ASTV ผู้จัดการายวัน – ตราเพชร ระบุวิกฤตเศรษฐกิจกระทบตลาดวัสดุก่อสร้างครึ่งปีแรกทรงตัวเท่าปีแรก ส่วนครึ่งหลังผู้ประกอบการเร่งออกแรงอัดแคมเปญกระตุ้นกำลังซื้อลูกค้า หวังยอดขายกระเตื้อง ด้านบล.กิมเอ็ง ประมาณการยอดขายไตรมาส 2 ที่ 700 ล้านบาท กำไร 93 ล้านบาท ชี้จับตลาดต่างจังหวัดช่วยหนุนอัตราการเติบโตปีนี้ 5%
นายสาธิต สุดบรรทัด รองกรรมการผู้จัดการสายงานการขายและการตลาด บริษัท กระเบื้องหลังคาตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยว่า ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคและแผนการพัฒนาโครงการใหม่ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ตลาดวัสดุก่อสร้างโดยรวมในช่วงครึ่งแรกของปีชะลอตัวลง เฉพาะตลาดกระเบื้องหลังคานั้น ภาพรวมยังมีอัตราการขยายตัวเท่ากับปีที่ผ่านมา
ส่วนตลาดตลาดระดับบนที่ส่วนมากจะเป็นตลาดกระเบื้องสี ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าค่อนข้างชะลอตัว แต่ในส่วนของตลาดกระเบื้องระดับล่างซึ่งมีราคาขายที่เหมาะสมกับกำลังซื้อของลูกค้ากลุ่มต่างจังหวัด เช่น กลุ่มลูกค้าเกษตรกรยังมีอัตราการขยายตัวที่ดีอยู่ โดยเฉพาะในช่วงปลายไตรมาสที่สองที่ผ่านมา ซึ่งเกิดภัยธรรมชาติ ส่งผลให้หลังค้าบ้านของประชาชนในต่างจังหวัดเสียหาย ทำให้มียอดการซื้อกระเบื้องหลังคาเพื่อการซ่อมแซมบ้านเข้ามาค่อนข้างมาก ซึ่งจากยอดสั่งซื้อกระเบื้องจากปัญหาดังกล่าวทำให้ยอดขายของบริษัทมีการขยายตัวขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเล็กน้อย
นอกจากนี้ ยอดสั่งซื้อเพื่อการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านในช่วงไตรมาสที่ 2 กลุ่มผู้ประกอบการยังมีการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง มีการจัดแคมเปญ และกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าให้เร็วขึ้น ในขณะที่แนวโน้มราคาปูนซิเมนต์ และราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ในระดับเดิมทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯบางรายตัดสินใจพัฒนาบ้าน เพื่อสร้างสต๊อกไว้รองรับลูกค้าที่ต้องการบ้านพร้อมอยู่ เนื่องจากประมาณการว่าในอนาคตราคาวัสดุก่อสร้างจะปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมัน
ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังนั้นคาดว่าตลาดจะกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องสถานการณ์การเมืองนิ่ง ประกอบกับได้รับแรงกระตุ้นจากการจัดแคมเปญการตลาดของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ แนวโมการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลจะส่งผลให้ตลาดเริ่มฟื้นตัวกลับมาด้วย อย่างไรก็ตามตลาดรวมวัสดุก่อสร้างในช่วงครึ่งปีหลังจะกลับมาขยายตัวได้มากน้อยอย่างไรนั้นขึ้นกับการลงทุนโครงการสาธารณูปโภคสาธารณูปการของภาครัฐบาลเป็นหลัก
ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทคาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าที่วางไว้อย่างแน่นอน ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังหากสถานการณ์ตลาดไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบเชื่อว่าจะสามารถมีอัตราการเติบโตของยอดขายในครึ่งปีหลังสูงกว่าปี 51เล็กน้อย
อนึ่ง บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง ( ประเทศไทย ) จำกัด ( มหาชน ) ( KEST ) ประมาณการว่า DRT จะมียอดขายในไตรมาสที่ 2 รวม700 ล้านบาท หรือมีกำไร 93 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสแรก 9% ซึ่งการลดลงของกำไรดังกล่าวเนื่องมากจากอยู่นอกฤดูการขาย ทั้งนี้ แนวโน้มยอดขายในครึ่งปีแรกที่ค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังปีของปีที่แล้วที่มีฐานยอดขายที่ต่ำมาก ทำให้ DRT ปรับเป้าหมายยอดขายในปี 2552 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5% เทียบกับประมาณการครั้งก่อนจะทรงตัวที่จากปีก่อนที่ 2,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจรวมในปีนี้จะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะขายไปยังต่างจังหวัดคิดเป็นประมาณ 80% ซึ่งยังมีความต้องการ การใช้นโยบายตลาดเชิงรุกเพิ่มตัวแทนจำหน่ายจาก 600 ราย เป็น 700 ราย และ ขยายตลาดส่งออก นับว่าช่วยหนุนยอดขายของบริษัทยังขยายตัวสวนกับภาวะเศรษฐกิจรวม เพื่อให้สอดคล้องกับประมาณการของผู้บริหาร โดยบล.กิมเอ็งได้ปรับประมาณการเพิ่มขึ้น โดยประเมินยอดขายในปี 2552 จะขยายตัว 5% หรือมียอดขายเท่ากับ 2,635 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5%
นายสาธิต สุดบรรทัด รองกรรมการผู้จัดการสายงานการขายและการตลาด บริษัท กระเบื้องหลังคาตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยว่า ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคและแผนการพัฒนาโครงการใหม่ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ตลาดวัสดุก่อสร้างโดยรวมในช่วงครึ่งแรกของปีชะลอตัวลง เฉพาะตลาดกระเบื้องหลังคานั้น ภาพรวมยังมีอัตราการขยายตัวเท่ากับปีที่ผ่านมา
ส่วนตลาดตลาดระดับบนที่ส่วนมากจะเป็นตลาดกระเบื้องสี ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าค่อนข้างชะลอตัว แต่ในส่วนของตลาดกระเบื้องระดับล่างซึ่งมีราคาขายที่เหมาะสมกับกำลังซื้อของลูกค้ากลุ่มต่างจังหวัด เช่น กลุ่มลูกค้าเกษตรกรยังมีอัตราการขยายตัวที่ดีอยู่ โดยเฉพาะในช่วงปลายไตรมาสที่สองที่ผ่านมา ซึ่งเกิดภัยธรรมชาติ ส่งผลให้หลังค้าบ้านของประชาชนในต่างจังหวัดเสียหาย ทำให้มียอดการซื้อกระเบื้องหลังคาเพื่อการซ่อมแซมบ้านเข้ามาค่อนข้างมาก ซึ่งจากยอดสั่งซื้อกระเบื้องจากปัญหาดังกล่าวทำให้ยอดขายของบริษัทมีการขยายตัวขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเล็กน้อย
นอกจากนี้ ยอดสั่งซื้อเพื่อการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านในช่วงไตรมาสที่ 2 กลุ่มผู้ประกอบการยังมีการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง มีการจัดแคมเปญ และกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าให้เร็วขึ้น ในขณะที่แนวโน้มราคาปูนซิเมนต์ และราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ในระดับเดิมทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯบางรายตัดสินใจพัฒนาบ้าน เพื่อสร้างสต๊อกไว้รองรับลูกค้าที่ต้องการบ้านพร้อมอยู่ เนื่องจากประมาณการว่าในอนาคตราคาวัสดุก่อสร้างจะปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมัน
ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังนั้นคาดว่าตลาดจะกลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องสถานการณ์การเมืองนิ่ง ประกอบกับได้รับแรงกระตุ้นจากการจัดแคมเปญการตลาดของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ แนวโมการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลจะส่งผลให้ตลาดเริ่มฟื้นตัวกลับมาด้วย อย่างไรก็ตามตลาดรวมวัสดุก่อสร้างในช่วงครึ่งปีหลังจะกลับมาขยายตัวได้มากน้อยอย่างไรนั้นขึ้นกับการลงทุนโครงการสาธารณูปโภคสาธารณูปการของภาครัฐบาลเป็นหลัก
ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทคาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าที่วางไว้อย่างแน่นอน ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังหากสถานการณ์ตลาดไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบเชื่อว่าจะสามารถมีอัตราการเติบโตของยอดขายในครึ่งปีหลังสูงกว่าปี 51เล็กน้อย
อนึ่ง บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง ( ประเทศไทย ) จำกัด ( มหาชน ) ( KEST ) ประมาณการว่า DRT จะมียอดขายในไตรมาสที่ 2 รวม700 ล้านบาท หรือมีกำไร 93 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสแรก 9% ซึ่งการลดลงของกำไรดังกล่าวเนื่องมากจากอยู่นอกฤดูการขาย ทั้งนี้ แนวโน้มยอดขายในครึ่งปีแรกที่ค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังปีของปีที่แล้วที่มีฐานยอดขายที่ต่ำมาก ทำให้ DRT ปรับเป้าหมายยอดขายในปี 2552 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5% เทียบกับประมาณการครั้งก่อนจะทรงตัวที่จากปีก่อนที่ 2,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจรวมในปีนี้จะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะขายไปยังต่างจังหวัดคิดเป็นประมาณ 80% ซึ่งยังมีความต้องการ การใช้นโยบายตลาดเชิงรุกเพิ่มตัวแทนจำหน่ายจาก 600 ราย เป็น 700 ราย และ ขยายตลาดส่งออก นับว่าช่วยหนุนยอดขายของบริษัทยังขยายตัวสวนกับภาวะเศรษฐกิจรวม เพื่อให้สอดคล้องกับประมาณการของผู้บริหาร โดยบล.กิมเอ็งได้ปรับประมาณการเพิ่มขึ้น โดยประเมินยอดขายในปี 2552 จะขยายตัว 5% หรือมียอดขายเท่ากับ 2,635 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5%