ASTVผู้จัดการรายวัน- กระเป๋าหิ้วหรือสะพายถือเป็นเครื่องใช้ยอดฮิตของคุณสุภาพสตรีทั้งหลาย ในท้องตลาดจึงมีสินค้าให้เลือกมากมาย ซึ่งมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป อย่างกระเป๋าผลิตจากประเทศจีน ราคาถูก สามารถซื้อเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ตามกระแสแฟชั่น แต่เรื่องคุณภาพยังเป็นปัญหา ขณะที่สินค้าคุณภาพเยี่ยมแบรนด์หรู ข้อเสียราคาแพง
สำหรับกระเป๋าแบรนด์ไทยอย่าง “Boy Bag” มอบเห็นช่องทางดังกล่าว วางตำแหน่งสินค้าเป็นทางเลือกตรงกลาง ผลิตกระเป๋าคุณภาพดีที่มาคู่กับราคาเหมาะสม ขณะเดียวกันดีไซน์เฉียบไม่แพ้ใคร เกาะเทรนด์แฟชั่นแถมยังใช้ประโยชน์ได้ดี นับเป็นการวางตำแหน่งธุรกิจที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
สมเดช บุญชูวงศ์ เจ้าของธุรกิจดังกล่าว เล่าว่า เริ่มต้นอาชีพนี้มาตั้งแต่วัยเพียง 19 ปี เพราะต้องการหารายได้เสริมระหว่างเรียน โดยรับซื้อกระเป๋าจากแหล่งขายส่ง เช่น สำเพ็ง และประตูน้ำ มาขายปลีกตามย่านชอปปิ้งของวัยรุ่น จนมีรายได้ดีสามารถเปิดร้านตัวเองได้ที่ตลาดหลังการบินไทย
อย่างไรก็ตาม หนุ่มรายนี้มองแนวโน้มธุรกิจว่า หากยังเป็นแค่ผู้ค้าปลีกตลอดไป นับวันตลาดจะแคบลง เพราะคู่แข่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ตัดสินใจทิ้งการทำธุรกิจแบบเดิม แล้วเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกระเป๋าภายใต้แบรนด์ “Boy Bag” ของตัวเอง
“ผมใช้ทุนเริ่มแรกประมาณหลักหมื่นบาท ไปตระเวนหาซื้อหนังทำกระเป๋าจากแหล่งขายส่งหลัก เช่น วงเวียนใหญ่ และสนามเสือป่า พร้อมกับหาช่างกระเป๋ามาเป็นทีมงานผลิตกระเป๋าตามแบบที่ต้องการ โดยวางลูกค้าเป้าหมายที่สุภาพสตรีวัยรุ่นถึงวัยทำงาน อายุ 15-40 ปี เพราะจากประสบการณ์ตอนเปิดร้าน ผมเห็นว่า คนกลุ่มนี้มีอัตราการซื้อบ่อยครั้งที่สุด โดยต้องการกระเป๋าที่สวยดูทันสมัย และคุณภาพดี และที่สำคัญราคาเหมาะสม ดังนั้น ผมยึดจุดนี้มาเป็นหลักในการผลิตสินค้า” เจ้าของธุรกิจ เผย
ในความเป็นจริงแล้ว สมเดชร่ำเรียนด้านนิติศาสตร์ ทว่า ความสามารถในเชิงออกแบบกระเป๋านั้น เกิดจากประสบการณ์ที่คลุกคลีอยู่ในวงการกระเป๋ามาหลายปี อีกทั้ง คอยเฝ้าตามติดเทรนด์แฟชั่นจากนิตยสารต่างประเทศ และยังเดินทางไปดูสินค้าในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส อิตาลี ฯลฯ เพื่อจะได้ไอเดีย นำกลับมาใช้ประยุกต์สร้างสรรค์ดีไซน์ของตัวเอง
กระเป๋า “Boy Bag” ใช้วัตถุดิบหลักทำจากหนังพีวีซี ซึ่งลักษณะใกล้เคียงหนังแท้มาก เน้นกระเป๋าใบเล็ก เนื่องจากเป็นขนาดที่ซื้อง่ายขายคล่อง และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายต้องการมากที่สุด สไตล์ออกแบบจะเปลี่ยนไปตามกระแสนิยม แต่จะไม่ให้ดีไซน์ฉูดฉาดหรือหวือหวาจนเกินไป เพื่อให้ผู้ซื้อสามารถใช้งานได้นาน และหลายโอกาส ขณะเดียวกัน ตัดเย็บคุณภาพดี และราคาไม่สูงมาก ขายส่งที่ใบละ 155-350 บาท
สินค้าออกตลาดเมื่อประมาณปี พ.ศ.2544 โดยเช่าพื้นที่เปิดร้านในตลาดนัดสวนจตุจักร ซึ่งได้ผลตอบรับอย่างดี และยิ่งกว่านั้น กระเป๋าแบรนด์ไทยรายนี้ไปเข้าตาผู้ค้าจากประเทศอินโดนีเซีย สั่งออร์เดอร์ใหญ่กว่า 2 แสนใบ ถือเป็นจุดที่ทำให้ธุรกิจแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัว
ปัจจุบัน กระเป๋า “Boy Bag” ส่งออกไปหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นต้น ส่วนตลาดภายในประเทศ จะขายปลีกและส่งผ่านหน้าร้านของตัวเอง ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ประตูน้ำแพทตินัม สยามสแควร์ และสวนลุมไนท์พลาซ่า โดยมียอดขายเฉลี่ยประมาณ 3,000 ใบต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม ในระยะ1-2 ปีที่ผ่านมา จากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว กระทบยอดสั่งออร์เดอร์ต่างประเทศลดต่ำลงจากเดิม ประมาณร้อยละ 20-30 ดังนั้น พยายามปรับแผนธุรกิจ เน้นขยายตลาดในประเทศมากขึ้น โดยจะออกสินค้าใหม่ๆ สม่ำเสมอ เฉลี่ยเดือนละ 2 แบบเพื่อให้มีสินค้าครอบคลุมความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ส่งแบบสินค้าใหม่ทาง e-mail ให้แก่ลูกค้าขาประจำในต่างประเทศ เพื่อกระตุ้นความสนใจอยากสั่งสินค้าใหม่ ถือเป็นกลยุทธ์ทำตลาดเชิงรุก
และสำหรับหน้าใหม่ที่อยากจะทำธุรกิจนี้ สมเดช แนะว่า สิ่งสำคัญต้องศึกษาวัตถุดิบอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็น หนัง หรืออุปกรณ์เสริมต่างๆ เพราะวัตถุดิบเหล่านี้มีผลอย่างยิ่งต่อคุณภาพสินค้า ประกอบกับต้องมีแรงงานฝีมือดี ซึ่งปัจจุบันหายาก และค่าจ้างสูง ส่วนการตลาดต้องมีทำเลขายเหมาะกับลูกค้าเป้าหมาย รวมถึง เช็คสต็อกสินค้าสม่ำเสมอป้องกันเงินรั่วไหล
“แม้ปัจจุบันเศรษฐกิจจะชะลอตัว อีกทั้ง มีคู่แข่งจำนวนมาก โดยเฉพาะสินค้าจากจีน แต่หากสินค้าของเรามีดีไซน์ทันสมัย คุณภาพใช้งานได้ดี และซื่อสัตย์กับลูกค้า สินค้ามันจะขายได้ด้วยตัวมันเอง ไม่ว่าปัจจัยข้างนอกจะแย่แค่ไหน ธุรกิจจะอยู่รอดได้ และผมเชื่อว่า ทุกคนที่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ขอแค่มีเป้าหมายชัดเจน ตั้งใจจะทำอะไร ก็อยากให้ทำเต็มความสามารถ โอกาสประสบความสำเร็จก็จะมีได้เสมอ” สมเดช กล่าวทิ้งท้าย
โทร.08-1423-6686 หรือ www.boybagosk.com
สำหรับกระเป๋าแบรนด์ไทยอย่าง “Boy Bag” มอบเห็นช่องทางดังกล่าว วางตำแหน่งสินค้าเป็นทางเลือกตรงกลาง ผลิตกระเป๋าคุณภาพดีที่มาคู่กับราคาเหมาะสม ขณะเดียวกันดีไซน์เฉียบไม่แพ้ใคร เกาะเทรนด์แฟชั่นแถมยังใช้ประโยชน์ได้ดี นับเป็นการวางตำแหน่งธุรกิจที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
สมเดช บุญชูวงศ์ เจ้าของธุรกิจดังกล่าว เล่าว่า เริ่มต้นอาชีพนี้มาตั้งแต่วัยเพียง 19 ปี เพราะต้องการหารายได้เสริมระหว่างเรียน โดยรับซื้อกระเป๋าจากแหล่งขายส่ง เช่น สำเพ็ง และประตูน้ำ มาขายปลีกตามย่านชอปปิ้งของวัยรุ่น จนมีรายได้ดีสามารถเปิดร้านตัวเองได้ที่ตลาดหลังการบินไทย
อย่างไรก็ตาม หนุ่มรายนี้มองแนวโน้มธุรกิจว่า หากยังเป็นแค่ผู้ค้าปลีกตลอดไป นับวันตลาดจะแคบลง เพราะคู่แข่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ตัดสินใจทิ้งการทำธุรกิจแบบเดิม แล้วเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกระเป๋าภายใต้แบรนด์ “Boy Bag” ของตัวเอง
“ผมใช้ทุนเริ่มแรกประมาณหลักหมื่นบาท ไปตระเวนหาซื้อหนังทำกระเป๋าจากแหล่งขายส่งหลัก เช่น วงเวียนใหญ่ และสนามเสือป่า พร้อมกับหาช่างกระเป๋ามาเป็นทีมงานผลิตกระเป๋าตามแบบที่ต้องการ โดยวางลูกค้าเป้าหมายที่สุภาพสตรีวัยรุ่นถึงวัยทำงาน อายุ 15-40 ปี เพราะจากประสบการณ์ตอนเปิดร้าน ผมเห็นว่า คนกลุ่มนี้มีอัตราการซื้อบ่อยครั้งที่สุด โดยต้องการกระเป๋าที่สวยดูทันสมัย และคุณภาพดี และที่สำคัญราคาเหมาะสม ดังนั้น ผมยึดจุดนี้มาเป็นหลักในการผลิตสินค้า” เจ้าของธุรกิจ เผย
ในความเป็นจริงแล้ว สมเดชร่ำเรียนด้านนิติศาสตร์ ทว่า ความสามารถในเชิงออกแบบกระเป๋านั้น เกิดจากประสบการณ์ที่คลุกคลีอยู่ในวงการกระเป๋ามาหลายปี อีกทั้ง คอยเฝ้าตามติดเทรนด์แฟชั่นจากนิตยสารต่างประเทศ และยังเดินทางไปดูสินค้าในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส อิตาลี ฯลฯ เพื่อจะได้ไอเดีย นำกลับมาใช้ประยุกต์สร้างสรรค์ดีไซน์ของตัวเอง
กระเป๋า “Boy Bag” ใช้วัตถุดิบหลักทำจากหนังพีวีซี ซึ่งลักษณะใกล้เคียงหนังแท้มาก เน้นกระเป๋าใบเล็ก เนื่องจากเป็นขนาดที่ซื้อง่ายขายคล่อง และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายต้องการมากที่สุด สไตล์ออกแบบจะเปลี่ยนไปตามกระแสนิยม แต่จะไม่ให้ดีไซน์ฉูดฉาดหรือหวือหวาจนเกินไป เพื่อให้ผู้ซื้อสามารถใช้งานได้นาน และหลายโอกาส ขณะเดียวกัน ตัดเย็บคุณภาพดี และราคาไม่สูงมาก ขายส่งที่ใบละ 155-350 บาท
สินค้าออกตลาดเมื่อประมาณปี พ.ศ.2544 โดยเช่าพื้นที่เปิดร้านในตลาดนัดสวนจตุจักร ซึ่งได้ผลตอบรับอย่างดี และยิ่งกว่านั้น กระเป๋าแบรนด์ไทยรายนี้ไปเข้าตาผู้ค้าจากประเทศอินโดนีเซีย สั่งออร์เดอร์ใหญ่กว่า 2 แสนใบ ถือเป็นจุดที่ทำให้ธุรกิจแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัว
ปัจจุบัน กระเป๋า “Boy Bag” ส่งออกไปหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นต้น ส่วนตลาดภายในประเทศ จะขายปลีกและส่งผ่านหน้าร้านของตัวเอง ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร ประตูน้ำแพทตินัม สยามสแควร์ และสวนลุมไนท์พลาซ่า โดยมียอดขายเฉลี่ยประมาณ 3,000 ใบต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม ในระยะ1-2 ปีที่ผ่านมา จากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว กระทบยอดสั่งออร์เดอร์ต่างประเทศลดต่ำลงจากเดิม ประมาณร้อยละ 20-30 ดังนั้น พยายามปรับแผนธุรกิจ เน้นขยายตลาดในประเทศมากขึ้น โดยจะออกสินค้าใหม่ๆ สม่ำเสมอ เฉลี่ยเดือนละ 2 แบบเพื่อให้มีสินค้าครอบคลุมความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ส่งแบบสินค้าใหม่ทาง e-mail ให้แก่ลูกค้าขาประจำในต่างประเทศ เพื่อกระตุ้นความสนใจอยากสั่งสินค้าใหม่ ถือเป็นกลยุทธ์ทำตลาดเชิงรุก
และสำหรับหน้าใหม่ที่อยากจะทำธุรกิจนี้ สมเดช แนะว่า สิ่งสำคัญต้องศึกษาวัตถุดิบอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็น หนัง หรืออุปกรณ์เสริมต่างๆ เพราะวัตถุดิบเหล่านี้มีผลอย่างยิ่งต่อคุณภาพสินค้า ประกอบกับต้องมีแรงงานฝีมือดี ซึ่งปัจจุบันหายาก และค่าจ้างสูง ส่วนการตลาดต้องมีทำเลขายเหมาะกับลูกค้าเป้าหมาย รวมถึง เช็คสต็อกสินค้าสม่ำเสมอป้องกันเงินรั่วไหล
“แม้ปัจจุบันเศรษฐกิจจะชะลอตัว อีกทั้ง มีคู่แข่งจำนวนมาก โดยเฉพาะสินค้าจากจีน แต่หากสินค้าของเรามีดีไซน์ทันสมัย คุณภาพใช้งานได้ดี และซื่อสัตย์กับลูกค้า สินค้ามันจะขายได้ด้วยตัวมันเอง ไม่ว่าปัจจัยข้างนอกจะแย่แค่ไหน ธุรกิจจะอยู่รอดได้ และผมเชื่อว่า ทุกคนที่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ขอแค่มีเป้าหมายชัดเจน ตั้งใจจะทำอะไร ก็อยากให้ทำเต็มความสามารถ โอกาสประสบความสำเร็จก็จะมีได้เสมอ” สมเดช กล่าวทิ้งท้าย
โทร.08-1423-6686 หรือ www.boybagosk.com