xs
xsm
sm
md
lg

ผลึกความทรงจำหลังการชุมนุม

เผยแพร่:   โดย: ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ

ใช่ไหมว่า เกือบทุกการชุมนุมและเดินขบวนในสังคมไทยที่ไม่ใช่เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลงานรื่นเริงล้วนแล้วแต่แฝงฝังไว้ด้วยความรุนแรงและสูญเสียแทบทั้งสิ้น ยิ่งเป็นการชุมนุมทางการเมืองหรือปกป้องประโยชน์สาธารณะ การบาดเจ็บล้มตายจากการสลายการชุมนุมหรือติดคุกติดตะรางด้วยคดีที่มีข้อกล่าวหาเกินจริงยิ่งประจักษ์ชัด เฉกเช่นฉากความเคลื่อนไหวในทางการเมืองเรื่องเรียกร้องประชาธิปไตยที่ไม่ต่างจากการพิทักษ์ฐานทรัพยากรธรรมชาติที่มักสังเวยชีวิตสามัญชน

จนปากคำประวัติศาสตร์ของผู้ผ่านเหตุการณ์ทั้งแกนนำและคนเล็กคนน้อยที่หลอมรวมเป็นพลังมวลชนใช่มีแต่ความภาคภูมิใจในการเข้าไปมีส่วนร่วมต่อกรกับความอยุติธรรมทั้งระดับกายภาพ โครงสร้าง และวัฒนธรรม ทว่ายังเก็บกักความทรงจำจากการถูกทำร้ายระหว่างสลายการชุมนุมที่ตนเองและมวลมิตรร่วมรบบาดเจ็บทุพพลภาพหรือพลัดพรากจากอานุภาพกระสุนปืน ระเบิดแก๊สน้ำตา

นัยประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมือง 14 ตุลา 16, 6 ตุลา 19, พฤษภา 35 จนถึง ตุลา 51 จึงบรรจุความทรงจำแห่งการสูญเสียชีวิตสูญสิ้นอิสรภาพไว้ไม่ต่างจากประวัติศาสตร์การรักษาฐานทรัพยากรท้องถิ่นของคนปลายอ้อปลายแขมที่หาญกล้าต่อกรอำนาจรัฐและทุนที่ควบรวมเป็นหนึ่ง

ทว่าความทรงจำเลวร้ายเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่รัฐยึดมั่นหลักการพื้นฐานในการใช้กำลังและอาวุธปืนโดยเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายแห่งสหประชาชาติ (Basic Principles on the Use of Force and Firearms by Law Enforcement Officials) ข้อ 13 ที่ว่าในการสลายการชุมนุมที่มิชอบด้วยกฎหมายแต่ไม่รุนแรง เจ้าหน้าที่ต้องหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง หรือหากไม่สามารถก็ต้องจำกัดการใช้กำลังให้อยู่ในระดับน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น และข้อ 14 ที่ว่าในการสลายการชุมนุมที่รุนแรง เจ้าหน้าที่อาจใช้อาวุธปืนได้ก็ต่อเมื่อไม่สามารถใช้วิธีการที่อันตรายน้อยกว่าได้ และต้องใช้ในระดับน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ที่ไทยร่วมให้การรับรองตั้งแต่ปี 2533

รวมถึงประมวลหลักการประพฤติปฏิบัติสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย (CCLEO, 1979) ข้อ 2 ที่ว่าเจ้าหน้าที่จะต้องเคารพและคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และผดุงไว้ซึ่งสิทธิมนุษยชนของบุคคลทุกคน และข้อ 5 ที่ว่าเจ้าหน้าที่ไม่อาจก่อให้เกิด ยุยงให้เกิด หรือทนต่อการกระทำใดๆ ที่เป็นการทรมาน หรือการปฏิบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี

ที่สำคัญตระหนักแก่ใจว่าเสรีภาพการชุมนุมเป็นหนึ่งในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) ข้อ 20(1) ที่ว่าทุกคนมีสิทธิในการชุมนุมและสมาคมโดยสงบ ซึ่งไทยให้การรับรองหลักการตั้งแต่ปี 2491 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ข้อ 21 ที่ว่าสิทธิในการชุมนุมโดยสงบย่อมได้รับการรับรอง ที่ไทยลงนามเป็นภาคีเมื่อปี 2539 กอปรกับต้องปฏิบัติตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญไทยที่ระบุหลักการคุ้มครองเสรีภาพประชาชนในการชุมนุมมาตั้งแต่ฉบับปี 2475 อย่างเคร่งครัด

ด้วยหลักสากลและกฎกติกาที่ไทยรับรองและกำหนดไว้ ในขณะเดียวกันก็มีมโนธรรมความรู้สึกผิดชอบชั่วดี รู้อะไรควรทำไม่ควรทำค้ำจุนตามขนบ ‘เมืองไทยเมืองพุทธ’ ตามคำกล่าวอ้างเสมอมา ก็น่าจะทำให้การสลายการชุมนุมทุกครั้งไม่เกิดความรุนแรงสูญเสีย หรือถ้ามีก็ต้องน้อยที่สุด

กระนั้นในทางปฏิบัติจริงการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธอันเป็นเสรีภาพพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยกลับกลายเป็นความจลาจลวุ่นวายก่อการร้ายในสายตารัฐบาล

ความคิดคับแคบตื้นเขินเช่นนี้นำมาสู่การละเมิดทั้งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และหลักปฏิบัติในการสลายการชุมนุมที่มีขั้นตอนกำกับชัดเจน มาตรการจากเบาไปหาหนัก เจรจาต่อรองคลี่คลายสถานการณ์ จิตวิทยามวลชนกดดันมวลชนโดยไม่ใช้อาวุธ จึงถูกแทนที่ด้วยการปราบปรามตามฐานคติอำนาจนิยมของเจ้าหน้าที่รัฐ ทหาร ตำรวจ รวมถึงประชาชนส่วนหนึ่งที่ผนวกตนเองเป็นกลไกรัฐ เข้าทำการสลายการชุมนุมภายใต้สายบังคับบัญชาเคร่งครัดและการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ

ความเป็นมนุษย์จึงถูกทอน (Dehumanization) มีค่าเข้าใกล้ ‘0’ จากกระบวนทัศน์อำนาจนิยมที่สั่งสมมานานผ่านการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบการกระทำ ซ้ำร้ายหลังเข่นฆ่าข่มเหงแล้วไม่เพียงจะลอยนวล หากยังได้ดิบได้ดีมีตำแหน่งก้าวหน้ากว่าเดิมด้วย

เมื่อความละมุนละม่อมหลีกเลี่ยงใช้กำลังอย่างถึงที่สุดไม่ถูกหยิบยกมาพิจารณาปฏิบัติโดยเจ้าหน้าที่รัฐระดับปฏิบัติการและนโยบายที่คุ้นเคยกับการปัดปฏิเสธความรับผิด (Blame avoidance) ดังเหตุการณ์สลายการชุมนุม 7 ตุลาคม 2551 พบเผชิญอยู่ขณะนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อำนาจอธิปไตยของประชาชน และเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธจึงเป็นแค่ลายลักษณ์อักษร

การขาด ‘พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะและเดินขบวน พ.ศ. ...’ ที่สามารถผสานด้านอำนาจบังคับใช้และด้านสร้างเสริมสุขภาวะการชุมนุมที่เป็นเครื่องมือต่อยอดระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมจึงไม่เพียงเปิดช่องว่างให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้กฎหมายไม่เกี่ยวข้องเข้าคุกคามลิดรอน เช่น พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ.2535 และแผนรักษาความสงบ อาทิ แผนไพรีพินาศ แผนกรกฎเท่านั้น ทว่ายังพัดพาความทรงจำขื่นคาวร้าวรานมาสู่ผู้ร่วมเหตุการณ์ไม่รู้จักจบสิ้นด้วย

ด้วยความทรงจำ (Memory) เป็นกระบวนการได้มาซึ่งข้อมูลผ่านอายตนะ 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การเก็บข้อมูล และการเรียกข้อมูลออกมา ดังนั้นถ้าไม่มีการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงจนเกิดการสูญเสียจำนวนมากเป็นข้อมูลนำเข้า (Input) สมองก็จะไม่มีข้อมูลนี้เก็บไว้ในคลังข้อมูล สุดท้ายก็จะไม่มีการเรียกข้อมูลออกมาได้ ในทางกลับกันถ้าการสลายการชุมนุมละเมิดทุกหลักการกฎกติกาดังกล่าวไว้ข้างต้น ข้อมูลนำเข้า การเก็บรักษา และเรียกข้อมูลแห่งความเจ็บปวดก็จะเกิดเสมอๆ

ทั้งนี้ เมื่อเมืองไทยสยบยอมให้ใช้อาวุธสลายการชุมนุมได้ ชีวิตหลังชุมนุมของสามัญชนมากมายจึงถูกจองจำด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวกว่าภาคภูมิใจ ไม่น้อยไถ่ถอนตนเองออกจากความคับแค้นขื่นขมไม่ได้ ไม่น้อยอีกเช่นกันที่แปรความทรงจำเคียดแค้นเป็นศัตราวุธ โดยหารู้ไม่ว่าความเชื่อที่คิดว่าถูกต้องและเข้าใจว่าก่อร่างจากความทรงจำนั้นแท้จริงมาจากคำอธิบายตีความทางวิชาการที่ได้ในภายหลัง ละม้ายกันกับการเรียนรู้เรื่องราวอดีตด้วยปัจจุบัน ทั้งๆ คำบรรยายของปัจจุบันนั้นผ่านการเข้ารหัส ตีความ บิดเบือน ลดทอน ให้คุณค่า กระทั่งกีดกันข้อมูลด้วยอคติของสื่อสารมวลชนมาแล้ว

มากกว่านั้นการเสพข่าวการสลายการชุมนุมผ่านสื่อสารมวลชนก็ไม่ได้มีนัยล้ำลึกเท่ากับการเข้าร่วมชุมนุมและผจญความรุนแรงด้วยตนเอง อันเนื่องมาจากเป็นเพียงแค่การจำได้ (Remember) ไม่ว่าบางภาพจะสะเทือนใจจนคงอยู่ตราบนานเท่าชีวิตหรือไม่ก็ตามที ด้วยถึงที่สุดแล้วเป็นแค่การจำเหตุการณ์ได้ทางอ้อม ไม่ใช่การจำได้โดยตรงเพราะเป็นเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องกับชีวิตตนเอง แต่ก็ยังพยายามพิพากษาตัดสินว่าควรไปในทิศทางใดโดยไม่คำนึงถึงความสูญเสียของผู้ชุมนุม

ในขณะความทรงจำที่ยึดโยงกับอดีตอันกระจ่างชัดของผู้เข้าร่วมชุมนุมที่ประสบความรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่รัฐนั้นต่างออกไป ด้วยเป็นความทรงจำระยะยาว (Long term memory) ที่มีเหตุผลความชอบธรรม (Justification) รองรับมากเพียงพอจะปฏิเสธการนิรโทษกรรมได้ตราบใดผู้กระทำผิดยังไม่สำนึก ยิ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐผู้ควรพิทักษ์ประชาชนด้วยแล้ว ยิ่งลบล้างความผิดทางอาญา แพ่ง และวินัยโดยสิ้นเชิงด้วยการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมไม่ได้ ไม่ใช่เพราะภาคประชาชนไม่ให้อภัยหรือไม่เรียนรู้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative justice) แต่ทว่าทั้งคู่นั้นวางอยู่บนหลักการว่าผู้กระทำผิดทั้งระดับออกคำสั่งและปฏิบัติตามคำสั่งต้องยอมรับผิดเสียก่อน

กล่าวถึงที่สุด เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐผู้ละเมิดเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธของประชาชนไม่ปัดปฏิเสธความรับผิดหรือได้ถูกลงโทษตามฐานความผิดแล้ว ความทรงจำหลังการชุมนุมและเดินขบวนของผู้คนที่เคยรวดร้าวคาวขื่นก็จะละลายหมดไปได้ เหลือไว้แต่ผลึกแกร่งแห่งความภาคภูมิใจในฐานะกลไกเปลี่ยนแปลงสุขภาวะสังคมที่ไม่สยบยอมอำนาจปากกระบอกปืน

มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org
กำลังโหลดความคิดเห็น