เมื่อสองวันก่อนมีข่าวประหลาดเกิดขึ้น 2 ข่าว ข่าวแรกเป็นข่าวเหี้ยขนาดใหญ่คลานขึ้นไปและดิ้นตายที่หน่วยงานหนึ่งของกองทัพบก ข่าวที่สองเป็นข่าวเพลิงไหม้โต๊ะทำงานของผู้บริหารคนสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นข่าวประหลาดที่สร้างความฮือฮาและทำให้เกิดการกล่าวขวัญกันโดยทั่วไปว่า เป็นลางอุบาทว์เกิดขึ้นหรืออย่างไร?
เมื่อกล่าวขวัญกันเช่นนั้นแล้วก็ต้องด้วยอัธยาศัยของคนไทย ดังคำพังเพยไทยเกี่ยวกับอุปนิสัยของผู้คนในภูมิภาคนี้ที่ว่า “เจ๊กตื่นไฟ ไทยตื่นข่าว ลาวตื่นยศ”
ครั้นต้องด้วยอัธยาศัยอย่างนี้จึงเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาและเป็นทางให้พวกหมอดูทั้งหลายและพวกฉวยโอกาสตั้งแต่การพิธีสะเดาะเคราะห์ล้างอุบาทว์ได้ทำมาหากินกันต่อไป
เพราะเป็นวิสัยคนที่ไม่ยึดมั่นในพระรัตนตรัย เมื่อเห็นเป็นข่าวประหลาดอย่างนั้นแล้วก็หวั่นไหวเกิดความกลัวภัย พากันไปวิ่งหาพวกอาจารย์ทั้งหลายที่ตั้งตนเป็นอาจารย์ผู้วิเศษ ให้ช่วยทำพิธีสะเดาะเคราะห์ตัดกรรม เสริมมงคล และอะไรต่อมิอะไรจนเปรอะไปทั้งบ้านทั้งเมือง
ส่วนชาวพุทธแท้นั้นย่อมไม่หวั่นไหวในมงคลตื่นข่าวแบบนี้ เพราะชาวพุทธแท้นั้น ถูกอบรมสั่งสอนให้ยึดมั่นในพระรัตนตรัย จนเกิดเป็นปัญญาเห็นความจริงและเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม กลัวบาปกรรมยิ่งกว่ากลัวมงคลตื่นข่าวแบบนั้น
เพราะเพียงแค่รำลึกหรือประกาศในใจหรือประกาศดังๆ ตามที่ถูกสั่งสอนมาเมื่อเวลาเผชิญเหตุใดๆ อันทำให้จิตใจตั้งมั่นว่า
“นัตถิเม สะระนัง อัญญัง พุทโธ เม สะระนัง วะรัง นัตถิเม สะระนัง อัญญัง ธัมโม เม สะระนัง วะรัง นัตถิเม สะระนัง อัญญัง สังโฆ เม สะระนัง วะรัง”
ซึ่งแปลโดยความหมายว่า ข้าพเจ้าไม่ยึดถือสิ่งใดเป็นสรณะ นอกจากพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ คือสรณะอันเกษมของข้าพเจ้า
รำลึกหรือประกาศอย่างนี้แล้ว สติก็จะรวมตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่หวาดกลัว แม้ว่าโลกธาตุจะสั่นไหวก็ตาม ทั้งยังอาจเป็นส่วนแห่งการกระทำฤทธิ์ที่เรียกว่าอธิษฐานฤทธิ์ได้อีกด้วย
แต่อย่างว่านั่นแหละ บ้านเมืองของเราในวันนี้มีพวกเดียรถีย์และอลัชชีและผู้ประกอบเดรัจฉานวิชามากหลายเกิดขึ้น โดยรัฐไม่ได้แก้ไขป้องกัน จึงทำให้ความหลงผิดและความลุ่มหลงงมงายแพร่หลายไปในบ้านเมือง จนเป็นคำเล่าข่าวลือประหลาดๆ เกิดขึ้น
เอาล่ะ เมื่อจะว่ากันถึงเรื่องที่เขากล่าวขวัญกันก็พึงพิจารณาว่ากล่าวให้ถูกต้องตามหลักวิชา ตามคัมภีร์อันมีมาแต่โบราณ ไม่ใช่ใครจะนึกว่าอะไรเอาได้ตามใจ เรามาดูกันว่าวิชาตามคัมภีร์ที่มีมาแต่โบราณนั้นได้แสดงความหมายของข่าวประหลาดว่าอย่างไร
ข่าวแรก คือข่าวเหี้ยตัวใหญ่ขนาดยาวร่วม 1 เมตร คลานขึ้นไปดิ้นตาย และปรากฏว่ากินมากจนท้องแตกตาย แม้ประหนึ่งเป็นการส่งสัญญาณหรือความหมายที่อาจคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ในบ้านเมืองก็ตาม แต่ก็ต้องมองให้เห็นความจริงว่าอาจเกิดขึ้นได้หลายอย่าง คือมีคนเกลียดชังไม่พอใจกัน แกล้งเอาเหี้ยไปปล่อย เพื่อให้บ่งบอกความหมายว่าร้ายผู้บังคับบัญชาก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบว่ากล่าวกันเอาเอง
เพราะการที่ถ้าหากจะมีใครเอาเหี้ยตัวใหญ่ขนาดนี้ขึ้นไปในสถานที่ที่มีการเฝ้าเวรยามทุกค่ำเช้าแล้ว ก็ย่อมไม่ใช่คนตัวเล็กๆ หรือชาวบ้านอย่างเราท่านดอก และถ้าเป็นอย่างนั้นก็เป็นเรื่องของคนทำให้เป็นข่าว ไม่มีความหมายอะไร นอกจากสะท้อนให้เห็นถึงความเกลียดชังไม่พอใจกันในหน่วยงานเท่านั้น
แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องคนทำ และเป็นเรื่องเหี้ยตัวใหญ่คลานขึ้นไปในสถานที่อันไม่ใช่ถิ่นที่อยู่ของตนและเป็นที่ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ โดยไม่มีใครมองเห็น แล้วพบว่าท้องแตกตายเพราะกินมากก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
นั่นคือต้องด้วยบทคัมภีร์ที่มาแต่โบราณว่าเป็นอุบาทว์พระแม่โพสพ ซึ่งได้ระบุถึงกรณีที่สัตว์บางจำพวกไม่ว่าจระเข้ ตะกวด แลน เหี้ย เต่า หรืออะไรทำนองนี้ขึ้นไปปรากฏขึ้นในที่อันไม่ควรอยู่ เช่นในโอ่งน้ำ ในอ่างน้ำ ในที่นอน ในที่ทำงาน ท่านถือว่าเป็นอุบาทว์พระแม่โพสพ
อุบาทว์พระแม่โพสพนั้นเป็นการแสดงนิมิตเตือนภัยของพระแม่โพสพ หรือเป็นการทวงบุญคุณของพระแม่โพสพต่อคนที่กินข้าวและที่เกี่ยวข้อง อันเป็นใหญ่อยู่ในที่นั้นๆ ให้รู้สำนึกกตัญญูต่อข้าวแดงแกงร้อนต่อแผ่นดิน ให้หยุดยั้งการกระทำกรรมชั่วเสียโดยพลัน จะเรียกว่าเป็นการเตือนที่เข้มข้นหนักหน่วงก็ได้
เพราะการเตือนแบบนี้ถ้าเป็นคนเตือนกันเองก็นับว่าหนักหนาเอาการอยู่แล้ว ยิ่งเป็นการเตือนในลักษณะเทพยดาสังหรณ์ของพระแม่โพสพก็ยิ่งเป็นเรื่องหนักหน่วงรุนแรงและคอขาดบาดตาย ที่หากไม่หยุดยั้งหรือแก้ไขเสียให้ทันท่วงทีก็ย่อมมีอันเป็นไปถึงคอขาดบาดตาย พลัดที่นาคาที่อยู่ หมดสิ้นวาสนาอาชีพกันไปเลย
ดังนั้นการแก้อุบาทว์พระแม่โพสพ จุดหลักจึงต้องกลับเนื้อกลับตัว หันมากระทำความดี กระทำกตเวทีด้วยความกตัญญูรู้คุณแผ่นดินและข้าวแดงแกงร้อน ก็จะพ้นภัย จากนิมิตลางอันเทพยดาสังหรณ์ให้ปรากฏขึ้น นอกจากนั้นยังต้องกระทำพิธีกรรมบางอย่างซึ่งไม่อยากจะพูดในที่นี้
ก็ไม่รู้ว่าเรื่องข่าวประหลาดดังกล่าวนี้จะเป็นเรื่องกรณีไหน เพราะไม่อาจจะบ่งชี้ได้ด้วยตนเองว่าเป็นเรื่องคนทำขึ้น หรือเป็นเรื่องเทพยดาสังหรณ์ให้ปรากฏลางอุบาทว์ขึ้นในหน่วยงานแห่งนั้น ผู้เกี่ยวข้องต้องไปพิจารณาสืบหาความจริงกันเอาเอง
ข่าวที่สอง เรื่องเหตุเพลิงไหม้โต๊ะทำงานของผู้บริหารคนสำคัญในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นเรื่องประหลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย เพราะโต๊ะทำงานของผู้บริหารระดับสูงอย่างนั้นมีความปลอดภัยระดับนั้นและมีเวรยามเข้มงวดกวดขันแน่นหนาหลายชั้น ไม่เป็นวิสัยที่เพลิงจะลุกไหม้ขึ้นมาเองโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ยังมีทางเป็นไปได้ถึง 2 ทาง คือคนทำให้เกิดขึ้นเพื่อกลั่นแกล้งหรือแสดงความเกลียดชังหรือว่าเพื่อทำลายหลักฐานบางอย่างที่อาจเป็นอันตรายแก่ตน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ขึ้นอยู่กับกรณีของปัญหาว่าเป็นปัญหาอะไร ซึ่งจะต้องแก้ไขให้ตรงกับต้นเหตุของปัญหานั้น
ถึงวันนี้แล้วก็ดูเหมือนว่าทุกคนจะทำเป็นลืมไม่สนใสไยดีประหนึ่งว่าไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ซึ่งยิ่งทำให้ผู้คนกังขาสงสัยเพราะเริ่มมีข่าวเล่าลือให้ปรากฏว่ากรณีเป็นการเผาทำลายหลักฐานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้าย ซึ่งอาจพัวพันไปถึงผลประโยชน์จากการแต่งตั้งโยกย้ายนั้น
บ้างก็ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง เพราะหลักฐานสำคัญที่ถูกทำลายนั้นอาจเป็นเอกสารเกี่ยวข้องกับการกราบบังคมทูลเท็จ เพราะเรื่องราวการแต่งตั้งนายตำรวจหลายร้อยตำแหน่งที่เสนอผ่านรัฐบาลขึ้นไปทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนั้นถูกตีกลับมาทั้งกระบิ
ถูกตีกลับมาเพราะผิดกฎหมาย เนื่องจากกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นจะแต่งตั้งโยกย้ายกันแบบนั้นไม่ได้ และจะอ้างเอากฎหมายปรับโครงสร้างตำรวจมาเป็นสรณะก็ไม่ได้ เพราะกฎหมายปรับโครงสร้างยังไม่มีผลบังคับใช้ และจะมีผลต่อเมื่อล่วงพ้นวันที่ 16 สิงหาคม 2552 ไปแล้ว
ดังนั้นการทำเรื่องกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาแต่งตั้งโดยอ้างอาศัยอำนาจตามกฎหมายใหม่ที่ยังไม่มีผลบังคับ จึงอาจเป็นการกราบบังคมทูลเท็จ และผิดกฎหมาย แต่ใครจะเป็นผู้ทำ ใครจะเป็นผู้ลงนามและเกี่ยวข้องก็เป็นเรื่องที่จะต้องสืบสาวราวเรื่องกันเอาเอง ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบหน่วยงานนี้ต้องสืบสาวราวเรื่องให้กระจ่าง
ทว่าอาจจะไม่ใช่กรณีดังที่เป็นข่าวก็ได้ และถ้าเป็นเช่นนั้นก็อาจเป็นกรณีที่ต้องด้วยคัมภีร์อันมีมาแต่โบราณว่าเป็นอุบาทว์พระเพลิง ที่เทพยดาสังหรณ์นิมิตให้บังเกิดขึ้นเพื่อเตือนสติเตือนภัยผู้เกี่ยวข้องให้หยุดยั้งการกระทำความชั่ว ให้ทำความดี ให้สำนึกบาปบุญคุณโทษ
อันอุบาทว์พระเพลิงนั้นเป็นอุบาทว์ร้ายแรง ดังเช่นกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นก็คือการเกิดเพลิงไหม้ในสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่จู่ๆ ก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในขณะไหว้ศาลพระภูมิ จนต้องวิ่งกันกระเจิงไป หลังจากนั้นไม่กี่วันรัฐบาลนั้นก็ตกเก้าอี้ ในขณะที่กำลังประชุมคณะรัฐมนตรีกันอยู่ที่เชียงใหม่นั่นเอง
อุบาทว์พระเพลิงให้ผลถึงขั้นคอขาดบาดตาย สิ้นไร้ตำแหน่งแห่งหน กระทั่งถูกราชภัยต้องจองจำด้วยขื่อคา เป็นอุบาทว์ที่เกิดขึ้นได้โดยยาก เพราะเป็นเทพยดาสังหรณ์ที่หนักหนาสาหัสที่แทบไม่มีทางแก้ไขหรือแก้ตัวได้เลย เพราะเป็นอุบาทว์ที่บ่งนิมิตความผิดอันฉกรรจ์อันเทพยดาไม่อาจอดรนทนดูได้นั่นเอง
ระยะเวลาที่ถูกกำหนดไว้ในการแก้อุบาทว์พระเพลิงสั้นมากและพิธีกรรมก็ลี้ลับ ที่มีการกล่าวไว้ในคัมภีร์พรหมศาสตร์นั้นเป็นแต่ผิวเผิน หยาบๆ แต่ก็ไม่อยากจะกล่าวในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
ก็ไม่รู้ว่าข่าวประหลาดทั้งสองข่าวนั้นจะเป็นเทพยดาสังหรณ์แสดงนิมิตอุบาทว์พระแม่โพสพและอุบาทว์พระเพลิงให้ปรากฏหรือไม่ ก็ต้องติดตามดูกันเอาเองเถิดพระคุณท่าน!
เมื่อกล่าวขวัญกันเช่นนั้นแล้วก็ต้องด้วยอัธยาศัยของคนไทย ดังคำพังเพยไทยเกี่ยวกับอุปนิสัยของผู้คนในภูมิภาคนี้ที่ว่า “เจ๊กตื่นไฟ ไทยตื่นข่าว ลาวตื่นยศ”
ครั้นต้องด้วยอัธยาศัยอย่างนี้จึงเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาและเป็นทางให้พวกหมอดูทั้งหลายและพวกฉวยโอกาสตั้งแต่การพิธีสะเดาะเคราะห์ล้างอุบาทว์ได้ทำมาหากินกันต่อไป
เพราะเป็นวิสัยคนที่ไม่ยึดมั่นในพระรัตนตรัย เมื่อเห็นเป็นข่าวประหลาดอย่างนั้นแล้วก็หวั่นไหวเกิดความกลัวภัย พากันไปวิ่งหาพวกอาจารย์ทั้งหลายที่ตั้งตนเป็นอาจารย์ผู้วิเศษ ให้ช่วยทำพิธีสะเดาะเคราะห์ตัดกรรม เสริมมงคล และอะไรต่อมิอะไรจนเปรอะไปทั้งบ้านทั้งเมือง
ส่วนชาวพุทธแท้นั้นย่อมไม่หวั่นไหวในมงคลตื่นข่าวแบบนี้ เพราะชาวพุทธแท้นั้น ถูกอบรมสั่งสอนให้ยึดมั่นในพระรัตนตรัย จนเกิดเป็นปัญญาเห็นความจริงและเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม กลัวบาปกรรมยิ่งกว่ากลัวมงคลตื่นข่าวแบบนั้น
เพราะเพียงแค่รำลึกหรือประกาศในใจหรือประกาศดังๆ ตามที่ถูกสั่งสอนมาเมื่อเวลาเผชิญเหตุใดๆ อันทำให้จิตใจตั้งมั่นว่า
“นัตถิเม สะระนัง อัญญัง พุทโธ เม สะระนัง วะรัง นัตถิเม สะระนัง อัญญัง ธัมโม เม สะระนัง วะรัง นัตถิเม สะระนัง อัญญัง สังโฆ เม สะระนัง วะรัง”
ซึ่งแปลโดยความหมายว่า ข้าพเจ้าไม่ยึดถือสิ่งใดเป็นสรณะ นอกจากพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ คือสรณะอันเกษมของข้าพเจ้า
รำลึกหรือประกาศอย่างนี้แล้ว สติก็จะรวมตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่หวาดกลัว แม้ว่าโลกธาตุจะสั่นไหวก็ตาม ทั้งยังอาจเป็นส่วนแห่งการกระทำฤทธิ์ที่เรียกว่าอธิษฐานฤทธิ์ได้อีกด้วย
แต่อย่างว่านั่นแหละ บ้านเมืองของเราในวันนี้มีพวกเดียรถีย์และอลัชชีและผู้ประกอบเดรัจฉานวิชามากหลายเกิดขึ้น โดยรัฐไม่ได้แก้ไขป้องกัน จึงทำให้ความหลงผิดและความลุ่มหลงงมงายแพร่หลายไปในบ้านเมือง จนเป็นคำเล่าข่าวลือประหลาดๆ เกิดขึ้น
เอาล่ะ เมื่อจะว่ากันถึงเรื่องที่เขากล่าวขวัญกันก็พึงพิจารณาว่ากล่าวให้ถูกต้องตามหลักวิชา ตามคัมภีร์อันมีมาแต่โบราณ ไม่ใช่ใครจะนึกว่าอะไรเอาได้ตามใจ เรามาดูกันว่าวิชาตามคัมภีร์ที่มีมาแต่โบราณนั้นได้แสดงความหมายของข่าวประหลาดว่าอย่างไร
ข่าวแรก คือข่าวเหี้ยตัวใหญ่ขนาดยาวร่วม 1 เมตร คลานขึ้นไปดิ้นตาย และปรากฏว่ากินมากจนท้องแตกตาย แม้ประหนึ่งเป็นการส่งสัญญาณหรือความหมายที่อาจคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ในบ้านเมืองก็ตาม แต่ก็ต้องมองให้เห็นความจริงว่าอาจเกิดขึ้นได้หลายอย่าง คือมีคนเกลียดชังไม่พอใจกัน แกล้งเอาเหี้ยไปปล่อย เพื่อให้บ่งบอกความหมายว่าร้ายผู้บังคับบัญชาก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบว่ากล่าวกันเอาเอง
เพราะการที่ถ้าหากจะมีใครเอาเหี้ยตัวใหญ่ขนาดนี้ขึ้นไปในสถานที่ที่มีการเฝ้าเวรยามทุกค่ำเช้าแล้ว ก็ย่อมไม่ใช่คนตัวเล็กๆ หรือชาวบ้านอย่างเราท่านดอก และถ้าเป็นอย่างนั้นก็เป็นเรื่องของคนทำให้เป็นข่าว ไม่มีความหมายอะไร นอกจากสะท้อนให้เห็นถึงความเกลียดชังไม่พอใจกันในหน่วยงานเท่านั้น
แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องคนทำ และเป็นเรื่องเหี้ยตัวใหญ่คลานขึ้นไปในสถานที่อันไม่ใช่ถิ่นที่อยู่ของตนและเป็นที่ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ โดยไม่มีใครมองเห็น แล้วพบว่าท้องแตกตายเพราะกินมากก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
นั่นคือต้องด้วยบทคัมภีร์ที่มาแต่โบราณว่าเป็นอุบาทว์พระแม่โพสพ ซึ่งได้ระบุถึงกรณีที่สัตว์บางจำพวกไม่ว่าจระเข้ ตะกวด แลน เหี้ย เต่า หรืออะไรทำนองนี้ขึ้นไปปรากฏขึ้นในที่อันไม่ควรอยู่ เช่นในโอ่งน้ำ ในอ่างน้ำ ในที่นอน ในที่ทำงาน ท่านถือว่าเป็นอุบาทว์พระแม่โพสพ
อุบาทว์พระแม่โพสพนั้นเป็นการแสดงนิมิตเตือนภัยของพระแม่โพสพ หรือเป็นการทวงบุญคุณของพระแม่โพสพต่อคนที่กินข้าวและที่เกี่ยวข้อง อันเป็นใหญ่อยู่ในที่นั้นๆ ให้รู้สำนึกกตัญญูต่อข้าวแดงแกงร้อนต่อแผ่นดิน ให้หยุดยั้งการกระทำกรรมชั่วเสียโดยพลัน จะเรียกว่าเป็นการเตือนที่เข้มข้นหนักหน่วงก็ได้
เพราะการเตือนแบบนี้ถ้าเป็นคนเตือนกันเองก็นับว่าหนักหนาเอาการอยู่แล้ว ยิ่งเป็นการเตือนในลักษณะเทพยดาสังหรณ์ของพระแม่โพสพก็ยิ่งเป็นเรื่องหนักหน่วงรุนแรงและคอขาดบาดตาย ที่หากไม่หยุดยั้งหรือแก้ไขเสียให้ทันท่วงทีก็ย่อมมีอันเป็นไปถึงคอขาดบาดตาย พลัดที่นาคาที่อยู่ หมดสิ้นวาสนาอาชีพกันไปเลย
ดังนั้นการแก้อุบาทว์พระแม่โพสพ จุดหลักจึงต้องกลับเนื้อกลับตัว หันมากระทำความดี กระทำกตเวทีด้วยความกตัญญูรู้คุณแผ่นดินและข้าวแดงแกงร้อน ก็จะพ้นภัย จากนิมิตลางอันเทพยดาสังหรณ์ให้ปรากฏขึ้น นอกจากนั้นยังต้องกระทำพิธีกรรมบางอย่างซึ่งไม่อยากจะพูดในที่นี้
ก็ไม่รู้ว่าเรื่องข่าวประหลาดดังกล่าวนี้จะเป็นเรื่องกรณีไหน เพราะไม่อาจจะบ่งชี้ได้ด้วยตนเองว่าเป็นเรื่องคนทำขึ้น หรือเป็นเรื่องเทพยดาสังหรณ์ให้ปรากฏลางอุบาทว์ขึ้นในหน่วยงานแห่งนั้น ผู้เกี่ยวข้องต้องไปพิจารณาสืบหาความจริงกันเอาเอง
ข่าวที่สอง เรื่องเหตุเพลิงไหม้โต๊ะทำงานของผู้บริหารคนสำคัญในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นเรื่องประหลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย เพราะโต๊ะทำงานของผู้บริหารระดับสูงอย่างนั้นมีความปลอดภัยระดับนั้นและมีเวรยามเข้มงวดกวดขันแน่นหนาหลายชั้น ไม่เป็นวิสัยที่เพลิงจะลุกไหม้ขึ้นมาเองโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ยังมีทางเป็นไปได้ถึง 2 ทาง คือคนทำให้เกิดขึ้นเพื่อกลั่นแกล้งหรือแสดงความเกลียดชังหรือว่าเพื่อทำลายหลักฐานบางอย่างที่อาจเป็นอันตรายแก่ตน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ขึ้นอยู่กับกรณีของปัญหาว่าเป็นปัญหาอะไร ซึ่งจะต้องแก้ไขให้ตรงกับต้นเหตุของปัญหานั้น
ถึงวันนี้แล้วก็ดูเหมือนว่าทุกคนจะทำเป็นลืมไม่สนใสไยดีประหนึ่งว่าไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ซึ่งยิ่งทำให้ผู้คนกังขาสงสัยเพราะเริ่มมีข่าวเล่าลือให้ปรากฏว่ากรณีเป็นการเผาทำลายหลักฐานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้าย ซึ่งอาจพัวพันไปถึงผลประโยชน์จากการแต่งตั้งโยกย้ายนั้น
บ้างก็ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง เพราะหลักฐานสำคัญที่ถูกทำลายนั้นอาจเป็นเอกสารเกี่ยวข้องกับการกราบบังคมทูลเท็จ เพราะเรื่องราวการแต่งตั้งนายตำรวจหลายร้อยตำแหน่งที่เสนอผ่านรัฐบาลขึ้นไปทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนั้นถูกตีกลับมาทั้งกระบิ
ถูกตีกลับมาเพราะผิดกฎหมาย เนื่องจากกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นจะแต่งตั้งโยกย้ายกันแบบนั้นไม่ได้ และจะอ้างเอากฎหมายปรับโครงสร้างตำรวจมาเป็นสรณะก็ไม่ได้ เพราะกฎหมายปรับโครงสร้างยังไม่มีผลบังคับใช้ และจะมีผลต่อเมื่อล่วงพ้นวันที่ 16 สิงหาคม 2552 ไปแล้ว
ดังนั้นการทำเรื่องกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาแต่งตั้งโดยอ้างอาศัยอำนาจตามกฎหมายใหม่ที่ยังไม่มีผลบังคับ จึงอาจเป็นการกราบบังคมทูลเท็จ และผิดกฎหมาย แต่ใครจะเป็นผู้ทำ ใครจะเป็นผู้ลงนามและเกี่ยวข้องก็เป็นเรื่องที่จะต้องสืบสาวราวเรื่องกันเอาเอง ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบหน่วยงานนี้ต้องสืบสาวราวเรื่องให้กระจ่าง
ทว่าอาจจะไม่ใช่กรณีดังที่เป็นข่าวก็ได้ และถ้าเป็นเช่นนั้นก็อาจเป็นกรณีที่ต้องด้วยคัมภีร์อันมีมาแต่โบราณว่าเป็นอุบาทว์พระเพลิง ที่เทพยดาสังหรณ์นิมิตให้บังเกิดขึ้นเพื่อเตือนสติเตือนภัยผู้เกี่ยวข้องให้หยุดยั้งการกระทำความชั่ว ให้ทำความดี ให้สำนึกบาปบุญคุณโทษ
อันอุบาทว์พระเพลิงนั้นเป็นอุบาทว์ร้ายแรง ดังเช่นกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นก็คือการเกิดเพลิงไหม้ในสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่จู่ๆ ก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในขณะไหว้ศาลพระภูมิ จนต้องวิ่งกันกระเจิงไป หลังจากนั้นไม่กี่วันรัฐบาลนั้นก็ตกเก้าอี้ ในขณะที่กำลังประชุมคณะรัฐมนตรีกันอยู่ที่เชียงใหม่นั่นเอง
อุบาทว์พระเพลิงให้ผลถึงขั้นคอขาดบาดตาย สิ้นไร้ตำแหน่งแห่งหน กระทั่งถูกราชภัยต้องจองจำด้วยขื่อคา เป็นอุบาทว์ที่เกิดขึ้นได้โดยยาก เพราะเป็นเทพยดาสังหรณ์ที่หนักหนาสาหัสที่แทบไม่มีทางแก้ไขหรือแก้ตัวได้เลย เพราะเป็นอุบาทว์ที่บ่งนิมิตความผิดอันฉกรรจ์อันเทพยดาไม่อาจอดรนทนดูได้นั่นเอง
ระยะเวลาที่ถูกกำหนดไว้ในการแก้อุบาทว์พระเพลิงสั้นมากและพิธีกรรมก็ลี้ลับ ที่มีการกล่าวไว้ในคัมภีร์พรหมศาสตร์นั้นเป็นแต่ผิวเผิน หยาบๆ แต่ก็ไม่อยากจะกล่าวในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
ก็ไม่รู้ว่าข่าวประหลาดทั้งสองข่าวนั้นจะเป็นเทพยดาสังหรณ์แสดงนิมิตอุบาทว์พระแม่โพสพและอุบาทว์พระเพลิงให้ปรากฏหรือไม่ ก็ต้องติดตามดูกันเอาเองเถิดพระคุณท่าน!