ASTVผู้จัดการรายวัน –โบรกเกอร์ต่างประเทศ เตรียมปิดสาขาในไทย หากอัตราค่าคอมมิชชั่นขั้นบันได ส่งผลกระทบต่อรายได้ แนะก.ล.ต.-ตลท.พิจารณาอย่างรอบคอบ คาดวอลุ่มตลาดไตรมาส 3-4 ดีต่อเนื่องหนุนวอลุ่มเฉลี่ยทั้งปีสูงกว่าปีก่อน เตรียมเพิ่มวงเงินปล่อยมาร์จิ้นเป็น 3-4 พันล้านบาท จากปัจจุบัน 2 พันล้านบาท มั่นใจกำไรปีนี้สูงกว่าปีก่อน
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST เปิดเผยว่า จากการหารือกับทางบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศที่มีสาขาในประเทศไทยในเรื่องการคิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น)ขั้นบันไดในต้นปีหน้า หากมูลค่าการซื้อขายยังคงอยู่ระดับปัจจุบันแต่รายได้ค่าคอมมิชชั่นปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญนั้น จะทำให้โบรกเกอร์ต่างประเทศที่มีสาขาในไทยบางแห่งปิดสาขาลง
ทั้งนี้ หากโบรกเกอร์ต่างประเทศปิดสาขาในไทยนั้น จะส่งผลกระทบต่อฐานนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ดังนั้น การที่จะกำหนดค่าคอมมิชชั่นขั้นบันไดทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ต้องพิจารณาให้รอบคอบเพื่อที่ไม่ส่งผลกระทบทำให้โบรกเกอร์ต่างประเทศปิดสาขา ปัจจุบันนี้เรื่องการกำหนดค่าคอมมิชชั่นขั้นบันไดนั้นทางสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) อยู่ระหว่างการหารือกับทางก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ ฯ
สำหรับ ปัจจุบันโบรกเกอร์มีการซื้อขายหุ้นเพื่อบัญชีบริษัทมากขึ้น โดยทางตลาดหลักทรัพย์ฯจะแยกส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ออกจากข้อมูลซื้อขายเพื่อบัญชีการลงทุนนั้น ทำให้ส่วนแบ่งมาร์เกตแชร์ในส่วนที่ลูกค้าซื้อขายหุ้นของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง เพราะบริษัทซื้อขายหุ้นเพื่อบัญชีของบริษัทน้อยมาก
นายมนตรีกล่าวว่ามั่นใจว่ามาร์เกตแชร์ปีนี้ของบริษัทจะยืนอยู่ที่ระดับ 10% เนื่องจากบัญชีลูกค้าของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเดือนมิถุนายน บริษัทมีลูกค้าเปิดบัญชีรวม 6.4 หมื่นบัญชี มีบัญชีซื้อขายสม่ำเสมอ (แอกทีฟ ) 2.7 หมื่นบัญชี และนักลงทุนของบริษัทมีการซื้อขายเพิ่มขึ้น ซึ่งได้ผลดีจากการที่บริษัททำวีซีดีแนะนำนักลงทุนในช่วงพฤศจิกายนซึ่งเป็นเรื่องหลังวิกฤตสร้างเศรษฐีใหม่ และขณะนี้มีนักลงทุนสถาบันต่างประเทศและในประเทศจะเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับทางบริษัทมากขึ้น ผลจากบริษัทได้รับรางวัลด้านบทวิจัยที่ดีจึงทำให้สัดส่วนักลงทุนสถาบันของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปัจจุบันที่มี 6%
นอกจากนี้รวมถึงแนวโน้มภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่้งปีหลังจะดีต่อเนื่อง จากเศรษฐกิจโลกและไทยจะฟื้นตัวและกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาส 4/52 ซึ่งบริษัทคาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยปีนี้จะสูงกว่าปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่าการซื้อขาย 1.6 หมื่นล้านบาทต่อวัน และบริษัทมีนโยบายที่จะมีการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน) มากขึ้นเป็น 3,000-4,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีประมาณเกือบ 2,000 ล้าน คาดว่าปีนี้บริษัทจะมีกำไรสูงกว่าปีที่ผ่านมาที่มีกำไรสุทธิ 534 ล้านบาท
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST เปิดเผยว่า จากการหารือกับทางบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศที่มีสาขาในประเทศไทยในเรื่องการคิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น)ขั้นบันไดในต้นปีหน้า หากมูลค่าการซื้อขายยังคงอยู่ระดับปัจจุบันแต่รายได้ค่าคอมมิชชั่นปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญนั้น จะทำให้โบรกเกอร์ต่างประเทศที่มีสาขาในไทยบางแห่งปิดสาขาลง
ทั้งนี้ หากโบรกเกอร์ต่างประเทศปิดสาขาในไทยนั้น จะส่งผลกระทบต่อฐานนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ดังนั้น การที่จะกำหนดค่าคอมมิชชั่นขั้นบันไดทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ต้องพิจารณาให้รอบคอบเพื่อที่ไม่ส่งผลกระทบทำให้โบรกเกอร์ต่างประเทศปิดสาขา ปัจจุบันนี้เรื่องการกำหนดค่าคอมมิชชั่นขั้นบันไดนั้นทางสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) อยู่ระหว่างการหารือกับทางก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ ฯ
สำหรับ ปัจจุบันโบรกเกอร์มีการซื้อขายหุ้นเพื่อบัญชีบริษัทมากขึ้น โดยทางตลาดหลักทรัพย์ฯจะแยกส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ออกจากข้อมูลซื้อขายเพื่อบัญชีการลงทุนนั้น ทำให้ส่วนแบ่งมาร์เกตแชร์ในส่วนที่ลูกค้าซื้อขายหุ้นของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง เพราะบริษัทซื้อขายหุ้นเพื่อบัญชีของบริษัทน้อยมาก
นายมนตรีกล่าวว่ามั่นใจว่ามาร์เกตแชร์ปีนี้ของบริษัทจะยืนอยู่ที่ระดับ 10% เนื่องจากบัญชีลูกค้าของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเดือนมิถุนายน บริษัทมีลูกค้าเปิดบัญชีรวม 6.4 หมื่นบัญชี มีบัญชีซื้อขายสม่ำเสมอ (แอกทีฟ ) 2.7 หมื่นบัญชี และนักลงทุนของบริษัทมีการซื้อขายเพิ่มขึ้น ซึ่งได้ผลดีจากการที่บริษัททำวีซีดีแนะนำนักลงทุนในช่วงพฤศจิกายนซึ่งเป็นเรื่องหลังวิกฤตสร้างเศรษฐีใหม่ และขณะนี้มีนักลงทุนสถาบันต่างประเทศและในประเทศจะเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับทางบริษัทมากขึ้น ผลจากบริษัทได้รับรางวัลด้านบทวิจัยที่ดีจึงทำให้สัดส่วนักลงทุนสถาบันของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปัจจุบันที่มี 6%
นอกจากนี้รวมถึงแนวโน้มภาวะตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่้งปีหลังจะดีต่อเนื่อง จากเศรษฐกิจโลกและไทยจะฟื้นตัวและกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาส 4/52 ซึ่งบริษัทคาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยปีนี้จะสูงกว่าปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่าการซื้อขาย 1.6 หมื่นล้านบาทต่อวัน และบริษัทมีนโยบายที่จะมีการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน) มากขึ้นเป็น 3,000-4,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีประมาณเกือบ 2,000 ล้าน คาดว่าปีนี้บริษัทจะมีกำไรสูงกว่าปีที่ผ่านมาที่มีกำไรสุทธิ 534 ล้านบาท