xs
xsm
sm
md
lg

“รัฐบาล 2 เนรคุณ”

เผยแพร่:   โดย: อุษณีย์ เอกอุษณีษ์

“รัฐบุรุษมองเรื่องชาติบ้านเมืองเป็นหลัก แต่นักเลือกตั้งมองเพียงการเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นหลัก อยู่แค่เพียงว่าจะเลือกเป็นรัฐบุรุษ หรือเป็นแค่นักเลือกตั้ง”

ไม่รู้ว่าคำพูดประโยคนี้ ท่านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะยังจำได้หรือไม่ว่าเคยพูดไว้เมื่อไหร่ ในสถานการณ์ไหน

หากท่านจำไม่ได้ หรือจำได้เพียงคับคล้ายคับคลา ผู้เขียนก็จะขอทวนความจำให้ว่า เป็นประโยคที่ คุณอภิสิทธิ์ เมื่อครั้งก้าวเข้าสู่สนามการเมืองใหม่ๆ เป็นศิษย์ร้อนวิชาแห่งรั้วมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ใช้ทวงถามถึงจุดยืนการตัดสินใจของ ฯพณฯ ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สมัย พ.ศ. 2535 ตัดสินใจกระทำการบางสิ่งที่สวนกระแสของประชาชนในสังคม โดยเป็นกรณีการแสดงแต่งตั้งจอมพลถนอม กิตติขจรเป็นนายทหารราชองครักษ์พิเศษท่ามกลางความไม่พอใจจาก “องค์กรประชาชน” ที่เห็นว่าเป็นการทำร้ายความรู้สึกของประชาชน เพราะจอมพลถนอมคือชนวนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 วันนั้นมีเสียงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบด้วยการออกมาขอโทษต่อประชาชน แต่ท่านชวนก็ตัดสินใจ ใช้วรรคทองตอบคำถามสังคมด้วยคำพูดว่า

“ผมไม่ขอโทษ แต่ถ้าหากทำให้เสียความรู้สึก ผมก็เสียใจ”

มาถึงวันนี้ เหมือนนาฬิกาทวนเข็มกลับไปสถานการณ์เดิมๆ เป็นสถานการณ์ที่ผู้นำทุกคนคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ สถานการณ์ที่ทวงถามถึงภาวะความเป็นผู้นำ

การปลดไม่ปลด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ การเลือกที่คลี่คลาย หรือทิ้งค้างคดีลอบสังหาร คุณสนธิ ลิ้มทองกุล การที่จะเลือกที่จะเป็นเพียงนักเลือกตั้ง หรือเป็นรัฐบุรุษ ผู้ที่สังคมชื่นชมแม้เมื่อวายชนม์ ไม่มีใครจะหยิบยื่นให้ท่านได้ดอก นอกเสียจาก ท่านจะเลือกของท่านเอง

คดีลอบสังหาร นายสนธิ ลิ้มทองกุล นั่น เป็นมากกว่าคดีลอบสังหารบุคคลทั่วไป เพราะเป็นการกระทำกับสื่อมวลชนระดับแนวหน้าอย่างอุกอาจ ในช่วงที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีคนเอากรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ไปเปรียบเทียบกับคดีลอบสังหารนายแคล้ว ธนิกุล ที่ไม่ใช่แค่ถูกเก็บจากผู้เสียผลประโยชน์ แต่เพราะถูกเก็บในช่วงที่ทหารมีอำนาจ ช่วงที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน และคณะ รสช. ตั้งเป้าจะปัดกวาดผู้มีอิทธิพลที่มีอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง ก่อนที่สุดท้ายจะมีการสั่งเก็บมือปืนนายนั้นอีกครั้ง ด้วยรูปแบบของ “ปืนลั่น” ในห้องน้ำห้องอาหารโคคาสุกี้

ท่าทีของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ไล่ตั้งแต่ตัวนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ ความมั่นคง รัฐมนตรีสำนักนายกฯ รัฐมนตรีกลาโหม ที่ออกมากระสับกระส่ายใช้วาทกรรมเลียนแบบนายทักษิณว่า ถูกรุกไล่จากคนเสื้อเหลืองบ้างว่า คนเสื้อเหลืองผูกขาดความรักไว้ที่ตนเองบ้าง เป็นพวกคนแก่ขี้น้อยใจบ้าง โดยพวกท่านทั้งหลายไม่ทันได้เบิกตาดูว่า คนเหล่านี้ ก็พ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายาย พี่ป้าน้าอาที่โอบอุ้มพวกคุณขึ้นไปนั่งเสวยสุขบนเก้าอี้เสนาบดีทั้งนั้น ..

ข้อกล่าวหาว่า เป็น “รัฐบาล 2 เนรคุณ” ไม่ได้ถือว่า เป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงเกินไปเลย และน่าจะเป็นอีกครั้งที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และเอเอสทีวี ต้องออกมากระทุ้งแรงๆ ให้คนในรัฐบาลที่นำโดยนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ฉุกคิดก่อนที่จะถลำลึกไปไกลเกินกว่าจะถอนตัว

“ถ้าพวกเราไม่ออกมา ถ้าพวกเราไม่ตายกัน ไม่บาดเจ็บกัน คนอย่างคุณ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะมีโอกาสได้ขึ้นวอเป็นรองนายกรัฐมนตรีหรือ คนอย่างคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะได้ของเล่นชิ้นใหม่เป็นนายกรัฐมนตรีหรือคำพูดที่คุณพูดในพรรคประชาธิปัตย์ ที่คุณบอกว่า ไม่มีเขาเราเกิดไม่ได้ คุณหมายถึง ไม่มีเนวิน พรรคประชาธิปัตย์เกิดไม่ได้ นี่คือคำพูดของคนเนรคุณ 2 เนรคุณ นายเนวิน ชิดชอบ เนรคุณพรรคเพื่อไทย คุณเนรคุณพันธมิตรฯ นี่คือรัฐบาล 2 เนรคุณ” (สนธิ ลิ้มทองกุล ในรายการพิเศษ ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีเมื่อเวลา 20.30 น. ของคืนวันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2552 )

คนทั้งสองที่ถูกคุณสนธิชี้ว่าเป็นเนรคุณสองตัวฉกาจ ที่กำลังจะนำพารัฐนาวาลำนี้ล่มจมทะเลแบบไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากได้อีกนานแสนนาน สำหรับคนแรก ก่อคดีเนรคุณต่อประชาชนที่ร่วมสู้รบในสนามการเมือง อันเป็นมูลเหตุที่นำไปสู่การสร้างทาง สร้างโอกาสให้กับพรรคการเมือง ที่จองเก้าอี้ฝ่ายค้านมาเกือบทศวรรษอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ยุคที่มีสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นเลขาธิการพรรค ได้กลับมาลืมตาอ้าปาก ก้าวขึ้นไปเป็นรัฐบาลกับเขาได้บ้าง

แต่หลังจากมีโอกาสขึ้นไปนั่งเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีแล้ว ใครจะเชื่อว่า คุณสุเทพจะคอยแต่สร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้เกิดขึ้นกับประชาชนที่เคยรักชอบพรรคเก่าแก่พรรคนี้อยู่ร่ำไป ไหนจะประกาศว่ารัฐบาลเกิดได้เพราะเนวินกับทหารบ้างล่ะ ไหนจะพูดว่า ไม่ค่อยคบหาสมาคมกับประชาชนที่เคลื่อนไหวในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบ้างละ ผลก็คือ ในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดที่ตระกูลใหญ่บางตระกูลเคยครองฐานเสียงมานาน ก็ถูก “ล้มช้าง” อย่างไม่น่าเชื่อ

ข้อเท็จจริงประการหนึ่ง ที่คนสุราษฎร์ธานีประกาศอิสรภาพจากตระกูลเทือกสุบรรณ ด้วยการไม่เลือกคนนามสกุลนี้ให้ชนะการเลือกตั้ง บ้างก็ว่าเป็นเพราะคนในพื้นที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง แต่บางกระแสก็บอกว่า “ขอให้จับตา ‘สงครามสั่งสอน’ ครั้งนี้ให้ดี” เพราะอาจจะไม่ได้จบลงแค่นี้ และขอให้เชื่อเถอะว่า คุณสุเทพเองเวลานี้ก็อาจจะไม่สบายใจนักกรณีส่งน้องชาย นายธานี เทือกสุบรรณ ลงแข่งสนามเลือกตั้งซ่อม ส.ส. สุราษฎร์ธานี เพราะที่ว่าหมูๆ อาจจะเป็นไม่หมูอย่างที่คิด

ขณะที่คนหลังเดินไปไหนมาไหน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานก็เหมือนมีตราประทับที่หน้าผากอยู่แล้วว่า เป็นพลพรรค ‘เนรคุณนายใหญ่’ และก็ถูกสั่งสอนเข้าให้ จากสนามเลือกตั้งซ่อมสองจังหวัดซ้อน ทั้งที่สกลนคร และศรีสะเกษ ถึงขั้นทำให้พรรคใหม่ที่เพิ่งสยายปีกสีน้ำเงินต้องรีบหุบปีกลงแทบไม่ทัน ระงับโครงการพัน-หมื่นล้านไว้ชั่วคราว เพราะไม่ว่าจะอ้าปากอ้างเหตุผลสวยหรูว่า ต้องเนรคุณนาย เพราะไม่อยากขายชาติ แต่มันก็ฟังไม่ขึ้น เพราะพฤติกรรมกับคำพูดของนายหน้าเขมรนั้น สวนทางกันอย่างเห็นได้ชัด

มาถึงตอนนี้ รัฐบาลก็ทำยอดสะสม “เนรคุณ” ไว้ 2 ตัวแล้ว ระวังอย่าสะสมเพิ่มไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น