เป็น 70,000 บาทต่อตารางเมตร เนื่องจากมีโครงการเกรด C โซนรอบนอก เปิดตัวค่อนข้างมาก ซึ่งหากไม่นับรวมการเปิดตัวของคอนโดเกรดซีราคาเฉลี่ยจะขึ้นมาที่84,560 บาทต่อตารางเมตร