xs
xsm
sm
md
lg

ลักไก่ขึ้นน้ำมันเย้ย ”มาร์ค” ตรึง “แอลพีจี-เอ็นจีวี”ยาว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้ค้าน้ำมันแสบ! ลักไก่ขึ้นราคาน้ำมันลิตรละ 80 สตางค์ อ้างค่าการตลาดเหลือต่ำเกินไป โดยไม่รอผลกพช. ที่จะถกมาตรการรับมือวันนี้ ปตท.ส่ออั้นไม่ไหว อาจปรับราคาตามวันนี้เช่นกัน “อภิสิทธิ์” ย้ำรัฐบาลจะตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท เพื่อลดภาระประชาชน ส่วนก๊าซแอลพีจีและเอ็นจีวีรับปากตรึงยาวถึงส.ค.ปีหน้า เล็งรื้อใหญ่ระบบขนส่งทางราง หวังช่วยประหยัดพลังงานอีกทาง พลังงานเตรียมชง 2 ทางเลือก แย้มลดดีเซล2 บ./เบนซิน 1 บ. “ปิยสวัสดิ์” ระบุควรลดเงินกองทุนฯ ทันทีลิตรละ 2 บาท

รายงานข่าวแจ้งว่า วานนี้ (9 ส.ค.) ผู้ค้าน้ำมันหลายรายได้มีการปรับเพิ่มราคาจำหน่ายปลีกน้ำมันขึ้นอีกลิตรละ 80 สตางค์ เช่น เชลล์ เอสโซ่ คาลเท็กซ์ ปิโตรนาส ทำให้ราคาในปั๊มที่ปรับขึ้น เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นดังนี้ เบนซิน 95 ราคา 41.54 บาท/ลิตร เบนซิน 91 ราคา 35.74 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 ราคา 32.14 บาท แก๊สโซฮอล์ 91 ราคา 31.34 บาท อี 20 ราคา 29.84 บาท บี 2 ราคา 29.69 บาท และ บี 5 ราคา 26.86  บาท ขณะที่บางจากอั้นไม่อยู่ประกาศปรับขึ้นราคาตามอีกลิตรละ 80 สตางค์วันนี้(10 ส.ค.) ส่วนปตท.ที่ยังไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมัน คาดว่าจะมีการปรับเพิ่มขึ้นในวันนี้ (10 ส.ค.) ตามผู้ค้าน้ำมันรายอื่น

ทั้งนี้ ผู้ค้าน้ำมันได้ให้เหตุผลในการที่ต้องปรับขึ้นราคาน้ำมัน โดยไม่รอผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในวันนี้ (10 ส.ค.) ว่า เนื่องจากต้นทุนน้ำมันตลาดโลกที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยเหลือเพียง 50 สตางค์/ลิตร จากที่ควรจะได้ไม่ต่ำกว่า 1.50 สตางค์/ลิตร และแม้ว่ารัฐบาลจะลดเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ก็ยังไม่ทราบว่า จะเป็นอัตราเท่าใด และยังไม่ครอบคลุมต้นทุน ที่สำคัญหากไปปรับขึ้นราคาหลังจากที่ลดเงินกองทุนฯ แล้ว ก็จะทำให้เกิดการเข้าใจผิดว่าผู้ค้าน้ำมันหวังกำไรเกินควร ทั้งที่ข้อเท็จจริงค่าการตลาดน้ำมันในเดือนส.ค. นิ้ อยู่ในอัตราเฉลี่ยประมาณ 50-60 สต./ลิตร เท่านั้น 

อย่างไรก็ตาม หากกพช. มีมติออกมาอย่างไรในกรณีการลดเงินกองทุนฯ ทางผู้ค้าน้ำมันก็จะประกาศลดราคาในอัตราเท่ากับที่ลดเงินกองทุนฯ เพราะในส่วนนี้เป็นการลดให้กับประชาชน โดยผู้ค้าไม่ได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้แต่อย่างใด

ตรึงแอลพีจี-เอ็นจีวีถึง ส.ค.หน้า

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ถึงปัญหาราคาน้ำมันที่มีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลผลักภาระให้กับประชาชน ทั้งที่เคยหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2550 จะลดภาระในเรื่องดังกล่าว ว่า ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งช่วงนั้น ราคาน้ำมันตลาดโลกอยู่ในระดับค่อนข้างสูงหรือประมาณ 60-80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งได้เสนอให้ลดภาระการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ แต่เมื่อผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว ปรากฎว่าภาวะราคาน้ำมันเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ช่วงหนึ่งพุ่งสูงขึ้นถึง 140 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในช่วงนั้นโครงสร้างการใช้น้ำมันเปลี่ยนแปลงไปมาก ประชาชนหันมาใช้พลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์-ไบโอดีเซลสูงมาก ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ ก็พร้อมหนุนนโยบายพลังงานทดแทนต่อเนื่อง

“รัฐบาลชุดที่แล้วได้แก้ปัญหาน้ำมันแพงด้วยการลดภาษี เมื่อรัฐบาลชุดนี้เข้ามามาตรการดังกล่าวหมดอายุ ประกอบกับเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันตลาดโลกลดลงเหลือ 30-40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล รัฐบาลจึงได้ตัดสินใจเก็บภาษีในอัตราเดิม และได้มีการขึ้นภาษี 2 บาท/ลิตร (เมื่อวันที่ 14 พ.ค.2552) ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มของโลกที่เก็บภาษีมากขึ้น เพื่อก่อให้เกิดการประหยัดพลังงาน และไม่ส่งเสริมให้เกิดการใช้น้ำมันฟุ่มเฟือย จึงเก็บภาษีเพิ่มขึ้นและบริหารเงินกองทุนฯ จนทำให้สถานะกองทุนฯ และการคลังมีความมั่นคง”นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้พุ่งสูงกลับมาอยู่ที่เกิน 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลอีกครั้ง รัฐบาลก็พร้อมที่จะทบทวนนโยบายต่างๆ ทั้งหมด โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการหารือร่วมกับรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ รมว.คลัง รมว.พลังงาน ซึ่งได้วิเคราะห์กันว่าแนวโน้มราคาน้ำมันมีโอกาสปรับสูงขึ้นอีกจากราคาขณะนี้ที่ประมาณ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และคาดว่าในอีก 2-3 ปี ข้างหน้า ราคาน้ำมันมีโอกาสจะขยับไปถึงระดับ 90-100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จึงได้ตกลงร่วมกันว่า จะเข้าไปดูแลประชาชน โดยไม่ให้ได้รับผลกระทบในด้านทุน

“เฉพาะดีเซล รัฐบาลจะดูแลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร  ส่วนเรื่องเงินภาษีและเงินกองทุนฯ ที่เก็บเพิ่มนั้น ยอมรับว่าที่ผ่านมาถูกวิพากษ์วิจารณ์ เราก็ยอมเจ็บ เพื่อเก็บเงินไว้ต่อสู้กับราคาน้ำมันแพง แต่เมื่อสถานการณ์ในขณะนี้ราคาน้ำมันแพงมาถึงแล้ว จึงพร้อมทบทวนทุกเรื่อง เพื่อลดภาระประชาชน”นายอภิสิทธิ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของก๊าซแอลพีจีและเอ็นจีวีนั้น ได้ตกลงกันแล้วว่าจะตรึงราคาไปจนถึงเดือนส.ค.ปีหน้า เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชน

นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า เพื่อให้เกิดการประหยัดพลังงาน รัฐบาลจะปรับปรุงเกี่ยวกับการขนส่งทางราง เพราะปัจจุบันมีความทรุดโทรมมาก บางแห่งไม่ได้ปรับปรุงมาหลายสิบปี ทำให้รับน้ำหนักได้น้อย ใช้ความเร็วมากไม่ได้ บางเส้นทางจะทำเป็นระบบรางคู่ เช่น ฉะเชิงเทรา-แหลมฉบัง นอกจากนี้ ยังจะปรับปรุงสถานี ตัวรถ เพื่อให้เกิดความสะอาดและความสะดวกสบาย

“รัฐบาลยังคิดจะเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟไปในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ทางเหนือจะเชื่อมเส้นทางถึงอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ต่อขึ้นไปถึงประเทศจีน หรือเพิ่มเส้นทางด้านตะวันออกไปจนถึงกัมพูชา เป็นต้น ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังอยากแยกระบบการบริหารทั้งเรื่องราง การวิ่งรถ และส่วนทรัพย์สิน ออกจากกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการจัดการมากขึ้น ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างหารือกับสหภาพการรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่”นายอภิสิทธิ์กล่าว

พลังงานชงลดดีเซล 2 บ./เบนซิน 1 บ.

รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน แจ้งว่า แนวโน้มการลดเงินกองทุนฯ จะมีการเสนอหลายแนวทางต่อที่ประชุมกพช. วันนี้ แต่คาดว่าแนวทางที่กพช.น่าจะเห็นชอบ ได้แก่ 1.การลดเงินกองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชน 50 สต./ลิตร ในส่วนของ เบนซิน 95 ,91 และไบโอดีเซล บี 2 และ 2. การลดเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในส่วนของ กลุ่มดีเซล 1.50 บาท/ลิตร และในส่วนของกลุ่มเบนซิน 50 สต./ลิตร 

จากกรณีดังกล่าว จะทำให้ราคาน้ำมันลดลงได้ ในส่วนกลุ่มเบนซิน 1 บาท/ลิตร และกลุ่มดีเซล 2 บาท/ลิตร โดยแม้อำนาจของกพช. จะสามารถลดเงินกองทุนได้ทันทีให้มีผลในวันอังคาร แต่ก็คาดว่า นายกรัฐมนตรีคงจะสั่งการให้นำเข้ารายงานต่อ ครม.วันอังคารก่อน หากเป็นเช่นนี้ ก็จะทำให้ราคาน้ำมันลดลง มีผลวันพุธ

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ อดีตรมว.พลังงาน กล่าวว่า กองทุนน้ำมันฯ ควรจะลดลงไปเลยอย่างต่ำ 2 บาท/ลิตร ส่วนเรื่องภาษีน้ำมันที่ขึ้นมาจะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องจำเป็นทางด้านการคลัง จึงยังไม่ควรปรับลด ส่วนกองทุนอนุรักษ์พลังงาน เมื่อรัฐบาลไม่สนใจนำไปใช้สร้างรถไฟฟ้า ก็ควรจะยกเลิกการจัดเก็บโดยเร็ว
กำลังโหลดความคิดเห็น