ASTVผู้จัดการรายวัน - “ฮอร์ นำฮง” นำ ครม.เขมร ถก “มาร์ค” ย้ำยึดหลักการสันติวิธีและเจรจากันอย่างมิตรประเทศในการแก้ปัญหาปราสาทพระวิหารและเขตทับซ้อนทางทะเล เตรียมหารือในที่ประชุมเจซีไทย-กัมพูชา วันนี้
วานนี้ (4 ส.ค.) นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ นำนายฮอร์ นำฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และความร่วมมือระหว่างประเทศกัมพูชา เข้าเยี่ยมคารวะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
สำหรับคณะรัฐมนตรีสำคัญของฝ่ายกัมพูชา ที่เข้าพบนายกฯ อาทิ นายวาร์ คิม ฮง รัฐมนตรีอาวุโสรับผิดชอบกิจการพิเศษ นายแซง ลาแพรส รมช.มหาดไทย นาย Aun Porn รมช.เศรษฐกิจและการคลัง นายอึม สิทธี รมช.ศึกษาเยาวชน และกีฬา และ รองเลขาธิการองค์กรปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต้อนรับนายฮอร์ นำฮง และคณะที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Commission -JC) ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 4-5 ส.ค.52 ที่โรงแรมเซนทารา แกรนด์ ซึ่งถือเป็นกลไกลหลักในการดำเนินความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย-กัมพูชา
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ระหว่างการเดินทางเยือนกัมพูชาเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับทราบความประสงค์ในเรื่องจุดผ่านแดนเพิ่ม ที่บริเวณปอยเปต จากนักธุรกิจไทยที่ประกอบธุรกิจที่กัมพูชา อย่างไรก็ดี ทางฝ่ายไทยจะรับไปพิจารณา แต่ในเบื้องต้นเห็นว่า การเปิดจุดผ่านแดนไทยและกัมพูชาในบริเวณที่ไม่มีความขัดแย้งเรื่องหลักเขตแดน น่าจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั้งสองฝ่ายมากกว่า ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่าน่าจะลงมาทางใต้ จากอรัญประเทศเล็กน้อย
ทางด้านนายฮอร์ นำฮง กล่าวว่า กัมพูชายังคงยืนยันความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และยึดมั่นต่อความร่วมมือในด้านต่างๆ ที่มีกับไทย และไม่ประสงค์ให้ความเห็นที่ไม่ตรงกันในบางประเด็นบดบังความร่วมมือที่ดีในด้านอื่นๆ พร้อมกับแสดงความขอบคุณไทยที่ได้ให้ความช่วยเหลือเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนแก่กัมพูชา เพื่อใช้พัฒนาซ่อมแซมถนนหมายเลข 68 (ช่องจอม-โอเสม็ด-สำโรง-กรอลันห์) นอกเหนือจากโครงการพัฒนาถนน 2 สาย ที่ไทยได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้วก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ถนนหมายเลข 68 ครม.ไทยอนุมัติ งบประมาณ 1,400 ล้านบาท ระยะทาง 116 กิโลเมตร (กลอรันห์ – สำโรง–โอเสม็ด) เป็นเงินกู้สัญญา 30 ปี ปลอดดอกเบี้ยระยะเวลา 10 ปีแรก โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 1.5% ต่อปี โดยในปี 2553 เงินกู้ 280 ล้านบาท ปี 2554 เงินกู้ 490 ล้านบาท ในปี 2555 เงินกู้ 520 ล้านบาท และปี 2556 เงินกู้ 210 ล้านบาท
นายฮอร์ นำฮง ยังได้หยิบยกประเด็นที่ทางกัมพูชาประสงค์ให้ไทยเปิดจุดผ่านแดนเพิ่มที่บริเวณปอยเปต
รองนายกฯ กัมพูชา กล่าวต่อว่า กรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่ไทย-กัมพูชา อ้างสิทธิทับซ้อนและอยู่ในความสนใจของสื่อมวลชนไทย และจะมีการหารือระหว่างการประชุมเจซี ในวันนี้ (5 ส.ค.) นั้น ทางการกัมพูชาประสงค์ให้ไทยและกัมพูชามีการเจรจาที่มาจากความเข้าใจอันดีต่อกัน และในฐานะมิตรประเทศ
เช่นเดียวกันกับกรณีเขาพระวิหาร ที่ทั้งสองประเทศ ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า ไทยและกัมพูชาจะใช้หลักสันติวิธีในการแก้ไขปัญหาและจะไม่ให้ปัญหาความขัดแย้งนี้เป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุนหรือขัดขวางความร่วมมือไทย-กัมพูชาในสาขาอื่นๆ
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ฝ่ายไทยจะดำเนินการตามความถูกต้องว่ากันตามกฎหมาย และในเรื่องนี้รัฐบาลไทยจะนำกรอบการเจรจาเขตทับซ้อนฯ ผ่านกระบวนการรัฐสภา
***ป.ป.ช.สอบพยานคดีพระวิหารอีก 1 ปากก่อนชี้มูล
ในวันเดียวกันนี้ น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะผู้รับผิดชอบสำนวนการไต่สวนครม.สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช กรณีออกมติครม.สนับสนุนการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ วานนี้ (4 ส.ค.) ที่ประชุมได้รับทราบผลการไต่สวนพยานหลักฐานทั้งหมดแล้ว เห็นว่าสมควรสอบพยานเพิ่มเติมอีก 1 ปาก คือคุณพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยจะนัดมาภายในเดือนส.ค.นี้
น.ส.สมลักษณ์ ให้เหตุผลว่าเนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาหลายคนอ้างถึงคุณพรทิพย์ว่าอยู่ในที่ประชุมครม.วันนั้น เพื่อจะสอบถามว่า ก่อนที่ครม.จะออกแถลงการณ์ร่วมได้ส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่าต้องนำไปขอความเห็นจากรัฐสภาก่อนหรือไม่ และระหว่างการพิจารณาเรื่องดังกล่าว มีรัฐมนตรีคนใดสอบถามตัวเลขาฯกฤษฎีกาเรื่องข้อกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้เมื่อสอบคุณหญิงพรทิพย์ เสร็จแล้ว คณะทำงานของป.ป.ช.ก็จะประชุมเพื่อสรุปสำนวนอีกครั้ง ก่อนส่งให้ป.ป.ช.ชุดใหญ่ชี้มูลทันที โดยไม่จำเป็นต้องสอบพยานปากใดเพิ่มเติมแล้ว
วานนี้ (4 ส.ค.) นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ นำนายฮอร์ นำฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และความร่วมมือระหว่างประเทศกัมพูชา เข้าเยี่ยมคารวะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
สำหรับคณะรัฐมนตรีสำคัญของฝ่ายกัมพูชา ที่เข้าพบนายกฯ อาทิ นายวาร์ คิม ฮง รัฐมนตรีอาวุโสรับผิดชอบกิจการพิเศษ นายแซง ลาแพรส รมช.มหาดไทย นาย Aun Porn รมช.เศรษฐกิจและการคลัง นายอึม สิทธี รมช.ศึกษาเยาวชน และกีฬา และ รองเลขาธิการองค์กรปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต้อนรับนายฮอร์ นำฮง และคณะที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Commission -JC) ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 4-5 ส.ค.52 ที่โรงแรมเซนทารา แกรนด์ ซึ่งถือเป็นกลไกลหลักในการดำเนินความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย-กัมพูชา
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ระหว่างการเดินทางเยือนกัมพูชาเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับทราบความประสงค์ในเรื่องจุดผ่านแดนเพิ่ม ที่บริเวณปอยเปต จากนักธุรกิจไทยที่ประกอบธุรกิจที่กัมพูชา อย่างไรก็ดี ทางฝ่ายไทยจะรับไปพิจารณา แต่ในเบื้องต้นเห็นว่า การเปิดจุดผ่านแดนไทยและกัมพูชาในบริเวณที่ไม่มีความขัดแย้งเรื่องหลักเขตแดน น่าจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั้งสองฝ่ายมากกว่า ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่าน่าจะลงมาทางใต้ จากอรัญประเทศเล็กน้อย
ทางด้านนายฮอร์ นำฮง กล่าวว่า กัมพูชายังคงยืนยันความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และยึดมั่นต่อความร่วมมือในด้านต่างๆ ที่มีกับไทย และไม่ประสงค์ให้ความเห็นที่ไม่ตรงกันในบางประเด็นบดบังความร่วมมือที่ดีในด้านอื่นๆ พร้อมกับแสดงความขอบคุณไทยที่ได้ให้ความช่วยเหลือเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนแก่กัมพูชา เพื่อใช้พัฒนาซ่อมแซมถนนหมายเลข 68 (ช่องจอม-โอเสม็ด-สำโรง-กรอลันห์) นอกเหนือจากโครงการพัฒนาถนน 2 สาย ที่ไทยได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้วก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ถนนหมายเลข 68 ครม.ไทยอนุมัติ งบประมาณ 1,400 ล้านบาท ระยะทาง 116 กิโลเมตร (กลอรันห์ – สำโรง–โอเสม็ด) เป็นเงินกู้สัญญา 30 ปี ปลอดดอกเบี้ยระยะเวลา 10 ปีแรก โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 1.5% ต่อปี โดยในปี 2553 เงินกู้ 280 ล้านบาท ปี 2554 เงินกู้ 490 ล้านบาท ในปี 2555 เงินกู้ 520 ล้านบาท และปี 2556 เงินกู้ 210 ล้านบาท
นายฮอร์ นำฮง ยังได้หยิบยกประเด็นที่ทางกัมพูชาประสงค์ให้ไทยเปิดจุดผ่านแดนเพิ่มที่บริเวณปอยเปต
รองนายกฯ กัมพูชา กล่าวต่อว่า กรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่ไทย-กัมพูชา อ้างสิทธิทับซ้อนและอยู่ในความสนใจของสื่อมวลชนไทย และจะมีการหารือระหว่างการประชุมเจซี ในวันนี้ (5 ส.ค.) นั้น ทางการกัมพูชาประสงค์ให้ไทยและกัมพูชามีการเจรจาที่มาจากความเข้าใจอันดีต่อกัน และในฐานะมิตรประเทศ
เช่นเดียวกันกับกรณีเขาพระวิหาร ที่ทั้งสองประเทศ ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า ไทยและกัมพูชาจะใช้หลักสันติวิธีในการแก้ไขปัญหาและจะไม่ให้ปัญหาความขัดแย้งนี้เป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุนหรือขัดขวางความร่วมมือไทย-กัมพูชาในสาขาอื่นๆ
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ฝ่ายไทยจะดำเนินการตามความถูกต้องว่ากันตามกฎหมาย และในเรื่องนี้รัฐบาลไทยจะนำกรอบการเจรจาเขตทับซ้อนฯ ผ่านกระบวนการรัฐสภา
***ป.ป.ช.สอบพยานคดีพระวิหารอีก 1 ปากก่อนชี้มูล
ในวันเดียวกันนี้ น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะผู้รับผิดชอบสำนวนการไต่สวนครม.สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช กรณีออกมติครม.สนับสนุนการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ วานนี้ (4 ส.ค.) ที่ประชุมได้รับทราบผลการไต่สวนพยานหลักฐานทั้งหมดแล้ว เห็นว่าสมควรสอบพยานเพิ่มเติมอีก 1 ปาก คือคุณพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยจะนัดมาภายในเดือนส.ค.นี้
น.ส.สมลักษณ์ ให้เหตุผลว่าเนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาหลายคนอ้างถึงคุณพรทิพย์ว่าอยู่ในที่ประชุมครม.วันนั้น เพื่อจะสอบถามว่า ก่อนที่ครม.จะออกแถลงการณ์ร่วมได้ส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่าต้องนำไปขอความเห็นจากรัฐสภาก่อนหรือไม่ และระหว่างการพิจารณาเรื่องดังกล่าว มีรัฐมนตรีคนใดสอบถามตัวเลขาฯกฤษฎีกาเรื่องข้อกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้เมื่อสอบคุณหญิงพรทิพย์ เสร็จแล้ว คณะทำงานของป.ป.ช.ก็จะประชุมเพื่อสรุปสำนวนอีกครั้ง ก่อนส่งให้ป.ป.ช.ชุดใหญ่ชี้มูลทันที โดยไม่จำเป็นต้องสอบพยานปากใดเพิ่มเติมแล้ว