บ้านเมืองของเราในวันนี้ หลายคนรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยและเอาใจช่วยคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีด้วยความสง่างาม มีประสิทธิภาพ และบังเกิดประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติและประชาชน
คนจำนวนมากรู้สึกเห็นอกเห็นใจและสงสารคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทุกครั้งทุกคราที่ถูกนักการเมืองหยามหน้าเหยียบย่ำและพลอยเป็นทุกข์เป็นร้อนแทนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
แต่ถึงจะเป็นห่วงเป็นใย ถึงจะเห็นอกเห็นใจและสงสารสักเท่าใด ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นดังที่ต้องการให้เกิด และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงดังที่ต้องการให้เปลี่ยนแปลง คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังเป็นคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนเดิม
โดยนัยเช่นนี้และโดยความจริงที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ คนที่น่าเห็นอกเห็นใจ คนที่น่าห่วงใยและคนที่น่าสงสารจึงไม่ใช่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หากเป็นคนที่ห่วงใยเอาใจช่วยคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่นแหละ ที่น่าเห็นอกเห็นใจและน่าสงสารมากกว่า
และที่น่าสงสารมากที่สุดก็คือประเทศชาติ อันเป็นมาตุภูมิแห่งเรานี้ ที่ตกอยู่ในวิกฤตจนไม่เห็นแสงเห็นตะวันว่าจะฟื้นกลับคืนสู่ความเป็นปกติสุขได้อย่างไรและเมื่อใด
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เขาเกิดมาเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีและต้องการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเดียวเท่านั้น นอกนั้นแล้วไม่เคยปรากฏว่ามีความสนใจไยดีหรือรู้สึกร้อนหนาวไปกับความเป็นไปในบ้านเมือง
กระทั่งกลายเป็นคนขี้ลืมและอาจจะลืมขี้ก็ได้ ดูตัวอย่างเรื่องเดียวก็คงพอ นั่นคือเมื่อครั้งที่เป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน เห็นเหตุการณ์สังหารโหดประชาชนที่ต่อสู้เพื่อพิทักษ์รักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์ด้วยมือเปล่า ก็ได้ทำหน้าที่อันต้องใจประชาชน
ไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนให้ทำการตรวจสอบไต่สวนดำเนินคดีกับเหล่าอาชญากรและผู้กระทำความผิดกฎหมาย ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนทำการตรวจสอบไต่สวนแล้วเห็นว่ามีการกระทำความผิด จึงส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ดำเนินคดีต่อไป
แต่พอมาเป็นนายกรัฐมนตรี คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ลืมเรื่องนี้ไป และไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย กระทั่งไม่เคยคิดอ่านที่จะจัดการแก้ไขปัญหาและคืนความเป็นธรรมให้แก่ประชาชน ผู้เสียสละและกล้าหาญเหล่านั้นเลย คงนั่งเสวยสุขในหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปวันๆ โดยลืมเรื่องเบื้องหลังจนหมดสิ้น
เมื่อหลายปีก่อนคนไทยถูกหลอกให้หลงเชื่อว่าคนรวยแล้วไม่โกง แต่ในที่สุดก็กระจ่างชัดว่าคนบางคนแม้ยิ่งรวยก็ยิ่งโกง แต่มาวันนี้คนไทยก็กำลังถูกหลอกอีกแล้ว! คือถูกหลอกว่าคนหล่อแล้วเป็นคนดีและไม่โกง สักวันหนึ่งเมื่อความจริงกระจ่างแล้วก็คงจะรู้สึกอกหักและผิดหวังตามๆ กันอีกครั้งหนึ่ง
ทำไมจึงเป็นไปเช่นนี้เล่า? และเราจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรกัน?
มันเป็นปรากฏการณ์แห่งอำนาจ หากไม่เข้าใจเรื่องของอำนาจแล้วก็ไม่มีวันเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นและจะต้องลุ่มหลงฝากความหวังไว้กับคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อไปอีก เมื่อถึงวันหนึ่งก็จะอกหักและผิดหวังจนสุดที่จะแก้ไขได้อีกต่อไป
ดังนั้นมาทำความเข้าใจเรื่องอำนาจและปรากฏการณ์อำนาจกันสักหน่อยจะดีกว่า
อัน “อำนาจ” นั้นประกอบด้วยองค์สาม คือการช่วงชิงให้ได้อำนาจมาอย่างหนึ่ง การใช้อำนาจอย่างหนึ่ง และการรักษาอำนาจอีกอย่างหนึ่ง หากไม่ประกอบด้วยองค์สามนี้แล้วก็ไม่ใช่อำนาจ แม้หากมีอำนาจก็จะต้องสูญเสียไป นี่เป็นธรรมสัจจะที่เป็นจริงอยู่ในทุกกาล
วันนี้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจมาเพราะคนเขาช่วงชิงให้ คนพวกแรกที่ต้องถือว่ามีพระคุณล้นฟ้ามหาสมุทรในวังวนแห่งอำนาจของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็คือประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ในนามของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ได้โค่นล้มอำนาจอธรรมลงไป เป็นเหตุให้สถานการณ์เปลี่ยนขั้วการเมืองเกิดขึ้น ซึ่งคนดีชอบที่จะต้องแสดงกตเวทิตาธรรมต่อผู้มีพระคุณเหล่านั้น
แต่ถึงวันนี้ประชาชนเหล่านั้นยังคงตกเป็นผู้ต้องหาจากการตั้งข้อกล่าวหาที่เกินจริงและเป็นข้อหาร้ายแรงที่มีโทษถึงประหารชีวิต แต่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรด้วย
คนจะดีหรือไม่ดีจริง พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนให้ดูที่ความกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ ดังที่ทรงตรัสว่าความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี และนี่ก็คือเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างคนดีกับคนไม่ดี
ครั้นการเมืองพลิกผันก็มีกลุ่มคนคณะหนึ่งไปช่วงชิงอำนาจจากอำนาจเก่าแล้วเปลี่ยนขั้วจัดตั้งเป็นอำนาจใหม่ขึ้น โดยให้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ดังนั้นการเป็นนายกรัฐมนตรีเช่นนี้จึงมิใช่ได้มาเพราะการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจด้วยตนเอง หากเป็นเพราะคนอื่นเอามามอบให้เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น
ดังนั้นการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาส่วนมากจึงเป็นเรื่องการแสดงปาฐกถา เปิดการสัมมนา และการไปโชว์ตัวตามที่ต่างๆ ซึ่งห่างไกลออกไปจากปัญหาของชาติบ้านเมืองที่ประชาชนทั้งชาติกำลังเพรียกหา
วันๆ หนึ่งเวลาได้สูญเสียไปจากการตรวจสอบบทปาฐกถา บทบรรยาย และการเตรียมการตลอดจนการกำหนดบุคลิกภาพในเรื่องเหล่านี้ ในขณะที่เรื่องใหญ่ๆ ของบ้านเมืองซึ่งเป็นเรื่องของการใช้อำนาจโดยตรงกลับมอบหมายหรืออยู่ในมือของคนอื่น
การรักษาอำนาจอยู่ในมือของคนอื่น การใช้อำนาจอยู่ในมือของคนอื่น เมื่อเป็นเช่นนี้มีอำนาจก็เหมือนไม่มีอำนาจ และอำนาจแท้จริงจีงอยู่ในมือของคนคณะหนึ่งซึ่งรู้ๆ กันอยู่ว่าเป็นใคร
ครั้นถึงคราจะทำหน้าที่อันมีอยู่ในจิตสำนึกว่าเรื่องไหนผิดชอบชั่วดีก็ทำไม่ได้ กลายเป็นเรื่องเด็กๆ เล่นสนุกๆ จนเป็นที่หยามหยันของผู้คนทั้งปวงไปแล้ว
เมื่อครั้งย้ายสนามบินก็ครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งถูกคนระดับอธิบดีตอกหน้าในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก็ครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งประกาศกร้าวจะจัดการกับ “ตอ” ที่ขัดขวางกระบวนการยุติธรรมก็ครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งเรื่องโผตำรวจและการตั้งผู้รักษาการแทนก็อีกครั้งหนึ่ง
ทำเอากองเชียร์ใจหายใจคว่ำ เป็นห่วงเป็นใย เป็นทุกข์เป็นร้อนและสงสาร จนไม่เป็นอันกินอันนอน แต่ในที่สุดคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยอมให้เรื่องทั้งหลายผ่านไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกอาย ไม่รู้สึกขายหน้า แต่ประการใด
มาครั้งล่าสุดนี้หนักสักหน่อย เพราะถูกคนกันเองหักหลังตบหัวตอกหน้าจนหน้าแตกเย็บไม่ติด ซึ่งถึงแม้จะพยายามปิดข่าวเพื่อรักษาหน้า แต่ยุคสมัยไม่อนุญาต ความจริงจึงถูกป่าวประกาศไปทั้งบ้านทั้งเมือง
ป่าวประกาศว่าในวันนี้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีก็แต่ในนาม ไม่ได้มีอำนาจและไม่มีผู้ใดยำเกรง แม้แต่จะตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในอำนาจหน้าที่ของตัวเพียงคนเดียวก็ยังทำไม่ได้
บรรดานานาชาติและผู้นำประเทศต่างๆ ตอนแรกๆ ก็คงงุนงงสงสัยว่านายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเป็นอะไร แต่ในที่สุดวันนี้ก็คงเข้าใจกันกระจ่างแล้วว่าเป็นอะไร และเมื่อเป็นเช่นนี้ศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของชาติจะเป็นอย่างไรก็คงเข้าใจได้ไม่ยาก
หลังเหตุการณ์หน้าแตกในการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่แล้ว ใครที่คิดให้กำลังใจให้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อสู้และพิทักษ์รักษาความถูกต้องในบ้านเมืองก็คงจะอกหักและผิดหวังอีก
คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นในทางที่ชอบที่ควรอย่างเคย และคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็จะยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่เจ็บไม่อายเหมือนดังเดิม
วันนี้ขั้วอำนาจใหม่ก่อตัวเข้มแข็งขึ้นชัดเจนแล้ว และเป็นรัฐาธิปัตย์ตัวจริงของประเทศนี้
เป็นขั้วอำนาจใหม่ที่ไม่เอาใครทั้งนั้น นอกจากพวกตัวเอง และผลประโยชน์เพื่ออำนาจนิรันดรของขั้วอำนาจใหม่เองเท่านั้น
ต่อจากนี้ไปการกระชับอำนาจ และปรับอำนาจใหม่จะเกิดขึ้น การสลายเหลืองสลายแดงก็จะเกิดขึ้นควบคู่กัน อย่าได้สงสัยเลย!
คนจำนวนมากรู้สึกเห็นอกเห็นใจและสงสารคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทุกครั้งทุกคราที่ถูกนักการเมืองหยามหน้าเหยียบย่ำและพลอยเป็นทุกข์เป็นร้อนแทนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
แต่ถึงจะเป็นห่วงเป็นใย ถึงจะเห็นอกเห็นใจและสงสารสักเท่าใด ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นดังที่ต้องการให้เกิด และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงดังที่ต้องการให้เปลี่ยนแปลง คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังเป็นคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนเดิม
โดยนัยเช่นนี้และโดยความจริงที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ คนที่น่าเห็นอกเห็นใจ คนที่น่าห่วงใยและคนที่น่าสงสารจึงไม่ใช่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หากเป็นคนที่ห่วงใยเอาใจช่วยคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่นแหละ ที่น่าเห็นอกเห็นใจและน่าสงสารมากกว่า
และที่น่าสงสารมากที่สุดก็คือประเทศชาติ อันเป็นมาตุภูมิแห่งเรานี้ ที่ตกอยู่ในวิกฤตจนไม่เห็นแสงเห็นตะวันว่าจะฟื้นกลับคืนสู่ความเป็นปกติสุขได้อย่างไรและเมื่อใด
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เขาเกิดมาเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีและต้องการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเดียวเท่านั้น นอกนั้นแล้วไม่เคยปรากฏว่ามีความสนใจไยดีหรือรู้สึกร้อนหนาวไปกับความเป็นไปในบ้านเมือง
กระทั่งกลายเป็นคนขี้ลืมและอาจจะลืมขี้ก็ได้ ดูตัวอย่างเรื่องเดียวก็คงพอ นั่นคือเมื่อครั้งที่เป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน เห็นเหตุการณ์สังหารโหดประชาชนที่ต่อสู้เพื่อพิทักษ์รักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์ด้วยมือเปล่า ก็ได้ทำหน้าที่อันต้องใจประชาชน
ไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนให้ทำการตรวจสอบไต่สวนดำเนินคดีกับเหล่าอาชญากรและผู้กระทำความผิดกฎหมาย ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนทำการตรวจสอบไต่สวนแล้วเห็นว่ามีการกระทำความผิด จึงส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ดำเนินคดีต่อไป
แต่พอมาเป็นนายกรัฐมนตรี คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ลืมเรื่องนี้ไป และไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย กระทั่งไม่เคยคิดอ่านที่จะจัดการแก้ไขปัญหาและคืนความเป็นธรรมให้แก่ประชาชน ผู้เสียสละและกล้าหาญเหล่านั้นเลย คงนั่งเสวยสุขในหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปวันๆ โดยลืมเรื่องเบื้องหลังจนหมดสิ้น
เมื่อหลายปีก่อนคนไทยถูกหลอกให้หลงเชื่อว่าคนรวยแล้วไม่โกง แต่ในที่สุดก็กระจ่างชัดว่าคนบางคนแม้ยิ่งรวยก็ยิ่งโกง แต่มาวันนี้คนไทยก็กำลังถูกหลอกอีกแล้ว! คือถูกหลอกว่าคนหล่อแล้วเป็นคนดีและไม่โกง สักวันหนึ่งเมื่อความจริงกระจ่างแล้วก็คงจะรู้สึกอกหักและผิดหวังตามๆ กันอีกครั้งหนึ่ง
ทำไมจึงเป็นไปเช่นนี้เล่า? และเราจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรกัน?
มันเป็นปรากฏการณ์แห่งอำนาจ หากไม่เข้าใจเรื่องของอำนาจแล้วก็ไม่มีวันเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นและจะต้องลุ่มหลงฝากความหวังไว้กับคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อไปอีก เมื่อถึงวันหนึ่งก็จะอกหักและผิดหวังจนสุดที่จะแก้ไขได้อีกต่อไป
ดังนั้นมาทำความเข้าใจเรื่องอำนาจและปรากฏการณ์อำนาจกันสักหน่อยจะดีกว่า
อัน “อำนาจ” นั้นประกอบด้วยองค์สาม คือการช่วงชิงให้ได้อำนาจมาอย่างหนึ่ง การใช้อำนาจอย่างหนึ่ง และการรักษาอำนาจอีกอย่างหนึ่ง หากไม่ประกอบด้วยองค์สามนี้แล้วก็ไม่ใช่อำนาจ แม้หากมีอำนาจก็จะต้องสูญเสียไป นี่เป็นธรรมสัจจะที่เป็นจริงอยู่ในทุกกาล
วันนี้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจมาเพราะคนเขาช่วงชิงให้ คนพวกแรกที่ต้องถือว่ามีพระคุณล้นฟ้ามหาสมุทรในวังวนแห่งอำนาจของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็คือประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ในนามของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ได้โค่นล้มอำนาจอธรรมลงไป เป็นเหตุให้สถานการณ์เปลี่ยนขั้วการเมืองเกิดขึ้น ซึ่งคนดีชอบที่จะต้องแสดงกตเวทิตาธรรมต่อผู้มีพระคุณเหล่านั้น
แต่ถึงวันนี้ประชาชนเหล่านั้นยังคงตกเป็นผู้ต้องหาจากการตั้งข้อกล่าวหาที่เกินจริงและเป็นข้อหาร้ายแรงที่มีโทษถึงประหารชีวิต แต่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรด้วย
คนจะดีหรือไม่ดีจริง พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนให้ดูที่ความกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ ดังที่ทรงตรัสว่าความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี และนี่ก็คือเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างคนดีกับคนไม่ดี
ครั้นการเมืองพลิกผันก็มีกลุ่มคนคณะหนึ่งไปช่วงชิงอำนาจจากอำนาจเก่าแล้วเปลี่ยนขั้วจัดตั้งเป็นอำนาจใหม่ขึ้น โดยให้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ดังนั้นการเป็นนายกรัฐมนตรีเช่นนี้จึงมิใช่ได้มาเพราะการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจด้วยตนเอง หากเป็นเพราะคนอื่นเอามามอบให้เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น
ดังนั้นการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาส่วนมากจึงเป็นเรื่องการแสดงปาฐกถา เปิดการสัมมนา และการไปโชว์ตัวตามที่ต่างๆ ซึ่งห่างไกลออกไปจากปัญหาของชาติบ้านเมืองที่ประชาชนทั้งชาติกำลังเพรียกหา
วันๆ หนึ่งเวลาได้สูญเสียไปจากการตรวจสอบบทปาฐกถา บทบรรยาย และการเตรียมการตลอดจนการกำหนดบุคลิกภาพในเรื่องเหล่านี้ ในขณะที่เรื่องใหญ่ๆ ของบ้านเมืองซึ่งเป็นเรื่องของการใช้อำนาจโดยตรงกลับมอบหมายหรืออยู่ในมือของคนอื่น
การรักษาอำนาจอยู่ในมือของคนอื่น การใช้อำนาจอยู่ในมือของคนอื่น เมื่อเป็นเช่นนี้มีอำนาจก็เหมือนไม่มีอำนาจ และอำนาจแท้จริงจีงอยู่ในมือของคนคณะหนึ่งซึ่งรู้ๆ กันอยู่ว่าเป็นใคร
ครั้นถึงคราจะทำหน้าที่อันมีอยู่ในจิตสำนึกว่าเรื่องไหนผิดชอบชั่วดีก็ทำไม่ได้ กลายเป็นเรื่องเด็กๆ เล่นสนุกๆ จนเป็นที่หยามหยันของผู้คนทั้งปวงไปแล้ว
เมื่อครั้งย้ายสนามบินก็ครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งถูกคนระดับอธิบดีตอกหน้าในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก็ครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งประกาศกร้าวจะจัดการกับ “ตอ” ที่ขัดขวางกระบวนการยุติธรรมก็ครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งเรื่องโผตำรวจและการตั้งผู้รักษาการแทนก็อีกครั้งหนึ่ง
ทำเอากองเชียร์ใจหายใจคว่ำ เป็นห่วงเป็นใย เป็นทุกข์เป็นร้อนและสงสาร จนไม่เป็นอันกินอันนอน แต่ในที่สุดคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยอมให้เรื่องทั้งหลายผ่านไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกอาย ไม่รู้สึกขายหน้า แต่ประการใด
มาครั้งล่าสุดนี้หนักสักหน่อย เพราะถูกคนกันเองหักหลังตบหัวตอกหน้าจนหน้าแตกเย็บไม่ติด ซึ่งถึงแม้จะพยายามปิดข่าวเพื่อรักษาหน้า แต่ยุคสมัยไม่อนุญาต ความจริงจึงถูกป่าวประกาศไปทั้งบ้านทั้งเมือง
ป่าวประกาศว่าในวันนี้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีก็แต่ในนาม ไม่ได้มีอำนาจและไม่มีผู้ใดยำเกรง แม้แต่จะตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในอำนาจหน้าที่ของตัวเพียงคนเดียวก็ยังทำไม่ได้
บรรดานานาชาติและผู้นำประเทศต่างๆ ตอนแรกๆ ก็คงงุนงงสงสัยว่านายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเป็นอะไร แต่ในที่สุดวันนี้ก็คงเข้าใจกันกระจ่างแล้วว่าเป็นอะไร และเมื่อเป็นเช่นนี้ศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของชาติจะเป็นอย่างไรก็คงเข้าใจได้ไม่ยาก
หลังเหตุการณ์หน้าแตกในการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่แล้ว ใครที่คิดให้กำลังใจให้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อสู้และพิทักษ์รักษาความถูกต้องในบ้านเมืองก็คงจะอกหักและผิดหวังอีก
คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นในทางที่ชอบที่ควรอย่างเคย และคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็จะยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่เจ็บไม่อายเหมือนดังเดิม
วันนี้ขั้วอำนาจใหม่ก่อตัวเข้มแข็งขึ้นชัดเจนแล้ว และเป็นรัฐาธิปัตย์ตัวจริงของประเทศนี้
เป็นขั้วอำนาจใหม่ที่ไม่เอาใครทั้งนั้น นอกจากพวกตัวเอง และผลประโยชน์เพื่ออำนาจนิรันดรของขั้วอำนาจใหม่เองเท่านั้น
ต่อจากนี้ไปการกระชับอำนาจ และปรับอำนาจใหม่จะเกิดขึ้น การสลายเหลืองสลายแดงก็จะเกิดขึ้นควบคู่กัน อย่าได้สงสัยเลย!