ASTVผู้จัดการรายวัน- ผลประกอบการครึ่งปีแรก 52 ธนาคารออมสินมีกำไรสุทธิ 7,600 ล้าน มาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณสินเชื่อและค่าธรรมเนียมจากการบริการ ส่วนยอดหนี้ NPL ลดลงเหลือ 3.4% ผอ.ออมสิน เผยแผนครึ่งปีหลังเน้นการออม และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและผู้ประกอบการรายย่อย ควบคู่กับการพัฒนาระบบ Core Banking
นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยผลประกอบการธนาคารฯ ในช่วงครึ่งปีแรก 2552 ว่า ธนาคารฯ มีกำไรสุทธิ 7,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 694 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายที่มีคุณภาพ การสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ทำให้หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ลดลง ส่งผลให้การตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ลดลงตามไปด้วย
หลังจากที่ธนาคารออมสิน ได้ปรับปรุงเงื่อนไข หลักเกณฑ์ สินเชื่อทั้งหมด เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งทุนได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งที่ธนาคารฯ ดำเนินการเพื่อบรรเทาปัญหาสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ ทำให้ในช่วงระยะเวลา 6 เดือนของครึ่งปีแรก 2552 สามารถอนุมัติสินเชื่อใหม่ไปแล้วรวมจำนวนทั้งสิ้นกว่า 130,000 ล้านบาท โดยเป็นเม็ดเงินสินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อยและกลุ่มเศรษฐกิจฐานรากของประเทศกว่า 90,000 ล้านบาท ได้แก่ สินเชื่อบุคคล ธนาคารประชาชน ธุรกิจห้องแถว สินเชื่อเพื่อพัฒนากลุ่มอาชีพ (ข้าราชการพลเรือน, ครู, ทหาร, ตำรวจ ฯลฯ) สินเชื่อเคหะ เป็นต้น
สำหรับ ยอดสินเชื่อคงเหลือของธนาคารออมสิน เพิ่มขึ้นจาก 545,398 ล้านบาท เมื่อสิ้นปี 2551 เป็น 583,068 ล้านบาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2552 หรือเพิ่มสุทธิ 37,670 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7 ด้านฐานะการเงิน ธนาคารฯ มีสินทรัพย์รวม 891,994 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2551 จำนวน 83,366 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10
ขณะที่ยอดเงินฝากรวม ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 มีจำนวนทั้งสิ้น 767,467 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 64,988 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากยอดรับฝากสลากออมสินพิเศษกว่า 50,000 ล้านบาท ที่ธนาคารฯ ได้จัดแคมเปญ “ธนาคารออมสิน ฉลอง 8 รอบ มอบ JAZZ 8 คัน” ช่วงระหว่างวันที่ 26 มกราคม - 30 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 ธนาคารฯ มีส่วนของทุนอยู่ที่ 86,194 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 2,038 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2551 จำนวน 6,444 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วน NPLs อยู่ที่ร้อยละ 3.4 ของสินเชื่อรวม ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.10 ซึ่งมาจากการบริหารสินเชื่อที่รัดกุมและผ่อนปรนตามความเหมาะสม รวมถึงการใช้มาตรการบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพ ได้แก่ จัดทีมงานเฉพาะกิจสำหรับแก้ไขหนี้ การเร่งรัดติดตามที่เป็นระบบมากขึ้น บริหารทรัพย์สินขายทอดตลาดอย่างเป็นระบบ เป็นต้น
นายเลอศักดิ์ยังกล่าวถึงแนวทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2552 ยังคงบทบาทที่สำคัญ คือ มุ่งส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงินสำหรับประชาชน ตลอดจนการขยายธุรกรรมทางการเงินที่หลากหลายครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มทุกระดับ และบทบาทที่สำคัญในขณะนี้ คือ มุ่งเน้นร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยเฉพาะสินเชื่อธนาคารประชาชนใน “โครงการ 1 สาขา 5 ตลาด” ที่กำลังดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพอยู่ในขณะนี้
นอกจากนี้ ยังได้เตรียมเพิ่มผลิตภัณฑ์ด้านการเงิน เงินฝาก และสินเชื่อ เพื่อรองรับความต้องการเข้าถึงแหล่งทุนตามนโยบายรัฐบาล พร้อมกับการพัฒนาระบบ Core Banking ซึ่งจะทำให้คุณภาพการให้บริการด้านเงินฝากครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และจะเชื่อมต่อกับระบบสินเชื่อต่อไปในต้นปี 2553 ซึ่งจะทำให้การให้บริการของธนาคารออมสินมีความคล่องตัว สะดวก รวดเร็ว รวมถึงการสร้างมูลค่าด้านสังคม (CSR) ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ.
นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยผลประกอบการธนาคารฯ ในช่วงครึ่งปีแรก 2552 ว่า ธนาคารฯ มีกำไรสุทธิ 7,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 694 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายที่มีคุณภาพ การสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ทำให้หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ลดลง ส่งผลให้การตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ลดลงตามไปด้วย
หลังจากที่ธนาคารออมสิน ได้ปรับปรุงเงื่อนไข หลักเกณฑ์ สินเชื่อทั้งหมด เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งทุนได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งที่ธนาคารฯ ดำเนินการเพื่อบรรเทาปัญหาสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ ทำให้ในช่วงระยะเวลา 6 เดือนของครึ่งปีแรก 2552 สามารถอนุมัติสินเชื่อใหม่ไปแล้วรวมจำนวนทั้งสิ้นกว่า 130,000 ล้านบาท โดยเป็นเม็ดเงินสินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อยและกลุ่มเศรษฐกิจฐานรากของประเทศกว่า 90,000 ล้านบาท ได้แก่ สินเชื่อบุคคล ธนาคารประชาชน ธุรกิจห้องแถว สินเชื่อเพื่อพัฒนากลุ่มอาชีพ (ข้าราชการพลเรือน, ครู, ทหาร, ตำรวจ ฯลฯ) สินเชื่อเคหะ เป็นต้น
สำหรับ ยอดสินเชื่อคงเหลือของธนาคารออมสิน เพิ่มขึ้นจาก 545,398 ล้านบาท เมื่อสิ้นปี 2551 เป็น 583,068 ล้านบาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2552 หรือเพิ่มสุทธิ 37,670 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7 ด้านฐานะการเงิน ธนาคารฯ มีสินทรัพย์รวม 891,994 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2551 จำนวน 83,366 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10
ขณะที่ยอดเงินฝากรวม ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 มีจำนวนทั้งสิ้น 767,467 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 64,988 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากยอดรับฝากสลากออมสินพิเศษกว่า 50,000 ล้านบาท ที่ธนาคารฯ ได้จัดแคมเปญ “ธนาคารออมสิน ฉลอง 8 รอบ มอบ JAZZ 8 คัน” ช่วงระหว่างวันที่ 26 มกราคม - 30 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 ธนาคารฯ มีส่วนของทุนอยู่ที่ 86,194 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 2,038 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2551 จำนวน 6,444 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วน NPLs อยู่ที่ร้อยละ 3.4 ของสินเชื่อรวม ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.10 ซึ่งมาจากการบริหารสินเชื่อที่รัดกุมและผ่อนปรนตามความเหมาะสม รวมถึงการใช้มาตรการบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพ ได้แก่ จัดทีมงานเฉพาะกิจสำหรับแก้ไขหนี้ การเร่งรัดติดตามที่เป็นระบบมากขึ้น บริหารทรัพย์สินขายทอดตลาดอย่างเป็นระบบ เป็นต้น
นายเลอศักดิ์ยังกล่าวถึงแนวทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2552 ยังคงบทบาทที่สำคัญ คือ มุ่งส่งเสริมการออมและสร้างวินัยทางการเงินสำหรับประชาชน ตลอดจนการขยายธุรกรรมทางการเงินที่หลากหลายครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่มทุกระดับ และบทบาทที่สำคัญในขณะนี้ คือ มุ่งเน้นร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยเฉพาะสินเชื่อธนาคารประชาชนใน “โครงการ 1 สาขา 5 ตลาด” ที่กำลังดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพอยู่ในขณะนี้
นอกจากนี้ ยังได้เตรียมเพิ่มผลิตภัณฑ์ด้านการเงิน เงินฝาก และสินเชื่อ เพื่อรองรับความต้องการเข้าถึงแหล่งทุนตามนโยบายรัฐบาล พร้อมกับการพัฒนาระบบ Core Banking ซึ่งจะทำให้คุณภาพการให้บริการด้านเงินฝากครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และจะเชื่อมต่อกับระบบสินเชื่อต่อไปในต้นปี 2553 ซึ่งจะทำให้การให้บริการของธนาคารออมสินมีความคล่องตัว สะดวก รวดเร็ว รวมถึงการสร้างมูลค่าด้านสังคม (CSR) ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ.