ASTVผู้จัดการรายวัน - “วิน”หรือ วินเนอร์ เดชเพียร หนึ่งในผู้ได้รับความเดือดร้อน จากการตกเป็นเหยื่อหลงใช้บริการรับสร้างบ้านกับบริษัทในเครือภูธนแสงทอง สะท้อนอารมณ์ว่า บ้านคือ ความฝันของมนุษย์ทุกคน บ้านไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย ไม่ใช่ของใช้ชิ้นเล็กๆ ที่แม้จะถูกหลอก ถูกโกงไปแล้วเราจะทำใจได้ง่ายๆ แต่บ้านคือความฝัน บ้านคือสิ่งที่คน หนึ่งคนต้องสะสมเงินทั้งชีวิตเพื่อให้มีบ้านได้ซัก1หลัง ในชีวิตคนๆ หนึ่งคงมีไม่มากนักจะมีบ้านกันคนละหลายๆ หลัง
"การที่มีกลุ่มคนหนึ่งมาตั้งบริษัทเพื่อหรอกเอาเงินกับคนสร้างบ้าน เปรียบได้กับการตั้งบริษัทเพื่อคอยทำลายความฝันของคน และทำลายความสุข ของครอบครับ ของคนในสังคมก็ว่าได้ และหากจะว่าไปแล้วคดีในรูปแบบนี้ไม่น่าจะเป็นคดีแพ่งและพาณิชย์ เพราะเป็นคดีที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ ถือเป็นอาชญากรทางเศรษฐกิจด้วยซ้ำ แต่ทำไมหน่วยงานราชการยังไม่มีการควบคุมธุรกิจนี้ และยังปล่อยให้มีการหากินบนความเดือดร้อน ของคนกลุ่มนี้อยู่ในวงการบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์”
สำหรับบ้านหลังนี้ หากไม่มีลูกก็ไม่ยังไม่คิดจะสร้าง ..! เพราะเดิมทีก็ซื้อคอนโดมิเนียมอยู่กับภรรยา2คนก็สะดวกสบายดี แต่หลังจากที่มีลูก ก็อยากให้ลูกได้อยู่ในสะภาพแวดล้อมที่ดี ประกอบกับแม่ของภรรยาเองก็อยากให้ย้ายไปอยู่ใกล้ๆกันเพราะอยากอยู่ใกล้ๆ กับหลาน ซึ่งขณะนั้นข้างบ้านของภรรยานั้นประกาศขายที่ดิน จึงตัดสินใจนำเงินสะสมที่มีอยู่กว่า 5ล้านบาท ไปซื้อที่ดินแปลงที่ติดกับบ้านของแม่ภรรยา ซึ่งในการซื้อที่ดินนั้นต้องกู้ธนาคารเพิ่มอีก 1ล้านบาท จึงสามารถซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวได้
หลังจากนั้น ก็เริ่มมองหาบริษัทรับสร้างบ้านเข้ามาช่วยก่อสร้างบ้านให้ ซึ่งก่อนหน้าที่จะมาเจอกับบริษัทภูธนแสงทองนั้น ได้เข้ามาไปสอบถามบริษัทรับสร้างบ้านหลายๆบริษัท แต่ยังไม่ถูกใจแบบบ้าน จึงรอดูในงานนิทัศการ และงานมหกรรมบ้านต่างๆ จนได้พบกับ “นายศิวัช” ซึ่งขณะนั้นเปิดบริการบริษัทรับสร้างบ้านอยู่ 3 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท พีทีเอส โฮม จำกัด บริษัทภูธนแสงทอง จำกัด และบริษัทเพรสซิเด้นท์ โฮม จำกัด ซึ่งแต่ละบริษัทมีการแบ่งกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันออกไป
ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ระบบการให้บริการของบริษัทนี้ค่อนข้างเอาใจใส่ลูกค้าอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยเรื่องแนวคิดการออกแบบบ้าน การต่อรองเรื่องราคาก่อสร้างบ้าน การบริการต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจ สร้างบ้านด้วย ซึ่งเท่าที่สัมผัสกับหลายๆ บริษัทไม่มีบริษัทใดที่เข้ามาบริการดีอย่างนี้ เช่นการส่งสถาปนิกเข้ามารับฟังความเห็นและพูดคุยในการออกแบบบ้านทำให้เกิดความประทับใจและเมื่อแบบบ้านออกมาก็ตรงกับที่เราต้องการทำให้ตัดสินใจสร้างบ้านกับบริษัทดังกล่าว
“คุณจะเอาอะไรเค้าพร้อมหาให้คุณได้หมด อยากได้อะไรเพิ่มเติม ต่อเติมส่วนไหนแก้ไขแบบบ้านส่วนไหน เค้าทำให้ทุกอย่างแม้กระทั่งการต่อรองเรื่องราคา และการให้ส่วนลดที่สูงเกินความน่าจะเป็นก็สามารถพูดคุยได้ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ล่อใจให้ลูกค้าส่วนใหญ่ตัดสินใจสร้างบ้านกับนายศิวัช”
จากการบริการตอบรับการพูดคุย และหารือเรื่องต่างๆ ที่มีระบบการให้บริการแบบถึงบ้านนั้นทำให้ลูกค้าทุกคนมีความเชื่อมั่น และมั่นใจกล้าตัดสินใจสร้างบ้านกับบริษัทในเครือ ภูธนแสงทอง แต่ลูกค้าทุกรายหารู้ไม่ว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของ “นายศิวัช” นั้น เป็นหลุมพลาง เป็นกับดักที่ทำให้ลูกค้าของบริษัทดังกล่าวต้องมาเสียใจ และผิดหวัง และฝันสลายในวันนี้
ปัญหา และภาระที่เกิดจากการหลอกลวงและหากินของนายศิวัช ในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของครอบครัวผมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นภาระด้านการเงิน ที่เกิดจากการกู้สถาบันการเงินมาเพื่อซื้อที่ดินและสร้างบ้านกว่า 5-6ล้านบาท ภาระที่ต้องหาเงินเพิ่มเพื่อส่งลูกเรียนเพราะต้องนำเงินไปผ่อนค่างวดกับสถาบันการเงิน นอกจากนี้ยังมีปัญหาการทะเลอะกับภรรยา ซึ่งมีสาเหตุจากการถูกโกงจากการสร้างบ้าน
“อนาคตของลูก ที่จะเรียนต่อ อนาคตของครอบครัว ที่จะมีบ้านเพื่ออยู่อาศัยในบั้นปลายชีวิตแทบจะหมดลงตรงนี้ ดีที่ผมยังไม่ยอมแพ้ เพราะยังต้องเลี้ยงดูลูกและครอบครัวต่อ ไปแต่ถ้าเป็นคนอื่นที่ตกอยู่ในภาวะเดียวกันกับผมและท้อแท้จนไม่อยากสู้ต่อหนี้ไป ปัญหาที่เกิดขึ้นคงตกอยู่ที่สถาบันการเงิน เพราะเกิดหนี้เสีย ผมเป็นหนึ่งใน38 เคส ที่เกิดขึ้นจากผลงานของบริษัทในเครือภูธนแสงทองเท่านั้น แต่ถ้าในอนาคตมีบริษัท และกลุ่มคนที่หากินแบบนี้มากมาย โดยกฎหมายเอาโทษได้เพียงฟ้องแพ่ง และหน่วยงานราชการทำได้เพียงนั่งดูเฉยๆ รับรู้ข้อมูลแต่ไม่ดำเนินการอะไร (ไม่ใช่เรื่องของ…) ไม่เห็นต้องเดือดร้อน..! แล้วประชาชนผู้เดือดร้อน ครอบครัวผู้เดือดร้อน และธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากตรงนี้จะทำอย่างไร”
2-3ปีที่ผ่านมาหลังบอกเลิกสัญญาเพื่อหาผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหม่เข้ามาก่อสร้างบ้านต่อ เพราะถูกทิ้งงานจากบริษัทดังกล่าว ผมต้องหาเงินเพื่อก่อสร้างบ้านต่อให้แล้วเสร็จอีก1.5ล้านบาท นับรวมแล้วบ้านหลังนี้ผมต้องใช้เงินในการก่อสร้างกว่า 10ล้านบ้านบาท นี้คือความเจ็บช้ำที่สุดในชีวิต
อยากบอกว่าบ้านไม่ใช้สินค้าฟุ่มเฟือย เสียแล้วเสียไปหรือเสียไปก็หาใหม่ได้ง่ายๆ เหมือนรถยนต์ เหมือนแหวนเพชร หายแล้วหายไปเสียแล้วเสียไป ดังนั้นหากไม่มีการเข้ามาดูแลโดยหน่วยงานรัฐ ที่มีอำนาจหน้าที่สามารถลงโทษตัดสินผู้ทำผิดได้ โดยต้องรอให้ลูกค้าไปฟ้องคดีแพ่งต่อศาลเอง แต่ในช่วงที่ศาลยังไม่ตัดสินหรือแม้จะตัดสินแล้วแต่บริษัทที่หลอกผู้บริโภคยังเปิดกิจการ โฆษณาธุรกิจผ่านเว็บไซต์ หากินไปเรื่อย ๆ ไม่มีการยึดใบอนุญาต ไม่มีการลงโทษทางกฎหมาย จะมีผู้บริโภคอีกกี่รายในประเทศที่ถูกหลอกถูกเอาเปรียบและตกเป็นเหยื่อ ต้องสูญเงินและเสียหายอีกกี่ราย รัฐบาลหรือหน่วยงานราชการจึงจะรู้สึกอยากปกป้องผู้บริโภคและเข้ามาดูแลผู้บริโภคอย่างจริงจัง
“ผมต้องฝันสลายกับเรื่องย่างนี้ รู้ถึงความเจ็บปวดดีว่ามันเป็นยังไง ผมจึงไม่ต้องการให้คนอื่นๆที่ยังมีฝันอยากมีบ้านเป็นที่พักพิง อยากมีบ้านไว้ให้ครอบครัว และคนที่เรารักได้อยู่อาศัย ได้มีความสุขในชีวิต มาฝันสลายอย่างผม” นายวินเนอร์กล่าว
"การที่มีกลุ่มคนหนึ่งมาตั้งบริษัทเพื่อหรอกเอาเงินกับคนสร้างบ้าน เปรียบได้กับการตั้งบริษัทเพื่อคอยทำลายความฝันของคน และทำลายความสุข ของครอบครับ ของคนในสังคมก็ว่าได้ และหากจะว่าไปแล้วคดีในรูปแบบนี้ไม่น่าจะเป็นคดีแพ่งและพาณิชย์ เพราะเป็นคดีที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ ถือเป็นอาชญากรทางเศรษฐกิจด้วยซ้ำ แต่ทำไมหน่วยงานราชการยังไม่มีการควบคุมธุรกิจนี้ และยังปล่อยให้มีการหากินบนความเดือดร้อน ของคนกลุ่มนี้อยู่ในวงการบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์”
สำหรับบ้านหลังนี้ หากไม่มีลูกก็ไม่ยังไม่คิดจะสร้าง ..! เพราะเดิมทีก็ซื้อคอนโดมิเนียมอยู่กับภรรยา2คนก็สะดวกสบายดี แต่หลังจากที่มีลูก ก็อยากให้ลูกได้อยู่ในสะภาพแวดล้อมที่ดี ประกอบกับแม่ของภรรยาเองก็อยากให้ย้ายไปอยู่ใกล้ๆกันเพราะอยากอยู่ใกล้ๆ กับหลาน ซึ่งขณะนั้นข้างบ้านของภรรยานั้นประกาศขายที่ดิน จึงตัดสินใจนำเงินสะสมที่มีอยู่กว่า 5ล้านบาท ไปซื้อที่ดินแปลงที่ติดกับบ้านของแม่ภรรยา ซึ่งในการซื้อที่ดินนั้นต้องกู้ธนาคารเพิ่มอีก 1ล้านบาท จึงสามารถซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวได้
หลังจากนั้น ก็เริ่มมองหาบริษัทรับสร้างบ้านเข้ามาช่วยก่อสร้างบ้านให้ ซึ่งก่อนหน้าที่จะมาเจอกับบริษัทภูธนแสงทองนั้น ได้เข้ามาไปสอบถามบริษัทรับสร้างบ้านหลายๆบริษัท แต่ยังไม่ถูกใจแบบบ้าน จึงรอดูในงานนิทัศการ และงานมหกรรมบ้านต่างๆ จนได้พบกับ “นายศิวัช” ซึ่งขณะนั้นเปิดบริการบริษัทรับสร้างบ้านอยู่ 3 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท พีทีเอส โฮม จำกัด บริษัทภูธนแสงทอง จำกัด และบริษัทเพรสซิเด้นท์ โฮม จำกัด ซึ่งแต่ละบริษัทมีการแบ่งกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันออกไป
ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ระบบการให้บริการของบริษัทนี้ค่อนข้างเอาใจใส่ลูกค้าอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยเรื่องแนวคิดการออกแบบบ้าน การต่อรองเรื่องราคาก่อสร้างบ้าน การบริการต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจ สร้างบ้านด้วย ซึ่งเท่าที่สัมผัสกับหลายๆ บริษัทไม่มีบริษัทใดที่เข้ามาบริการดีอย่างนี้ เช่นการส่งสถาปนิกเข้ามารับฟังความเห็นและพูดคุยในการออกแบบบ้านทำให้เกิดความประทับใจและเมื่อแบบบ้านออกมาก็ตรงกับที่เราต้องการทำให้ตัดสินใจสร้างบ้านกับบริษัทดังกล่าว
“คุณจะเอาอะไรเค้าพร้อมหาให้คุณได้หมด อยากได้อะไรเพิ่มเติม ต่อเติมส่วนไหนแก้ไขแบบบ้านส่วนไหน เค้าทำให้ทุกอย่างแม้กระทั่งการต่อรองเรื่องราคา และการให้ส่วนลดที่สูงเกินความน่าจะเป็นก็สามารถพูดคุยได้ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ล่อใจให้ลูกค้าส่วนใหญ่ตัดสินใจสร้างบ้านกับนายศิวัช”
จากการบริการตอบรับการพูดคุย และหารือเรื่องต่างๆ ที่มีระบบการให้บริการแบบถึงบ้านนั้นทำให้ลูกค้าทุกคนมีความเชื่อมั่น และมั่นใจกล้าตัดสินใจสร้างบ้านกับบริษัทในเครือ ภูธนแสงทอง แต่ลูกค้าทุกรายหารู้ไม่ว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของ “นายศิวัช” นั้น เป็นหลุมพลาง เป็นกับดักที่ทำให้ลูกค้าของบริษัทดังกล่าวต้องมาเสียใจ และผิดหวัง และฝันสลายในวันนี้
ปัญหา และภาระที่เกิดจากการหลอกลวงและหากินของนายศิวัช ในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของครอบครัวผมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นภาระด้านการเงิน ที่เกิดจากการกู้สถาบันการเงินมาเพื่อซื้อที่ดินและสร้างบ้านกว่า 5-6ล้านบาท ภาระที่ต้องหาเงินเพิ่มเพื่อส่งลูกเรียนเพราะต้องนำเงินไปผ่อนค่างวดกับสถาบันการเงิน นอกจากนี้ยังมีปัญหาการทะเลอะกับภรรยา ซึ่งมีสาเหตุจากการถูกโกงจากการสร้างบ้าน
“อนาคตของลูก ที่จะเรียนต่อ อนาคตของครอบครัว ที่จะมีบ้านเพื่ออยู่อาศัยในบั้นปลายชีวิตแทบจะหมดลงตรงนี้ ดีที่ผมยังไม่ยอมแพ้ เพราะยังต้องเลี้ยงดูลูกและครอบครัวต่อ ไปแต่ถ้าเป็นคนอื่นที่ตกอยู่ในภาวะเดียวกันกับผมและท้อแท้จนไม่อยากสู้ต่อหนี้ไป ปัญหาที่เกิดขึ้นคงตกอยู่ที่สถาบันการเงิน เพราะเกิดหนี้เสีย ผมเป็นหนึ่งใน38 เคส ที่เกิดขึ้นจากผลงานของบริษัทในเครือภูธนแสงทองเท่านั้น แต่ถ้าในอนาคตมีบริษัท และกลุ่มคนที่หากินแบบนี้มากมาย โดยกฎหมายเอาโทษได้เพียงฟ้องแพ่ง และหน่วยงานราชการทำได้เพียงนั่งดูเฉยๆ รับรู้ข้อมูลแต่ไม่ดำเนินการอะไร (ไม่ใช่เรื่องของ…) ไม่เห็นต้องเดือดร้อน..! แล้วประชาชนผู้เดือดร้อน ครอบครัวผู้เดือดร้อน และธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากตรงนี้จะทำอย่างไร”
2-3ปีที่ผ่านมาหลังบอกเลิกสัญญาเพื่อหาผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหม่เข้ามาก่อสร้างบ้านต่อ เพราะถูกทิ้งงานจากบริษัทดังกล่าว ผมต้องหาเงินเพื่อก่อสร้างบ้านต่อให้แล้วเสร็จอีก1.5ล้านบาท นับรวมแล้วบ้านหลังนี้ผมต้องใช้เงินในการก่อสร้างกว่า 10ล้านบ้านบาท นี้คือความเจ็บช้ำที่สุดในชีวิต
อยากบอกว่าบ้านไม่ใช้สินค้าฟุ่มเฟือย เสียแล้วเสียไปหรือเสียไปก็หาใหม่ได้ง่ายๆ เหมือนรถยนต์ เหมือนแหวนเพชร หายแล้วหายไปเสียแล้วเสียไป ดังนั้นหากไม่มีการเข้ามาดูแลโดยหน่วยงานรัฐ ที่มีอำนาจหน้าที่สามารถลงโทษตัดสินผู้ทำผิดได้ โดยต้องรอให้ลูกค้าไปฟ้องคดีแพ่งต่อศาลเอง แต่ในช่วงที่ศาลยังไม่ตัดสินหรือแม้จะตัดสินแล้วแต่บริษัทที่หลอกผู้บริโภคยังเปิดกิจการ โฆษณาธุรกิจผ่านเว็บไซต์ หากินไปเรื่อย ๆ ไม่มีการยึดใบอนุญาต ไม่มีการลงโทษทางกฎหมาย จะมีผู้บริโภคอีกกี่รายในประเทศที่ถูกหลอกถูกเอาเปรียบและตกเป็นเหยื่อ ต้องสูญเงินและเสียหายอีกกี่ราย รัฐบาลหรือหน่วยงานราชการจึงจะรู้สึกอยากปกป้องผู้บริโภคและเข้ามาดูแลผู้บริโภคอย่างจริงจัง
“ผมต้องฝันสลายกับเรื่องย่างนี้ รู้ถึงความเจ็บปวดดีว่ามันเป็นยังไง ผมจึงไม่ต้องการให้คนอื่นๆที่ยังมีฝันอยากมีบ้านเป็นที่พักพิง อยากมีบ้านไว้ให้ครอบครัว และคนที่เรารักได้อยู่อาศัย ได้มีความสุขในชีวิต มาฝันสลายอย่างผม” นายวินเนอร์กล่าว