คำว่า ปฏิรูปการศึกษา เป็นคำที่ได้ยินบ่อยที่สุด โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “ความรู้คู่คุณธรรม” ขณะเดียวกันก็อาจจะมีการกล่าวถึงผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (student center) แต่ที่ดูเหมือนว่าที่มีการเน้นมากคือ การปฏิรูปหลักสูตรการเรียนการสอนและระบบการบริหารการศึกษา
ในภาพรวม ประเด็นเรื่องการปฏิรูปการศึกษามักมุ่งไปที่การปฏิรูปการบริหารการศึกษา เช่น การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นจัดการกันเอง ให้โรงเรียนเป็นนิติบุคคล การแบ่งให้เป็นเขตการศึกษาต่างๆ ฯลฯ ในขณะที่ประเด็นสำคัญที่สุดยังไม่มีการตกลงกันในสังคมในขณะนี้ก็คือ “เราจะพัฒนาสังคมแบบไหน และจะพัฒนาคนชนิดใด”
ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์และกระแสของการปกครองแบบประชาธิปไตย สังคมใดก็ตามที่พูดถึงการปฏิรูปการศึกษาจะตอบคำถามก่อนว่า ระบบสังคม การเมืองและเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ จะไปในทิศทางใดในอนาคต จากนั้นจึงสามารถจะพูดถึงหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อที่จะผลิตสมาชิกของสังคมที่มีความสอดคล้องกัน ในกรณีของประเทศไทยนั้นคำถามที่สำคัญที่สุดคือ จะพัฒนาสังคมไปในรูปใด จะมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ต่อเนื่องและยั่งยืนได้อย่างไร และจะเป็นประชาธิปไตยแบบใด ซึ่งในขณะนี้เป็นการผสมผสานระหว่างระบบรัฐสภาแบบอังกฤษและบางส่วนของระบบประธานาธิบดีแบบสหรัฐอเมริกา ในแง่เศรษฐกิจก็มีแนวโน้มที่จะเดินตามทุนนิยมแต่ก็ยังขาดวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเป็นอย่างมาก
ในแง่สังคมนั้นผสมผสานระหว่างสังคมจารีตนิยมและสังคมสมัยใหม่ เกิดองค์กรและสถาบันทางสังคมมากมายที่เป็นของสมัยใหม่ ขณะเดียวกันองค์กรและสถาบันแบบจารีตนิยมก็ยังอยู่ตามปกติ ที่สำคัญคือค่านิยมแบบจารีตนิยมคือระบบอุปถัมภ์ก็ยังอยู่ในระบบราชการและระบบการเมือง ซึ่งโดยนัยน่าจะเดินตามแนวทางสมัยใหม่ นอกจากนี้ในขณะที่มีการนำความรู้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ระบบความคิดอย่างตรรก มีเหตุมีผล มาพัฒนาประเทศ ก็ยังผสมผสานกับความเชื่อที่งมงาย ชอบผูกดวงชะตาชีวิต ประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ต่างๆ และบ่อยครั้งการผสมผสานดังกล่าวก็ไม่สามารถจะสอดคล้องได้อย่างแนบเนียน
เมื่อวิสัยทัศน์เกี่ยวกับลักษณะสังคมไทยในอนาคตยังไม่แจ่มกระจ่าง จะจัดระบบการศึกษาเพื่อสร้างคนที่จะเป็นสมาชิกในสังคมขึ้นมาได้อย่างไร กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในเมื่อเป้าหมายใหญ่ไม่ชัดก็ยากที่จะทำให้แนวทางของการปฏิรูปการศึกษาเกิดความแจ่มกระจ่างได้
เมื่อมนุษย์เกิดมาครบถ้วนจากครรภ์มารดา มนุษย์ผู้นั้นก็จะกลายเป็นชีวภาพที่สมบูรณ์ซึ่งจำเป็นต้องมีการเลี้ยงดูด้วยอาหารจนเติบโตพอที่จะรับการกล่อมเกลาเรียนรู้ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสังคม โดยการกล่อมเกลานั้นจะเริ่มตั้งแต่ครอบครัวจนถึงจุดที่มีความสามารถจะสื่อสารด้วยภาษาของพ่อแม่อันเป็นภาษาที่ใช้ในสังคม พูดคุยเข้าใจความหมายกับผู้อื่น มีระเบียบวินัยเกี่ยวกับความประพฤติปฏิบัติในระดับหนึ่ง จากนั้นก็เข้าไปรับการกล่อมเกลาเรียนรู้ในสถาบันการศึกษาสืบต่อจากพ่อแม่
ในส่วนนี้จะเป็นส่วนที่สำคัญยิ่ง เพราะถ้าพ่อแม่มีแนวในการอบรมสั่งสอนหรือกล่อมเกลาเรียนรู้ในรูปหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นแบบดั้งเดิม แต่การกล่อมเกลาเรียนรู้ในโรงเรียนเป็นอีกรูปหนึ่ง เนื่องจากหลักสูตรการเรียนการสอนที่จัดขึ้นโดยกระทรวงศึกษาธิการนั้น อาจจะเดินตามนักการศึกษาที่ศึกษามาจากทฤษฎีของประเทศตะวันตก และจัดระบบการศึกษาตามแนวที่ได้ศึกษามา ก็อาจนำไปสู่การขัดกันของทั้งสองส่วน อย่างไรก็ตามคำถามที่สำคัญดังที่ได้กล่าวมาแล้วก็คือ ในภาพรวมเราจะพัฒนาสังคมไปในทิศทางใด ถ้าตอบคำถามดังกล่าวไม่ได้ก็จะเกิดคำถามว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่จะกล่อมเกลาเรียนรู้ให้แก่ผู้มาเรียนนั้นควรจะมีลักษณะใด
ทางออกของกระทรวงศึกษาและโรงเรียนขณะนี้ก็คือการให้ความรู้ทางวิชาการ เช่น ความรู้ทางภาษา คำนวณ เลข เลขาคณิต และทางสังคมศาสตร์ ฯลฯ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นการศึกษาที่เกี่ยวกับความรู้ทางเทคนิค แต่การศึกษาที่จะทำให้ คนให้เป็นคน มีส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งคือ การสร้างบุคลิกภาพของความเป็นมนุษย์ (character education) สิ่งซึ่งสถาบันการศึกษาจะทำได้ขณะนี้ก็คือการสอนเรื่องศีลธรรม แต่ความจริงถ้าจะให้สอดคล้องกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยและโลกยุคโลกาภิวัตน์ เนื้อหาการศึกษาและการกล่อมเกลาเรียนรู้จะต้องก้าวไกลกว่าที่กล่าวมาเบื้องต้น ซึ่งในขณะนี้ต้องยอมรับว่ายังไม่มีความกระจ่างเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว
ประเด็นที่ต้องคำนึงถึงเกี่ยวกับระบบการศึกษาที่จะสร้างคน ผลิตสมาชิกให้กับสังคมที่พึงประสงค์มีดังต่อไปนี้ คือ
1. เบื้องต้นประเทศต้องมีวิสัยทัศน์ว่าสังคมจะเดินทางไปในทิศทางใด ในทางการเมือง สังคมและเศรษฐกิจ และการปรับตัวกับกระแสโลกาภิวัตน์
2. ในแง่ความเป็นมนุษย์ สมาชิกผู้นั้นจะต้องถูกการอบรมกล่อมเกลาจนกลายเป็นสมาชิกที่สมบูรณ์ของสังคม แต่คำถามที่สำคัญก็คือ บุคคลผู้นั้นควรมีสิทธิที่จะมีอาตมันปัจเจกภาพ (self-hood) และบุคลิกภาพ (person-hood) ของตนเอง เพราะนี่คือสิทธิโดยธรรมชาติของการเป็นมนุษย์ การอบรมในครอบครัวและสถาบันการศึกษามีการเปิดช่องว่างให้มีการพัฒนาสิ่งนี้หรือไม่สำหรับสมาชิกในสังคม
3. ระบบการศึกษานั้นมีส่วนหรือไม่ต่อการสร้างความเป็นพลเมือง (citizenship) นั่นคือ การสร้างอาตมันทางการเมือง (political self) ค่านิยมทางประชาธิปไตย หน้าที่ความรับผิดชอบต่อสังคม (civic obligation) ถ้าหลักสูตรการเรียนการสอนมองข้ามสิ่งเหล่านี้เนื่องจากเห็นว่าไม่สำคัญ ก็จะขัดกับจุดประสงค์หรือรูปแบบสังคมที่ต้องการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ต่อเนื่องและยั่งยืน
4. ศีลธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม ได้มีการจัดหลักสูตรให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องจริยธรรมในปัจจุบันซึ่งถูกวัตถุนิยม เงินตรานิยมและบริโภคนิยมทำให้ผิดเพี้ยนไปมาก
5. การพัฒนาจิตวิญญาณ (spiritual value) และค่านิยมทางสุนทรีย์ (aesthetic value) มีการให้น้ำหนักมากน้อยเพียงใด หรือจุดมุ่งเน้นอยู่ที่การอบรมความรู้ทางเทคนิคแต่เพียงอย่างเดียว
6. ความรู้ทางเทคนิค (technical knowledge) เพื่อนำไปประกอบอาชีพ เช่น นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ แพทยศาสตร์
กล่าวโดยทั่วไปในส่วนของข้อ 6 สังคมไทยมีความสามารถในระดับที่น่าเชื่อถือได้ แต่ในส่วนอื่นๆ นั้นมีคำถามที่สำคัญคือมีการตระหนักและเข้าใจถึงการสร้างคนให้มีคุณสมบัติหรือคุณลักษณะดังกล่าวมากน้อยเพียงใด หรือพูดง่ายๆ คือ อะไรคือปรัชญาการศึกษานอกเหนือจากการที่กล่าวว่า “ความรู้คู่คุณธรรม” แต่ถ้าหากยังไม่สามารถมีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับระบบสังคมที่พึงประสงค์ ก็ไม่มีทางที่จะจินตนาการถึงประเภทของมนุษย์ที่ระบบการศึกษาจะช่วยกล่อมเกลาให้ได้มา การพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยจะไร้ผลถ้าระบบการศึกษาไม่สามารถสร้างอาตมันปัจเจกภาพและสร้างความเป็นพลเมืองขึ้นมาได้ และการพัฒนาสังคมก็จะล้มเหลวถ้าประเด็นเรื่องศีลธรรม จริยธรรม และความรับผิดชอบบกพร่อง
ใครก็ตามที่จะพูดถึงการปฏิรูปการศึกษาต้องตอบคำถามสำคัญที่กล่าวมาข้างต้นก่อน
ในภาพรวม ประเด็นเรื่องการปฏิรูปการศึกษามักมุ่งไปที่การปฏิรูปการบริหารการศึกษา เช่น การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นจัดการกันเอง ให้โรงเรียนเป็นนิติบุคคล การแบ่งให้เป็นเขตการศึกษาต่างๆ ฯลฯ ในขณะที่ประเด็นสำคัญที่สุดยังไม่มีการตกลงกันในสังคมในขณะนี้ก็คือ “เราจะพัฒนาสังคมแบบไหน และจะพัฒนาคนชนิดใด”
ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์และกระแสของการปกครองแบบประชาธิปไตย สังคมใดก็ตามที่พูดถึงการปฏิรูปการศึกษาจะตอบคำถามก่อนว่า ระบบสังคม การเมืองและเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ จะไปในทิศทางใดในอนาคต จากนั้นจึงสามารถจะพูดถึงหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อที่จะผลิตสมาชิกของสังคมที่มีความสอดคล้องกัน ในกรณีของประเทศไทยนั้นคำถามที่สำคัญที่สุดคือ จะพัฒนาสังคมไปในรูปใด จะมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ต่อเนื่องและยั่งยืนได้อย่างไร และจะเป็นประชาธิปไตยแบบใด ซึ่งในขณะนี้เป็นการผสมผสานระหว่างระบบรัฐสภาแบบอังกฤษและบางส่วนของระบบประธานาธิบดีแบบสหรัฐอเมริกา ในแง่เศรษฐกิจก็มีแนวโน้มที่จะเดินตามทุนนิยมแต่ก็ยังขาดวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเป็นอย่างมาก
ในแง่สังคมนั้นผสมผสานระหว่างสังคมจารีตนิยมและสังคมสมัยใหม่ เกิดองค์กรและสถาบันทางสังคมมากมายที่เป็นของสมัยใหม่ ขณะเดียวกันองค์กรและสถาบันแบบจารีตนิยมก็ยังอยู่ตามปกติ ที่สำคัญคือค่านิยมแบบจารีตนิยมคือระบบอุปถัมภ์ก็ยังอยู่ในระบบราชการและระบบการเมือง ซึ่งโดยนัยน่าจะเดินตามแนวทางสมัยใหม่ นอกจากนี้ในขณะที่มีการนำความรู้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ระบบความคิดอย่างตรรก มีเหตุมีผล มาพัฒนาประเทศ ก็ยังผสมผสานกับความเชื่อที่งมงาย ชอบผูกดวงชะตาชีวิต ประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ต่างๆ และบ่อยครั้งการผสมผสานดังกล่าวก็ไม่สามารถจะสอดคล้องได้อย่างแนบเนียน
เมื่อวิสัยทัศน์เกี่ยวกับลักษณะสังคมไทยในอนาคตยังไม่แจ่มกระจ่าง จะจัดระบบการศึกษาเพื่อสร้างคนที่จะเป็นสมาชิกในสังคมขึ้นมาได้อย่างไร กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในเมื่อเป้าหมายใหญ่ไม่ชัดก็ยากที่จะทำให้แนวทางของการปฏิรูปการศึกษาเกิดความแจ่มกระจ่างได้
เมื่อมนุษย์เกิดมาครบถ้วนจากครรภ์มารดา มนุษย์ผู้นั้นก็จะกลายเป็นชีวภาพที่สมบูรณ์ซึ่งจำเป็นต้องมีการเลี้ยงดูด้วยอาหารจนเติบโตพอที่จะรับการกล่อมเกลาเรียนรู้ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสังคม โดยการกล่อมเกลานั้นจะเริ่มตั้งแต่ครอบครัวจนถึงจุดที่มีความสามารถจะสื่อสารด้วยภาษาของพ่อแม่อันเป็นภาษาที่ใช้ในสังคม พูดคุยเข้าใจความหมายกับผู้อื่น มีระเบียบวินัยเกี่ยวกับความประพฤติปฏิบัติในระดับหนึ่ง จากนั้นก็เข้าไปรับการกล่อมเกลาเรียนรู้ในสถาบันการศึกษาสืบต่อจากพ่อแม่
ในส่วนนี้จะเป็นส่วนที่สำคัญยิ่ง เพราะถ้าพ่อแม่มีแนวในการอบรมสั่งสอนหรือกล่อมเกลาเรียนรู้ในรูปหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นแบบดั้งเดิม แต่การกล่อมเกลาเรียนรู้ในโรงเรียนเป็นอีกรูปหนึ่ง เนื่องจากหลักสูตรการเรียนการสอนที่จัดขึ้นโดยกระทรวงศึกษาธิการนั้น อาจจะเดินตามนักการศึกษาที่ศึกษามาจากทฤษฎีของประเทศตะวันตก และจัดระบบการศึกษาตามแนวที่ได้ศึกษามา ก็อาจนำไปสู่การขัดกันของทั้งสองส่วน อย่างไรก็ตามคำถามที่สำคัญดังที่ได้กล่าวมาแล้วก็คือ ในภาพรวมเราจะพัฒนาสังคมไปในทิศทางใด ถ้าตอบคำถามดังกล่าวไม่ได้ก็จะเกิดคำถามว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่จะกล่อมเกลาเรียนรู้ให้แก่ผู้มาเรียนนั้นควรจะมีลักษณะใด
ทางออกของกระทรวงศึกษาและโรงเรียนขณะนี้ก็คือการให้ความรู้ทางวิชาการ เช่น ความรู้ทางภาษา คำนวณ เลข เลขาคณิต และทางสังคมศาสตร์ ฯลฯ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นการศึกษาที่เกี่ยวกับความรู้ทางเทคนิค แต่การศึกษาที่จะทำให้ คนให้เป็นคน มีส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งคือ การสร้างบุคลิกภาพของความเป็นมนุษย์ (character education) สิ่งซึ่งสถาบันการศึกษาจะทำได้ขณะนี้ก็คือการสอนเรื่องศีลธรรม แต่ความจริงถ้าจะให้สอดคล้องกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยและโลกยุคโลกาภิวัตน์ เนื้อหาการศึกษาและการกล่อมเกลาเรียนรู้จะต้องก้าวไกลกว่าที่กล่าวมาเบื้องต้น ซึ่งในขณะนี้ต้องยอมรับว่ายังไม่มีความกระจ่างเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว
ประเด็นที่ต้องคำนึงถึงเกี่ยวกับระบบการศึกษาที่จะสร้างคน ผลิตสมาชิกให้กับสังคมที่พึงประสงค์มีดังต่อไปนี้ คือ
1. เบื้องต้นประเทศต้องมีวิสัยทัศน์ว่าสังคมจะเดินทางไปในทิศทางใด ในทางการเมือง สังคมและเศรษฐกิจ และการปรับตัวกับกระแสโลกาภิวัตน์
2. ในแง่ความเป็นมนุษย์ สมาชิกผู้นั้นจะต้องถูกการอบรมกล่อมเกลาจนกลายเป็นสมาชิกที่สมบูรณ์ของสังคม แต่คำถามที่สำคัญก็คือ บุคคลผู้นั้นควรมีสิทธิที่จะมีอาตมันปัจเจกภาพ (self-hood) และบุคลิกภาพ (person-hood) ของตนเอง เพราะนี่คือสิทธิโดยธรรมชาติของการเป็นมนุษย์ การอบรมในครอบครัวและสถาบันการศึกษามีการเปิดช่องว่างให้มีการพัฒนาสิ่งนี้หรือไม่สำหรับสมาชิกในสังคม
3. ระบบการศึกษานั้นมีส่วนหรือไม่ต่อการสร้างความเป็นพลเมือง (citizenship) นั่นคือ การสร้างอาตมันทางการเมือง (political self) ค่านิยมทางประชาธิปไตย หน้าที่ความรับผิดชอบต่อสังคม (civic obligation) ถ้าหลักสูตรการเรียนการสอนมองข้ามสิ่งเหล่านี้เนื่องจากเห็นว่าไม่สำคัญ ก็จะขัดกับจุดประสงค์หรือรูปแบบสังคมที่ต้องการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ต่อเนื่องและยั่งยืน
4. ศีลธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม ได้มีการจัดหลักสูตรให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องจริยธรรมในปัจจุบันซึ่งถูกวัตถุนิยม เงินตรานิยมและบริโภคนิยมทำให้ผิดเพี้ยนไปมาก
5. การพัฒนาจิตวิญญาณ (spiritual value) และค่านิยมทางสุนทรีย์ (aesthetic value) มีการให้น้ำหนักมากน้อยเพียงใด หรือจุดมุ่งเน้นอยู่ที่การอบรมความรู้ทางเทคนิคแต่เพียงอย่างเดียว
6. ความรู้ทางเทคนิค (technical knowledge) เพื่อนำไปประกอบอาชีพ เช่น นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ แพทยศาสตร์
กล่าวโดยทั่วไปในส่วนของข้อ 6 สังคมไทยมีความสามารถในระดับที่น่าเชื่อถือได้ แต่ในส่วนอื่นๆ นั้นมีคำถามที่สำคัญคือมีการตระหนักและเข้าใจถึงการสร้างคนให้มีคุณสมบัติหรือคุณลักษณะดังกล่าวมากน้อยเพียงใด หรือพูดง่ายๆ คือ อะไรคือปรัชญาการศึกษานอกเหนือจากการที่กล่าวว่า “ความรู้คู่คุณธรรม” แต่ถ้าหากยังไม่สามารถมีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับระบบสังคมที่พึงประสงค์ ก็ไม่มีทางที่จะจินตนาการถึงประเภทของมนุษย์ที่ระบบการศึกษาจะช่วยกล่อมเกลาให้ได้มา การพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยจะไร้ผลถ้าระบบการศึกษาไม่สามารถสร้างอาตมันปัจเจกภาพและสร้างความเป็นพลเมืองขึ้นมาได้ และการพัฒนาสังคมก็จะล้มเหลวถ้าประเด็นเรื่องศีลธรรม จริยธรรม และความรับผิดชอบบกพร่อง
ใครก็ตามที่จะพูดถึงการปฏิรูปการศึกษาต้องตอบคำถามสำคัญที่กล่าวมาข้างต้นก่อน