ASTVผู้จัดการรายวัน - เนสท์เล่ ลุยปั้นไอศกรีมซูเปอร์พรีเมียม อัดฉีดกว่า 100 ล้านบาท ปรับภาพลักษณ์ “เมอเว่นพิค”ทั่วโลก เดินเกม 1-2 ปี สร้างแบรนด์ทะลวงช่องทางโฮรีก้า 4-5 ดาว ก่อนสยายปีก 3 ปี บุกค้าปลีก ปรับกลยุทธ์อัดโปรโมชัน พัฒนาเมนูไอศกรีม ขยายฐานลูกค้าใหม่ ตั้งเป้า 4-5 ปี โค่นบัลลังก์ฮาเก้นดาส กวาดยอด 200 ล้านบาท โต 30%
นางเยาวภา เมธเมาลี ผู้จัดการประจำประเทศไทย ไอศกรีมเมอเว่นพิค บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้นำเข้าไศกรีมเมอเว่นพิค เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทแม่ เนสท์เล่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขยายตลาดไอศกรีมระดับซูเปอร์พรีเมียมในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย และเปิดตัวในประเทศไทยมากว่า 1 ปี ล่าสุดบริษัทแม่ได้ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ไอศกรีมเมอเว่นพิคใหม่ 40 ประเทศทั่วโลกโดยได้เริ่มจากประเทสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมานี้ ล่าสุดได้ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท แบ่งเป็นงบ 70 ล้านบาท ในการปรับภาพลักษณ์ไอศกรีมในประเทศไทย โดยได้ปรับรูปลักษณ์และสีของโลโก้ เพื่อให้มีความทันสมัยและอ่านง่ายยิ่งขึ้น ส่วนอีกกว่า 30 ล้านบาท ใช้ในการทำตลาด
การทำตลาดช่วง 2 ปีนี้ โฟกัสช่องทางโรงแรมระดับ 4-5 ดาว และร้านอาหารชั้นนำ ซึ่งขณะนี้ครอบคลุม 30-40% ผ่านช่องทางโฮรีก้า หรือราว 70 แห่ง และสิ้นปีนี้ขยายเพิ่มเป็น 100 แห่ง จากปัจจุบันเจาะตลาดที่มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นหลัก อาทิ กรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา และหัวหิน ส่วนปีหน้านี้ขยายไปที่ สมุย และอีก 2 ปี ในจังหวัดเชียงใหม่ หลังจากนั้น 3 ปี บริษัทรุกขยายช่องทางจำหน่ายผ่านทางค้าปลีก
อย่างไรก็ตามผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้ยอดขายได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง โดยเฉพาะในจังหวัดภูเก็ตลดลง 50% หลังจากเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้ ส่วนพัทยาไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากเพิ่งเริ่มทำตลาด
บริษัทจึงต้องปรับกลยุทธ์ โดยเน้นขยายฐานลูกค้าใหม่ จัดทำโปรโมชัน และการสนับสนุนให้ตู้ไอศกรีมราคา 2 แสนบาทต่อตู้กับโรงแรมและร้านอาหาร พร้อมกันนี้บริษัทยังได้พัฒนาเมนูไอศกรีมเพื่อประทานกับขนมขึ้นมา 4-5 รูปแบบ เพื่อนำเสนอให้กับโรงแรมและร้านอาหาร ขณะเดียวกันมุ่งตอกย้ำจุดเด่นของสินค้าด้วยกัน 3ประการ ได้แก่ 1.เน้นพัฒนาไอศกรีมคุณภาพและรสชาติ 2.การคัดเลือกส่วนผสมและวัตถุดิบจากธรรมชาติแท้ 100% และ 3. มาตรฐานทุกขั้นตอนระดับสวิตเซอร์แลนด์
“กลุ่มเป้าหมายช่องทางร้านอาหาร โดยมากจะเป็นคนไทยที่มีกำลังการซื้อสูง เนื่องจากไอศกรีมวางราคาค่อนข้างสูงกว่าคู่แข่ง อาทิ ไอศกรีมเมอเว่นพิค 2 ลูก ราคา 140 บาท ส่วนคู่แข่ง 100 บาท เป็นต้น โดยปัจจุบันสัดส่วนในช่องทางอาหารประมาณ 30% ส่วนอีก 70% เป็นช่องทางโรงแรม ลูกค้าหลักมาจากนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เพราะว่าแบรนด์เมอเว่นพิค เป็นที่รู้จักอย่างดี”
ล่าสุดได้เปิดตัวไอศกรีม 3 รสชาติใหม่ ได้แก่ ไวท์ช็อกโกแลต รสทีรามิสุ และคอนยัค วีเอสโอพี จากปัจจุบันมีทั้งหมด 10 รสชาติ ด้านภาวะตลาดไอศกรีมโดยรวมมูลค่า 1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น เซกเมนต์ไอศกรีมระดับพรีเมียมและซูเปอร์พรีเมียม 15-20% โดยมีเซเว่นเซนส์ และฮาเก้น ดาส เป็นผู้เล่นรายหลักในตลาด
สำหรับคู่แข่งของไอศกรีมในช่องทางโฮรีก้า คือ ฮาเก้น ดาสและไอศกรีมจากนิวซีแลนด์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าภายใน 4-5 ปีข้างนี้ มีรายได้ 200 ล้านบาท หรือเติบโต 30% อย่างต่อเนื่อง และขึ้นเป็นผู้นำตลาดไอศกรีมซูเปอร์พรีเมียม แทนที่ฮาเก้น ดาส จากปัจจุบันเป็นอันดับ 2 ส่วนปีนี้ตั้งเป้าโต 70%
นางเยาวภา เมธเมาลี ผู้จัดการประจำประเทศไทย ไอศกรีมเมอเว่นพิค บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้นำเข้าไศกรีมเมอเว่นพิค เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทแม่ เนสท์เล่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขยายตลาดไอศกรีมระดับซูเปอร์พรีเมียมในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย และเปิดตัวในประเทศไทยมากว่า 1 ปี ล่าสุดบริษัทแม่ได้ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ไอศกรีมเมอเว่นพิคใหม่ 40 ประเทศทั่วโลกโดยได้เริ่มจากประเทสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมานี้ ล่าสุดได้ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท แบ่งเป็นงบ 70 ล้านบาท ในการปรับภาพลักษณ์ไอศกรีมในประเทศไทย โดยได้ปรับรูปลักษณ์และสีของโลโก้ เพื่อให้มีความทันสมัยและอ่านง่ายยิ่งขึ้น ส่วนอีกกว่า 30 ล้านบาท ใช้ในการทำตลาด
การทำตลาดช่วง 2 ปีนี้ โฟกัสช่องทางโรงแรมระดับ 4-5 ดาว และร้านอาหารชั้นนำ ซึ่งขณะนี้ครอบคลุม 30-40% ผ่านช่องทางโฮรีก้า หรือราว 70 แห่ง และสิ้นปีนี้ขยายเพิ่มเป็น 100 แห่ง จากปัจจุบันเจาะตลาดที่มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นหลัก อาทิ กรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา และหัวหิน ส่วนปีหน้านี้ขยายไปที่ สมุย และอีก 2 ปี ในจังหวัดเชียงใหม่ หลังจากนั้น 3 ปี บริษัทรุกขยายช่องทางจำหน่ายผ่านทางค้าปลีก
อย่างไรก็ตามผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่งผลให้ยอดขายได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง โดยเฉพาะในจังหวัดภูเก็ตลดลง 50% หลังจากเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้ ส่วนพัทยาไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากเพิ่งเริ่มทำตลาด
บริษัทจึงต้องปรับกลยุทธ์ โดยเน้นขยายฐานลูกค้าใหม่ จัดทำโปรโมชัน และการสนับสนุนให้ตู้ไอศกรีมราคา 2 แสนบาทต่อตู้กับโรงแรมและร้านอาหาร พร้อมกันนี้บริษัทยังได้พัฒนาเมนูไอศกรีมเพื่อประทานกับขนมขึ้นมา 4-5 รูปแบบ เพื่อนำเสนอให้กับโรงแรมและร้านอาหาร ขณะเดียวกันมุ่งตอกย้ำจุดเด่นของสินค้าด้วยกัน 3ประการ ได้แก่ 1.เน้นพัฒนาไอศกรีมคุณภาพและรสชาติ 2.การคัดเลือกส่วนผสมและวัตถุดิบจากธรรมชาติแท้ 100% และ 3. มาตรฐานทุกขั้นตอนระดับสวิตเซอร์แลนด์
“กลุ่มเป้าหมายช่องทางร้านอาหาร โดยมากจะเป็นคนไทยที่มีกำลังการซื้อสูง เนื่องจากไอศกรีมวางราคาค่อนข้างสูงกว่าคู่แข่ง อาทิ ไอศกรีมเมอเว่นพิค 2 ลูก ราคา 140 บาท ส่วนคู่แข่ง 100 บาท เป็นต้น โดยปัจจุบันสัดส่วนในช่องทางอาหารประมาณ 30% ส่วนอีก 70% เป็นช่องทางโรงแรม ลูกค้าหลักมาจากนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เพราะว่าแบรนด์เมอเว่นพิค เป็นที่รู้จักอย่างดี”
ล่าสุดได้เปิดตัวไอศกรีม 3 รสชาติใหม่ ได้แก่ ไวท์ช็อกโกแลต รสทีรามิสุ และคอนยัค วีเอสโอพี จากปัจจุบันมีทั้งหมด 10 รสชาติ ด้านภาวะตลาดไอศกรีมโดยรวมมูลค่า 1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น เซกเมนต์ไอศกรีมระดับพรีเมียมและซูเปอร์พรีเมียม 15-20% โดยมีเซเว่นเซนส์ และฮาเก้น ดาส เป็นผู้เล่นรายหลักในตลาด
สำหรับคู่แข่งของไอศกรีมในช่องทางโฮรีก้า คือ ฮาเก้น ดาสและไอศกรีมจากนิวซีแลนด์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าภายใน 4-5 ปีข้างนี้ มีรายได้ 200 ล้านบาท หรือเติบโต 30% อย่างต่อเนื่อง และขึ้นเป็นผู้นำตลาดไอศกรีมซูเปอร์พรีเมียม แทนที่ฮาเก้น ดาส จากปัจจุบันเป็นอันดับ 2 ส่วนปีนี้ตั้งเป้าโต 70%