ASTVผู้จัดการรายวัน – กรมศุลกากรโชว์ยอดจัดเก็บรายได้ก.ค.กว่า 7.4 พันล้านบาท สูงกว่ายอดเฉลี่ย 6 เดือนที่ผ่านมา หลังเศรษฐกิจส่งสัญญาณหดตัวน้อยลง ยอดส่งออกนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น พร้อมพลิกบทบาทกรมทำหน้าที่เพิ่มความสะดวกขั้นตอนการค้าระหว่างประเทศตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ผลการจัดเก็บรายได้ของกรมศุลกากรในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา จัดเก็บได้ 7,463 ล้านบาท เมื่อหักอากรถอนคืนจำนวน 590 ล้านบาท มียอดจัดเก็บได้สุทธิจำนวน 6,873 ล้านบาท สูงกว่าค่าเฉลี่ยรายได้ที่จัดเก็บในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา(ม.ค.-มิ.ย.52) จำนวน 1,057 ล้านบาท นอกจากนี้การจัดเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้นของกรมศุลฯส่งผลทำให้รายได้ที่กรมศุลฯ จัดเก็บให้หน่วยงานอื่น เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้า ภาษีสรรพสามิต เพิ่มขึ้นด้วย โดยจัดเก็บได้ 19,694 ล้านบาท ซึ่งหากเดือนส.ค.-ก.ย.นี้ ที่จะสิ้นปีงบประมาณ 52 ยังคงจัดเก็บเฉลี่ยได้เช่นเดือนก.ค. จะส่งผลให้การจัดเก็บของกรมศุลฯ ทั้งปีพลาดเป้า 2 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 99,600 ล้านบาท
"ที่ผ่านมา 9 เดือนก่อนที่ผมจะเข้ามารับตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร จัดเก็บได้เพียง 59,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยจัดเก็บได้เดือนละ 5,800 ล้านบาท โดยมีเดือนที่ต่ำสุดจัดเก็บได้เพียง 5,112 ล้านบาท และสูงสุดได้ 6,291 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจที่กระทบการส่งออกของไทย และหากเป็นเช่นนั้นจนสิ้นปีงบนี้จะทำให้จัดเก็บพลาดเป้าถึง 2.3 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจึงต้องติดตามการจัดเก็บเป็นรายวัน และเดือนก.ค.ที่เก็บได้เพิ่มก็เพราะเริ่มมีการนำเข้าสินค้าหลายชนิดมากขึ้น เช่น ยานยนต์ เครื่องจักรกลและเครื่องจักรไฟฟ้า ถือเป็นสัญญาณดีแม้จะยังยืนยันไม่ได้ว่าเศรษฐกิจฟื้นแล้วหรือไม่"นายวิสุทธิ์กล่าว
ทั้งนี้ ขณะนี้กรมศุลฯ ได้เปลี่ยนบทบาทจากหน่วยงานจัดเก็บมาเน้นส่งเสริมและอำนวยความสะดวกด้านการค้ามากขึ้น เพื่อลดอุปสรรคแก่ภาคเอกชนรวมถึงปรับบทบาทตามข้อตกลงทางการค้า ที่ในปี 53 ข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน(อาฟต้า) จะส่งผลให้การจัดเก็บภาษีสินค้าในกลุ่มประเทศอาเซียนจะลดลงเป็น 0% เกือบทุกประเภทสินค้า
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ผลการจัดเก็บรายได้ของกรมศุลกากรในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา จัดเก็บได้ 7,463 ล้านบาท เมื่อหักอากรถอนคืนจำนวน 590 ล้านบาท มียอดจัดเก็บได้สุทธิจำนวน 6,873 ล้านบาท สูงกว่าค่าเฉลี่ยรายได้ที่จัดเก็บในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา(ม.ค.-มิ.ย.52) จำนวน 1,057 ล้านบาท นอกจากนี้การจัดเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้นของกรมศุลฯส่งผลทำให้รายได้ที่กรมศุลฯ จัดเก็บให้หน่วยงานอื่น เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้า ภาษีสรรพสามิต เพิ่มขึ้นด้วย โดยจัดเก็บได้ 19,694 ล้านบาท ซึ่งหากเดือนส.ค.-ก.ย.นี้ ที่จะสิ้นปีงบประมาณ 52 ยังคงจัดเก็บเฉลี่ยได้เช่นเดือนก.ค. จะส่งผลให้การจัดเก็บของกรมศุลฯ ทั้งปีพลาดเป้า 2 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 99,600 ล้านบาท
"ที่ผ่านมา 9 เดือนก่อนที่ผมจะเข้ามารับตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร จัดเก็บได้เพียง 59,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยจัดเก็บได้เดือนละ 5,800 ล้านบาท โดยมีเดือนที่ต่ำสุดจัดเก็บได้เพียง 5,112 ล้านบาท และสูงสุดได้ 6,291 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจที่กระทบการส่งออกของไทย และหากเป็นเช่นนั้นจนสิ้นปีงบนี้จะทำให้จัดเก็บพลาดเป้าถึง 2.3 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจึงต้องติดตามการจัดเก็บเป็นรายวัน และเดือนก.ค.ที่เก็บได้เพิ่มก็เพราะเริ่มมีการนำเข้าสินค้าหลายชนิดมากขึ้น เช่น ยานยนต์ เครื่องจักรกลและเครื่องจักรไฟฟ้า ถือเป็นสัญญาณดีแม้จะยังยืนยันไม่ได้ว่าเศรษฐกิจฟื้นแล้วหรือไม่"นายวิสุทธิ์กล่าว
ทั้งนี้ ขณะนี้กรมศุลฯ ได้เปลี่ยนบทบาทจากหน่วยงานจัดเก็บมาเน้นส่งเสริมและอำนวยความสะดวกด้านการค้ามากขึ้น เพื่อลดอุปสรรคแก่ภาคเอกชนรวมถึงปรับบทบาทตามข้อตกลงทางการค้า ที่ในปี 53 ข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน(อาฟต้า) จะส่งผลให้การจัดเก็บภาษีสินค้าในกลุ่มประเทศอาเซียนจะลดลงเป็น 0% เกือบทุกประเภทสินค้า
