xs
xsm
sm
md
lg

หวัดฆ่าคนไทยอีก16ศพพบเกษตรกรติดเชื้อเพิ่ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน –ยอดคนตายหวัดเพิ่มอีก 16 ราย พบ 11 รายมีโรคประจำตัว ส่งผลยอดรวมขยับไปอยู่ที่ 97 ราย พบสัญญาณการติดเชื้อเพิ่มขึ้นในเกษตรกร ด้าน  อภ.ลงนามร่วมมือบริษัทยาเข้าถึงยาซานามิเวียร์สำรองกันโอเซลทามิเวียร์ดื้อยา เผย 4 ก.ย.เริ่มทดลองวัคซีนในอาสาสมัคร
นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ มีผู้ป่วยเสียชีวิตในรอบสัปดาห์ จำนวน 16 ราย เท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งมีผู้เสียชีวิต 16 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยเสียชีวิตสะสมทั้งหมดอยู่ที่ 97 ราย โดย 11 รายมีโรคประจำตัว คือ เบาหวาน หัวใจหลอดเลือด โรคไต โรคปอด และตั้งครรภ์ 1 ราย  ค่าเฉลี่ยการได้รับยาเร็วขึ้นเป็น 5-6 วัน จากเดิม 7 วัน โดยร้อยละ 50 ของผู้เสียชีวิตเริ่มป่วยก่อนที่จะมีนโยบายกระจายยาต้านสู่คลินิก สำหรับยอดผู้ป่วยสะสมขณะนี้อยู่ที่ 11,585 ราย
ทั้งนี้ จากสถิติพบว่า แนวโน้มการระบาดในเขตกทม.และปริมลฑลขณะนี้ลดลง โดยพิจารณาจากปริมาณผู้ป่วยที่เข้าโรงพยาบาลที่ลดลงครึ่งหนึ่ง ส่วนในระดับภูมิภาคบางจังหวัดชะลอตัว บางจังหวัดเพิ่มขึ้น  ทั้งนี้กลุ่มผู้ป่วยอายุ 6-20 ปี มีการติดเชื้อน้อยลงสะท้อนให้เห็นว่า มาตรการต่างๆ เช่น หยุดอยู่บ้านเมื่อป่วย เริ่มเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการต่อไป ส่วนกลุ่มเกษตรกรมีแนวโน้มการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แสดงให้เห็นว่าต้องรีบป้องกันเชื้อในชุมชน 
นพ.ไพจิตร์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้การกระจายยาต้านไวรัสลงคลินิกเอกชนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 15 โดยนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ได้เร่งรัดผู้ตรวจ 18 เขต เร่งรัดดำเนินการให้ความเข้าใจแพทย์เจ้าของคลินิกแล้ว  เชื่อว่าจะมีคลินิกเข้าร่วมโครงการกระจายยามากขึ้น

**อภ.เซ็นซื้อซานามเวียร์สำรองกันดื้อยา
ที่กระทรวงสาธารณสุข นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือการเข้าถึงยาซานามิเวียร์ พร้อมสำรองใช้ภายในประเทศ ระหว่าง นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม(อภ.) กับนายเนมี่ ลิม กรรมการผู้จัดการบริษัท แกล็กโซสมิทไคล์น (ประเทศไทย) จำกัด (จีเอสเค)
นายวิทยากล่าวว่า ยาต้านไวรัสซานามิเวียร์เป็นยาที่ได้รับการแนะนำจากองค์การอนามัยโลกให้สำรองใช้กรณีเชื้อดื้อยาโอเซลทามิเวียร์ อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่มีการกระจายยาชนิดนี้ให้โรงพยาบาลรัฐต่างๆ เพราะยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ โดยจะให้คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาวิชาการและยุทธศาสตร์ด้านการแพทย์และสาธารณสุข  ที่มี ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ เป็นผู้พิจารณาหลักเกณฑ์ในการกระจายยาให้กับโรงพยาบาลรัฐ
นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม(อภ.) กล่าวว่า อภ. ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้แทนในการจำหน่ายยาซานามิเวียร์ให้เฉพาะโรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศแต่เพียงผู้เดียว โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค.นี้เป็นต้นไป ส่วนปริมาณการสั่งซื้อยานั้น ต้องมีการพิจารณาอีกครั้ง
ด้านนายเนมี่ ลิม กรรมการผู้จัดการบริษัทจีเอสเค กล่าวว่า สำหรับยาซานามิเวียร์ จำนวน 1 ชุดรักษา(กล่อง) ราคา 450 บาท โดยข้อบ่งชี้ในการใช้คือ ไม่ใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ที่แพ้สารประกอบของยา  รวมถึงแลคโตส ซึ่งประกอบด้วยโปรตีนจากนม ส่วนอาการข้างเคียง อาจทำให้เกิดอาการหดเกร็งของหลอดลมทำให้เกิดอาการหอบ หืด และหากเกิดอาการหลอดลมหดเกร็งหรือการทำงานที่เกี่ยวกับการหายใจลดลง ในผู้ที่ไม่มีประวัติเคยเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจมาก่อน ควรหยุดการใช้ยาและปรึกษาแพทย์ ส่วนผู้ป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจอยู่เดิม ควรได้รับยาขยายหลอดลม ชนิดออกฤทธิ์เร็วร่วมด้วย ทำให้การใช้การต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ หากมีประวัติการแพ้ยาควรใช้ยาด้วยความระมัดระวัง  

**สธ.ขอรถเมล์แอร์ถอดผ้าม่านออก
วันเดียวกันนายวิทยาได้มอบหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือให้กับนายโอภาส เพชรมุนี ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พร้อมกล่าวว่า สธ.ได้รณรงค์ให้พนักงานสวมใส่หน้ากากอนามัยและล้างมือเป็นประจำขณะปฏิบัติงานตลอดเวลา พร้อมทั้งขอความร่วมมือรถโดยสารปรับอากาศให้ถอดผ้าม่านหน้าต่างออก เพื่อให้แสงแดดส่องถึงเพื่อฆ่าเชื้อโรคไปในตัว และพิจารณาจุดติดตั้งเจลล้างมือตามอู่รถโดยสาร ป้ายรถโดยสาร และบนรถโดยสาร

**4 ก.ย.ทดลองวัคซีนในคน
นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข(สวรส.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการจริยธรรมในมนุษย์ว่า คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบให้เดินหน้าโครงการวิจัยวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009 ที่องค์การเภสัชกรรม(อภ.)ผลิต โดยได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมในรายละเอียดโครงการอีกเล็กน้อยเป็นครั้งที่ 6 ซึ่งขณะนี้ทราบผลการทดลองในสัตว์ อาทิ หนูตะเภาซึ่งทดลองในประเทศรัสเซีย และเฟอร์เร็ตในประเทศเนเธอร์แลนด์ว่า ผลน่าพอใจ มีความปลอดภัยไม่มีปัญหาใดๆ จากนั้นทีมผู้วิจัยจะต้องนำเรื่องดังกล่าวผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ของคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล ให้อนุมัติโครงการอีกครั้ง
ทั้งนี้ ในวันที่ 12 ส.ค.เป็นวันที่อภ.ถือฤกษ์ในการเก็บเกี่ยววัคซีนที่นำไปเพาะในไข่บริสุทธิ์ที่ห้องปฏิบัติการ ซึ่งจะได้วัคซีนต้นแบบออกมาเป็นครั้งแรก จากนั้นจะส่งให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจว่ามีการปนเปื้อนหรือไม่ใช้เวลาอีก 7 วัน จากนั้นเก็บไว้ในภาชนะบรรจุดูผลอีก 7 วัน โดยตามแผนที่วางไว้จะสามารถฉีดวัคซีนโดสแรกให้กับอาสาสมัครทดลองวัคซีนที่คณะเวชศาสตร์เขตร้อนได้ครั้งแรกในวันที่ 4 ก.ย. แต่หากล่าช้าก็คงประมาณ5-7 ก.ย. ซึ่งได้มีการประกันชีวิตให้กับอาสาสมัครที่ร่วมทดลองเป็นเงินประกัน 5 แสนบาทต่อคน
   
**ตั้งกกก.ควบคุมทดลองวัคซีน 3 ชุด
  นพ.วิชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีก 3 ชุด คือ คณะกรรมการกำกับดูแลข้อมูลและความปลอดภัย ซึ่งจะมีทำหน้าที่ในการประเมินผลและตัดสินใจว่าจะเดินหน้าโครงการต่อไปหรือไม่ ถือเป็นคณะกรรมการอิสระ โดยได้เชิญนพ.เคนจิ ฮิรายามา คณบดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.นางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับศ.นพ.วิษณุ ธรรมลิขิตกุล รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล,ศ.บุญมี สถาปัตยวงศ์ หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และนพ.ศุภมิตร์ ชุณห์สุทธิวัฒน์  ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค  พร้อมทั้งตัดสินใจถึงระยะเวลาว่าเมื่อใดที่ควรจะฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเสนอให้คำแนะนำไปยังฝ่ายบริหารด้วย
  นอกจากนี้ยังมีการตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลการผลิตวัคซีน โดยมีนพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ นักวิชาการสาธารณสุขระดับ 11 สธ. ด้านวิจัยเป็นประธาน และยังมีทีมผู้กำกับดูแลการวิจัยโดยมีผู้เชี่ยวชาญจากประเทศฟิลิปปินส์ 1 คนและเจ้าหน้าที่ไทยอีก 2 คนเป็นทีมงานดูแลเรื่องการทำวิจัยประเมินผลรายวัน
**เหยื่อหวัดมรณะพุ่งเฉียด1,500**
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า องค์การอนามัยโลกแถลงเมื่อวาน (11)ว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) ทั่วโลกได้เพิ่มเป็น 1,462 รายแล้ว เพิ่มขึ้นจากการประกาศครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมซึ่งมี 1,154ราย
โฆษกหญิงขององค์การอนามัยโลกยังระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสชนิดนี้ในซีกโลกใต้เริ่มมีแนวโน้มลดลงแล้วโดยเฉพาะในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และอาร์เจนตินา แต่ในขณะเดียวกันกลับพบว่า การแพร่ระบาดของหลายประเทศในเอเชีย เช่น ไทย อินเดีย และเวียดนาม กลับเพิ่มมากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น