เรื่องประหลาดเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราอีกเรื่องหนึ่งแล้ว และคราวนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนทั้งคนทั้งสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ที่ถูกเรียกชื่อว่า “เหี้ย” เพราะเหตุมีมาแต่คนอุตริบางพวกกำลังใช้อำนาจรัฐเปลี่ยนชื่อ “เหี้ย” เป็น “วรนุช”
นัยว่าเหี้ยนั้นมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ อ่านได้ความว่าวรนัจหรือวรนุช การที่สัตว์ชนิดนี้ถูกเรียกชื่อว่าเหี้ยเป็นที่ตั้งของความเกลียดชังและทำให้เป็นผลร้ายแก่สัตว์ชนิดนี้ ดังนั้นจึงควรจะเปลี่ยนชื่อจากเหี้ยเป็นวรนุช ซึ่งในไม่ช้าไม่นานก็คงเสนอเรื่องนี้ให้รัฐบาลท่านให้ความเห็นชอบต่อไป
จึงเป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนขึ้นกับมนุษย์ โดยเฉพาะมนุษย์ที่ใช้ชื่อตนว่าวรนุช ซึ่งมีความหมายว่าน้องผู้ประเสริฐ น้องผู้สวยงามเป็นเลิศ ทำนองนี้แหละ เพราะหากเรื่องนี้ได้รับความเห็นชอบจริง ๆ ขึ้นมาแล้ว ชื่อวรนุชที่ไพเราะเพราะพริ้งและมีความหมายที่งดงามก็จะกลายเป็นชื่อสัตว์ชนิดหนึ่งคือเหี้ย
ก็ลองนึกกันเอาเองเถิดว่า ใครที่พ่อแม่ตั้งชื่อหรือใช้ชื่อตนเองว่าวรนุชจะเดือดร้อนอย่างไร เพราะสืบไปเมื่อใครได้ยินชื่อมิตรสหายเรียกวรนุชแล้วก็จะพากันอมยิ้มที่มุมปาก เพราะอาจสำคัญผิดคิดว่าเป็นคำด่าว่าอีเหี้ย หรือไม่ก็คิดว่าคนอะไรหนอตั้งชื่อเดียวกับเหี้ย
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีความเป็นไปได้ว่าใครใดก็ตามที่เคยใช้ชื่อวรนุช ไม่ว่าชื่อปู่ย่าตายายตั้งให้ หรือครูบาอาจารย์หรือเกจิองค์ไหนตั้งให้ หรือตั้งเองก็ตาม ก็ต้องพากันไปเปลี่ยนชื่อเพื่อไม่ให้ซ้ำหรือเป็นชื่อเดียวกับเหี้ยต่อไป นี่จึงเป็นความเดือดร้อนของคน
ในส่วนของสัตว์นั้นก็คงทำให้สัตว์ที่มีชื่อว่าเหี้ยเดือดร้อนเช่นเดียวกัน เพราะเหี้ยอยู่ของเหี้ยดีๆ ก็มีคนมาทำเรื่องให้ดังจนเป็นเรื่องกล่าวขวัญกันทั้งบ้านทั้งเมือง แย่งชิงพื้นที่ข่าวหมีแพนด้าไปไม่น้อยแล้ว
หมีแพนด้าและคนที่เกี่ยวข้องกับหมีแพนด้าก็คงไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก เพราะกำลังครองพื้นที่ข่าวอยู่ดีๆ ก็มาถูกเรื่องเหี้ยชิงพื้นที่ข่าวไปเสียดื้อๆ ทั้งนี้เนื่องจากสื่อมวลชนไทยในทุกวันนี้ไม่มีเรื่องดีเรื่องงามของคนที่จะไปรายงานข่าวให้ชาวบ้านรู้ จึงฉกฉวยเอาแต่เรื่องวิปริตพิสดารและเรื่องวิตถารและเรื่องสัตว์เดรัจฉานไปรายงานกันครึกโครม
รายงานกันเป็นเรื่องเป็นราวเสียยิ่งกว่านายฮุนเซนข่มขู่คุกคามปรามาสเหยียดหยามผู้นำไทยทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ที่ตะคอกเช้า ตะคอกเย็นอยู่ทุกวัน ซึ่งหามีใครสนใจไม่ หรือคงเห็นไปว่าเขมรข่มเหงไทยเหยียบย่ำไทยไม่สำคัญเท่ากับเรื่องหมี เรื่องเหี้ยก็เป็นได้
ความจริงคำว่า “เหี้ย” ไม่ใช่คำหยาบ แต่มาเข้าใจผิดกันเสียเองในหมู่คนไม่รู้ความว่าเป็นคำหยาบ และเหี้ยนั้นก็ไม่ใช่สัตว์ดุและไม่ใช่สัตว์ร้าย ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครทั้งนั้น เพราะเหี้ยไม่โกงบ้าน ไม่โกงเมือง ไม่เคยฉ้อฉลปล้นชาติ ปล้นประชาชน ไม่เคยพูดจาโกหกพกลมหรือปลิ้นปล้อนตอแหล ไม่เคยวางกล้ามอวดเบ่งข่มเหงใคร คงหากินไปตามประสาสัตว์เดรัจฉานอย่างเหี้ย
และถ้าจะว่าไปแล้ว การดำรงชีวิตของเหี้ยมีความเรียบง่าย สงบเสงี่ยมเจียมตนและเอากันแค่ไม่เบียดเบียนใคร ไม่เบียดเบียนชาติบ้านเมือง เพียงเรื่องเดียวนี้ก็น่าจะเห็นว่าเหี้ยดีกว่านักการเมืองบางคนเสียอีก
แล้วทำไมคนเราถึงชิงชังรังเกียจเหี้ย? ก็เพราะคติผิดๆ ที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งมีอยู่เป็นอันมากในสังคมและวัฒนธรรมไทยของเรา เช่น คำสอนผิดๆ ที่ว่า “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี”, “มือใครยาวสาวได้สาวเอา”, “น้ำขึ้นให้รีบตัก”, “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง”, “น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง” แม้กระทั่งคำพังเพยบางคำที่ผิดเพี้ยนไปในทางประชดประชัน แต่กลับแพร่ขยายไปอย่างน่าตกใจ เช่น คำที่ว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” เป็นต้น
ปฐมเหตุที่ทำให้คนเกลียดเหี้ยจึงไม่มีเหตุอื่น นอกจากนิทานปรัมปราที่มีมาช้านานแล้ว และเล่าขานถ่ายทอดกันมาในสังคมไทยของเราเป็นเวลาช้านาน นั่นคือเรื่องฤาษีเลี้ยงเหี้ย กับเรื่องเหี้ยเป็นสัตว์อัปมงคล ซึ่งพวกพิธีกรรมทางหมอดูตั้งแต่งขึ้นเพื่อใช้เป็นเหตุในการทำมาหากินกันเป็นล่ำเป็นสัน
นิทานเรื่องฤาษีเลี้ยงเหี้ยนั้น เล่ากันไปสืบทอดกันมา ความหมายของเรื่องก็เบี่ยงเบนไปจากต้นเรื่องเดิมจนกลายเป็นคนละเรื่อง คือกลายเป็นความผิดความชั่วของเหี้ย แทนที่จะเป็นความผิดความชั่วของฤาษี
นิทานนั้นมีเค้ามาว่า มีฤาษีตนหนึ่งบำเพ็ญพรตมาช้านานแล้ว แต่ไม่บรรลุธรรมใดๆ เพราะในใจยังฝังจมอยู่กับกิเลส โดยเฉพาะฤาษีตนนี้ชอบกินไข่จระเข้บ้าง ชอบกินไข่นกบ้าง แต่ตนเองเป็นฤาษี จะไปขโมยไข่จระเข้หรือไข่นกมากินก็เกรงผู้คนจะครหาว่าเป็นบาป
ในสมัยนั้นเหี้ยเป็นอาหารอันโอชะของสัตว์หลายอย่าง ทั้งสัตว์ด้วยกันและมนุษย์ด้วย เหี้ยจึงถูกล่าเป็นปกติ ก็คิดหาที่พึ่ง จึงเข้าไปพึ่งฤาษี ในที่สุดก็ตกลงเงื่อนไขกันได้
คือฤาษีจะปกป้องคุ้มครองเหี้ยไม่ให้ถูกคนหรือสัตว์อื่นล่า และจะเลี้ยงดูอุปการะเหี้ยไว้ให้กลายเป็นเหี้ยมีศีล เหมือนอย่างฤาษีที่มีศีล แม้ว่าความจริงแล้วจะมีศีลแค่เปลือกนอกเท่านั้นก็ตาม ในขณะเดียวกัน เหี้ยก็มีหน้าที่ต้องไปขโมยไข่จระเข้ ขโมยไข่นกมาให้ฤาษีกิน
ในที่สุดชาวบ้านก็ไม่พอใจเหี้ย เพราะนอกจากไปขโมยไข่จระเข้ ไข่นกไปกินเองและแบ่งให้ฤาษีกินจนหมดแล้วก็ไม่พอ เหี้ยจึงไปขโมยไข่ไก่ของชาวบ้าน ชาวบ้านก็ไล่ทุบตี เหี้ยนั้นก็หนีมาหาฤาษี ฤาษีก็ปกป้องคุ้มครองเหี้ยไว้และบอกชาวบ้านว่า เหี้ยนี้เป็นเหี้ยมีศีล ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร การที่เหี้ยไปขโมยไข่ไก่ใบนี้มาก็เพราะไข่ไก่ใบนี้มีสิ่งอัปมงคลอยู่ จึงเป็นการขโมยไข่มาเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านต่างหาก
แต่หลังจากนั้นชาวบ้านก็จับได้ว่าเหี้ยยังคงไปขโมยไข่ไก่อยู่นั่นเอง จึงพากันรุมตีเหี้ยตายแล้วเกลียดชังเหี้ยนับแต่นั้นมา
คือเกลียดชังเหี้ยในฐานะที่เป็นสัตว์ขี้ขโมยอย่างหนึ่ง และเกลียดชังในฐานะที่เหี้ยเป็นสัตว์อัปมงคลอีกอย่างหนึ่ง
เพราะพวกหมอดูนักพิธีกรรมทั้งหลายได้เอาเค้านิทานเรื่องนี้ไปตั้งแต่งเป็นคติว่าเหี้ยเป็นสัตว์ที่บ่งบอกสัญญาณหรือลางอันแสดงโชคเคราะห์ให้ปรากฏแก่มนุษย์ว่า บ้านใดเรือนใดหากเหี้ยเข้าบ้านเข้าเรือนแล้วถือว่าเป็นอุบาทว์ เป็นความอัปมงคล เพราะสรรพทุกข์ สสรพโศก สรรพโรค สรรพภัย และสรรพวิบัติทั้งหลายจะเยื้องกรายมาถึง
ดังนั้นเพื่อกำจัดปัดเป่าอัปมงคล ขจัดอุบาทว์ และป้องกันสรรพทุกข์ สรรพโศก สรรพโรค สรรพภัย และสรรพวิบัติทั้งหลาย ก็จะต้องทำพิธีกรรมถอนอุบาทว์และเสนียดจัญไรกันเป็นการใหญ่
ทำพิธีกรรมกันจนเจ้าพิธีกรรมมีทรัพย์สินเงินทองร่ำรวยขึ้นทุกที ในขณะที่คนซึ่งไปทำพิธีพากันยากจนลงทุกทีเหมือนกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้สืบทอดมานานวันเข้า ความเข้าใจผิดและความรู้สึกฝังใจให้คนเกลียดชังเหี้ยก็เพิ่มพูนขึ้น และเบี่ยงเบนไปจากเค้าเรื่องเดิมจนหมดสิ้น
มาถึงวันนี้ก็มีคนเกลียดเหี้ย ชิงชังเหี้ย แต่ไม่พูดถึงฤาษี และลืมไปแล้วว่าต้นเหตุทำให้สัตว์ชนิดนี้เป็นเหี้ยจริงๆ นั้นก็คือฤาษีที่เอาเหี้ยมาเลี้ยงแล้วใช้สอยให้ไปขโมยไข่จระเข้ ไข่นก จนกระทั่งเลยเถิดไปขโมยไข่ไก่ ไข่เป็ดของชาวบ้าน แล้วยังปกป้องคุ้มครองเหี้ยให้ก่อกรรมทำชั่วสืบไปจนตัวตายด้วย
ต้นเค้าของนิทานเรื่องนี้จะว่าฤาษีเลี้ยงเหี้ยก็ได้ แต่เนื้อแท้ของเรื่องจริงๆ นั้นตรองดูกันให้ดีเถิดว่ากรณีอาจเป็นเรื่องหรือน่าจะเป็นเรื่องเหี้ยเลี้ยงฤาษีมากกว่า เพราะเหี้ยเลี้ยงฤาษีก็หวังบารมีและอำนาจที่ชาวบ้านเชื่อว่าฤาษีมีศีล คุ้มครองเหี้ย ในขณะที่ฤาษีก็แสดงตนทำให้ชาวบ้านหลงเชื่อว่าทรงศีล แต่แท้จริงเบื้องหลังก็คือเป็นแค่หัวหน้าโจรขี้ขโมยเท่านั้น
เมื่อเรื่องเหี้ยมาโด่งดังขึ้นในวันนี้ จึงจำเป็นอยู่ดีที่จะต้องทวนความนิทานแต่หนหลังเรื่องฤาษีเลี้ยงเหี้ย และเมื่อทวนความขึ้นมาแล้วก็รำลึกถึงเรื่องอีกเรื่องหนึ่งคือฤาษีเลี้ยงลิง
แต่ฤาษีเลี้ยงลิงนั้นไม่ได้เป็นนิทานแต่ประการใด หากเป็นผลิตผลทางการเมืองไทยในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง นั่นคือในยุคสมัยที่ ท่านอาจารย์หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แต่คุม ส.ส. ไม่อยู่ ต่างคนต่างพูด ต่างคนต่างทำจนเลอะเทอะเปรอะไปหมด ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในพรรคประชาธิปัตย์อยู่เสมอ จนเป็นข่าวคราวตามหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกวัน
เพราะเหตุที่หัวหน้าพรรคคุม ส.ส. ไม่อยู่เช่นนั้น ท่านอาจารย์หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช จึงถูกสื่อมวลชนขนานนามว่าเป็นฤาษีเลี้ยงลิง
ตรองไปตรองมาและพิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นไปในวันนี้แล้ว ก็ชักห่วงคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และนายกรัฐมนตรี เพราะรอบตัวของท่านในวันนี้ไม่ได้มีสภาพอย่างยุคนั้น คือไม่ได้มีสภาพเป็นฤาษีเลี้ยงลิงแล้ว
ห่วงอยู่อย่างเดียวว่าอย่าให้กลายและได้รับสมญาว่าเป็นฤาษีเลี้ยงเหี้ยเลย.
นัยว่าเหี้ยนั้นมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ อ่านได้ความว่าวรนัจหรือวรนุช การที่สัตว์ชนิดนี้ถูกเรียกชื่อว่าเหี้ยเป็นที่ตั้งของความเกลียดชังและทำให้เป็นผลร้ายแก่สัตว์ชนิดนี้ ดังนั้นจึงควรจะเปลี่ยนชื่อจากเหี้ยเป็นวรนุช ซึ่งในไม่ช้าไม่นานก็คงเสนอเรื่องนี้ให้รัฐบาลท่านให้ความเห็นชอบต่อไป
จึงเป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนขึ้นกับมนุษย์ โดยเฉพาะมนุษย์ที่ใช้ชื่อตนว่าวรนุช ซึ่งมีความหมายว่าน้องผู้ประเสริฐ น้องผู้สวยงามเป็นเลิศ ทำนองนี้แหละ เพราะหากเรื่องนี้ได้รับความเห็นชอบจริง ๆ ขึ้นมาแล้ว ชื่อวรนุชที่ไพเราะเพราะพริ้งและมีความหมายที่งดงามก็จะกลายเป็นชื่อสัตว์ชนิดหนึ่งคือเหี้ย
ก็ลองนึกกันเอาเองเถิดว่า ใครที่พ่อแม่ตั้งชื่อหรือใช้ชื่อตนเองว่าวรนุชจะเดือดร้อนอย่างไร เพราะสืบไปเมื่อใครได้ยินชื่อมิตรสหายเรียกวรนุชแล้วก็จะพากันอมยิ้มที่มุมปาก เพราะอาจสำคัญผิดคิดว่าเป็นคำด่าว่าอีเหี้ย หรือไม่ก็คิดว่าคนอะไรหนอตั้งชื่อเดียวกับเหี้ย
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีความเป็นไปได้ว่าใครใดก็ตามที่เคยใช้ชื่อวรนุช ไม่ว่าชื่อปู่ย่าตายายตั้งให้ หรือครูบาอาจารย์หรือเกจิองค์ไหนตั้งให้ หรือตั้งเองก็ตาม ก็ต้องพากันไปเปลี่ยนชื่อเพื่อไม่ให้ซ้ำหรือเป็นชื่อเดียวกับเหี้ยต่อไป นี่จึงเป็นความเดือดร้อนของคน
ในส่วนของสัตว์นั้นก็คงทำให้สัตว์ที่มีชื่อว่าเหี้ยเดือดร้อนเช่นเดียวกัน เพราะเหี้ยอยู่ของเหี้ยดีๆ ก็มีคนมาทำเรื่องให้ดังจนเป็นเรื่องกล่าวขวัญกันทั้งบ้านทั้งเมือง แย่งชิงพื้นที่ข่าวหมีแพนด้าไปไม่น้อยแล้ว
หมีแพนด้าและคนที่เกี่ยวข้องกับหมีแพนด้าก็คงไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก เพราะกำลังครองพื้นที่ข่าวอยู่ดีๆ ก็มาถูกเรื่องเหี้ยชิงพื้นที่ข่าวไปเสียดื้อๆ ทั้งนี้เนื่องจากสื่อมวลชนไทยในทุกวันนี้ไม่มีเรื่องดีเรื่องงามของคนที่จะไปรายงานข่าวให้ชาวบ้านรู้ จึงฉกฉวยเอาแต่เรื่องวิปริตพิสดารและเรื่องวิตถารและเรื่องสัตว์เดรัจฉานไปรายงานกันครึกโครม
รายงานกันเป็นเรื่องเป็นราวเสียยิ่งกว่านายฮุนเซนข่มขู่คุกคามปรามาสเหยียดหยามผู้นำไทยทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ที่ตะคอกเช้า ตะคอกเย็นอยู่ทุกวัน ซึ่งหามีใครสนใจไม่ หรือคงเห็นไปว่าเขมรข่มเหงไทยเหยียบย่ำไทยไม่สำคัญเท่ากับเรื่องหมี เรื่องเหี้ยก็เป็นได้
ความจริงคำว่า “เหี้ย” ไม่ใช่คำหยาบ แต่มาเข้าใจผิดกันเสียเองในหมู่คนไม่รู้ความว่าเป็นคำหยาบ และเหี้ยนั้นก็ไม่ใช่สัตว์ดุและไม่ใช่สัตว์ร้าย ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครทั้งนั้น เพราะเหี้ยไม่โกงบ้าน ไม่โกงเมือง ไม่เคยฉ้อฉลปล้นชาติ ปล้นประชาชน ไม่เคยพูดจาโกหกพกลมหรือปลิ้นปล้อนตอแหล ไม่เคยวางกล้ามอวดเบ่งข่มเหงใคร คงหากินไปตามประสาสัตว์เดรัจฉานอย่างเหี้ย
และถ้าจะว่าไปแล้ว การดำรงชีวิตของเหี้ยมีความเรียบง่าย สงบเสงี่ยมเจียมตนและเอากันแค่ไม่เบียดเบียนใคร ไม่เบียดเบียนชาติบ้านเมือง เพียงเรื่องเดียวนี้ก็น่าจะเห็นว่าเหี้ยดีกว่านักการเมืองบางคนเสียอีก
แล้วทำไมคนเราถึงชิงชังรังเกียจเหี้ย? ก็เพราะคติผิดๆ ที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งมีอยู่เป็นอันมากในสังคมและวัฒนธรรมไทยของเรา เช่น คำสอนผิดๆ ที่ว่า “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี”, “มือใครยาวสาวได้สาวเอา”, “น้ำขึ้นให้รีบตัก”, “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง”, “น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง” แม้กระทั่งคำพังเพยบางคำที่ผิดเพี้ยนไปในทางประชดประชัน แต่กลับแพร่ขยายไปอย่างน่าตกใจ เช่น คำที่ว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” เป็นต้น
ปฐมเหตุที่ทำให้คนเกลียดเหี้ยจึงไม่มีเหตุอื่น นอกจากนิทานปรัมปราที่มีมาช้านานแล้ว และเล่าขานถ่ายทอดกันมาในสังคมไทยของเราเป็นเวลาช้านาน นั่นคือเรื่องฤาษีเลี้ยงเหี้ย กับเรื่องเหี้ยเป็นสัตว์อัปมงคล ซึ่งพวกพิธีกรรมทางหมอดูตั้งแต่งขึ้นเพื่อใช้เป็นเหตุในการทำมาหากินกันเป็นล่ำเป็นสัน
นิทานเรื่องฤาษีเลี้ยงเหี้ยนั้น เล่ากันไปสืบทอดกันมา ความหมายของเรื่องก็เบี่ยงเบนไปจากต้นเรื่องเดิมจนกลายเป็นคนละเรื่อง คือกลายเป็นความผิดความชั่วของเหี้ย แทนที่จะเป็นความผิดความชั่วของฤาษี
นิทานนั้นมีเค้ามาว่า มีฤาษีตนหนึ่งบำเพ็ญพรตมาช้านานแล้ว แต่ไม่บรรลุธรรมใดๆ เพราะในใจยังฝังจมอยู่กับกิเลส โดยเฉพาะฤาษีตนนี้ชอบกินไข่จระเข้บ้าง ชอบกินไข่นกบ้าง แต่ตนเองเป็นฤาษี จะไปขโมยไข่จระเข้หรือไข่นกมากินก็เกรงผู้คนจะครหาว่าเป็นบาป
ในสมัยนั้นเหี้ยเป็นอาหารอันโอชะของสัตว์หลายอย่าง ทั้งสัตว์ด้วยกันและมนุษย์ด้วย เหี้ยจึงถูกล่าเป็นปกติ ก็คิดหาที่พึ่ง จึงเข้าไปพึ่งฤาษี ในที่สุดก็ตกลงเงื่อนไขกันได้
คือฤาษีจะปกป้องคุ้มครองเหี้ยไม่ให้ถูกคนหรือสัตว์อื่นล่า และจะเลี้ยงดูอุปการะเหี้ยไว้ให้กลายเป็นเหี้ยมีศีล เหมือนอย่างฤาษีที่มีศีล แม้ว่าความจริงแล้วจะมีศีลแค่เปลือกนอกเท่านั้นก็ตาม ในขณะเดียวกัน เหี้ยก็มีหน้าที่ต้องไปขโมยไข่จระเข้ ขโมยไข่นกมาให้ฤาษีกิน
ในที่สุดชาวบ้านก็ไม่พอใจเหี้ย เพราะนอกจากไปขโมยไข่จระเข้ ไข่นกไปกินเองและแบ่งให้ฤาษีกินจนหมดแล้วก็ไม่พอ เหี้ยจึงไปขโมยไข่ไก่ของชาวบ้าน ชาวบ้านก็ไล่ทุบตี เหี้ยนั้นก็หนีมาหาฤาษี ฤาษีก็ปกป้องคุ้มครองเหี้ยไว้และบอกชาวบ้านว่า เหี้ยนี้เป็นเหี้ยมีศีล ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร การที่เหี้ยไปขโมยไข่ไก่ใบนี้มาก็เพราะไข่ไก่ใบนี้มีสิ่งอัปมงคลอยู่ จึงเป็นการขโมยไข่มาเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านต่างหาก
แต่หลังจากนั้นชาวบ้านก็จับได้ว่าเหี้ยยังคงไปขโมยไข่ไก่อยู่นั่นเอง จึงพากันรุมตีเหี้ยตายแล้วเกลียดชังเหี้ยนับแต่นั้นมา
คือเกลียดชังเหี้ยในฐานะที่เป็นสัตว์ขี้ขโมยอย่างหนึ่ง และเกลียดชังในฐานะที่เหี้ยเป็นสัตว์อัปมงคลอีกอย่างหนึ่ง
เพราะพวกหมอดูนักพิธีกรรมทั้งหลายได้เอาเค้านิทานเรื่องนี้ไปตั้งแต่งเป็นคติว่าเหี้ยเป็นสัตว์ที่บ่งบอกสัญญาณหรือลางอันแสดงโชคเคราะห์ให้ปรากฏแก่มนุษย์ว่า บ้านใดเรือนใดหากเหี้ยเข้าบ้านเข้าเรือนแล้วถือว่าเป็นอุบาทว์ เป็นความอัปมงคล เพราะสรรพทุกข์ สสรพโศก สรรพโรค สรรพภัย และสรรพวิบัติทั้งหลายจะเยื้องกรายมาถึง
ดังนั้นเพื่อกำจัดปัดเป่าอัปมงคล ขจัดอุบาทว์ และป้องกันสรรพทุกข์ สรรพโศก สรรพโรค สรรพภัย และสรรพวิบัติทั้งหลาย ก็จะต้องทำพิธีกรรมถอนอุบาทว์และเสนียดจัญไรกันเป็นการใหญ่
ทำพิธีกรรมกันจนเจ้าพิธีกรรมมีทรัพย์สินเงินทองร่ำรวยขึ้นทุกที ในขณะที่คนซึ่งไปทำพิธีพากันยากจนลงทุกทีเหมือนกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้สืบทอดมานานวันเข้า ความเข้าใจผิดและความรู้สึกฝังใจให้คนเกลียดชังเหี้ยก็เพิ่มพูนขึ้น และเบี่ยงเบนไปจากเค้าเรื่องเดิมจนหมดสิ้น
มาถึงวันนี้ก็มีคนเกลียดเหี้ย ชิงชังเหี้ย แต่ไม่พูดถึงฤาษี และลืมไปแล้วว่าต้นเหตุทำให้สัตว์ชนิดนี้เป็นเหี้ยจริงๆ นั้นก็คือฤาษีที่เอาเหี้ยมาเลี้ยงแล้วใช้สอยให้ไปขโมยไข่จระเข้ ไข่นก จนกระทั่งเลยเถิดไปขโมยไข่ไก่ ไข่เป็ดของชาวบ้าน แล้วยังปกป้องคุ้มครองเหี้ยให้ก่อกรรมทำชั่วสืบไปจนตัวตายด้วย
ต้นเค้าของนิทานเรื่องนี้จะว่าฤาษีเลี้ยงเหี้ยก็ได้ แต่เนื้อแท้ของเรื่องจริงๆ นั้นตรองดูกันให้ดีเถิดว่ากรณีอาจเป็นเรื่องหรือน่าจะเป็นเรื่องเหี้ยเลี้ยงฤาษีมากกว่า เพราะเหี้ยเลี้ยงฤาษีก็หวังบารมีและอำนาจที่ชาวบ้านเชื่อว่าฤาษีมีศีล คุ้มครองเหี้ย ในขณะที่ฤาษีก็แสดงตนทำให้ชาวบ้านหลงเชื่อว่าทรงศีล แต่แท้จริงเบื้องหลังก็คือเป็นแค่หัวหน้าโจรขี้ขโมยเท่านั้น
เมื่อเรื่องเหี้ยมาโด่งดังขึ้นในวันนี้ จึงจำเป็นอยู่ดีที่จะต้องทวนความนิทานแต่หนหลังเรื่องฤาษีเลี้ยงเหี้ย และเมื่อทวนความขึ้นมาแล้วก็รำลึกถึงเรื่องอีกเรื่องหนึ่งคือฤาษีเลี้ยงลิง
แต่ฤาษีเลี้ยงลิงนั้นไม่ได้เป็นนิทานแต่ประการใด หากเป็นผลิตผลทางการเมืองไทยในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง นั่นคือในยุคสมัยที่ ท่านอาจารย์หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แต่คุม ส.ส. ไม่อยู่ ต่างคนต่างพูด ต่างคนต่างทำจนเลอะเทอะเปรอะไปหมด ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในพรรคประชาธิปัตย์อยู่เสมอ จนเป็นข่าวคราวตามหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกวัน
เพราะเหตุที่หัวหน้าพรรคคุม ส.ส. ไม่อยู่เช่นนั้น ท่านอาจารย์หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช จึงถูกสื่อมวลชนขนานนามว่าเป็นฤาษีเลี้ยงลิง
ตรองไปตรองมาและพิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นไปในวันนี้แล้ว ก็ชักห่วงคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และนายกรัฐมนตรี เพราะรอบตัวของท่านในวันนี้ไม่ได้มีสภาพอย่างยุคนั้น คือไม่ได้มีสภาพเป็นฤาษีเลี้ยงลิงแล้ว
ห่วงอยู่อย่างเดียวว่าอย่าให้กลายและได้รับสมญาว่าเป็นฤาษีเลี้ยงเหี้ยเลย.