xs
xsm
sm
md
lg

คนรุ่นใหม่ ในวังวนการเมืองเก่า

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ


ผู้เขียนบังเอิญได้อ่านพบบทกลอนของ ว.แหวนลงยา ที่คงเกิดจากอารมณ์สะเทือนใจของผู้ประพันธ์ จึงขออนุญาตนำมาประกอบบทความนี้ด้วยความสะเทือนใจดุจเดียวกัน

           เขาจัดให้ ลงพื้นที่ ขี่รถไถ
จัดคนมา คาดผ้าไหม ผ้าขาวม้า
คือฉากเก่า ที่เคยเห็น อยู่เจนตา
เขาเชื่อว่า เธอจะชิน และชอบมัน 
           เขากางเต็นท์ ขึงป้ายผ้า มาต้อนรับ
จัดมวลชน มาพร้อมสรรพ อย่างแข็งขัน
ทุกหน่วยงาน ทั้งจังหวัด จัดประชัน
ล้วนภาพสร้าง ทั้งนั้น เพื่อวันนี้
           วันที่ รับคำสั่ง ทั้งจังหวัด
มอบหมาย หน้าที่ชัด ทุกพื้นที่
งานใหญ่รับ อัครเสนาบดี
รวมทุกพันธุ์ ผักชี มาโปรยปราย
           สิ่งที่เธอ ได้เห็น และได้ฟัง
คือภาพสร้าง ตามคำสั่ง รับมอบหมาย
ปัญหาจริง จึงแอบแฝง ไม่แพร่งพราย
ลงพื้นที่ จึงเปล่าดาย แค่การแสดง
           ปัญหาบ้าน ปัญหาเมือง จึงหมักหมม
ทับถม ล่มสลาย ในแปลกแปร่ง
กี่ยุค กี่สมัย ไม่เปลี่ยนแปลง
มีแต่การ เสแสร้ง ไม่จริงใจ
           หวังให้เธอ มาทบทวน กระบวนท่า
โดยท่วงที ลีลา คนรุ่นใหม่
หวังจะเห็น การเปลี่ยนผ่าน การเมืองไทย
แต่วันนี้ เหมือนถอดใจ ไม่หวังแล้ว.....
           เห็นภาพเธอ เปรมปรีดิ์ ขี่รถไถ
บอกไม่ถูก ว่าทำไม ใจวังเวง....!


ว.แหวนลงยา

ในสภาวการณ์การเมืองไทยยุคปัจจุบันที่คนไทยทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ เริ่มเอือมระอา เบื่อหน่าย และหมดหวังกับวิถีทางการเมืองน้ำเน่า และอยากปลดระวางเหล่านักการเมืองประเภท มือถือสาก ปากคาบคัมภีร์ประชาธิปไตย ที่เลือกใช้เพียงรูปแบบประชาธิปไตยปลอมๆ ไว้แอบอ้างเพื่อแสวงหาอำนาจทางการเมือง เป็นสมบัติผลัดกันชม และผลัดกันปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมืองมาโดยตลอด โดยประชาชนคนไทยส่วนหนึ่งเริ่มออกมาเรียกร้อง และพูดถึงการแสวงหาแนวทางใหม่ๆ เพื่อสร้างรูปแบบการเมืองแบบใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยประชาชนมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจอธิปไตยทั้งทางตรงและทางอ้อม และมีสิทธิมีเสียงอย่างแท้จริง

พรรคการเมืองใหม่ที่ก่อตั้งโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อาจเป็นประกายไฟเล็กๆ ส่วนหนึ่งที่ก่อเกิดจากแรงกดดันในการต่อสู้ทางการเมืองภาคประชาชน ที่ขับเคี่ยวกับระบอบการเมืองเก่าอย่างเข้มข้นแต่ก็ยังเป็นเพียงการเริ่มต้นที่ต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งยังไม่มีใครกำหนด คำนวณได้ว่า จะยาวนานเพียงใดที่จะบังเกิดระบอบการเมืองใหม่ในประเทศนี้ได้จริงๆ หรือไม่

ความหวังหนึ่งที่พอจะจับต้องได้สำหรับคนไทย ก็คือ การได้นายกรัฐมนตรีชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง ที่เพียบพร้อมด้วย คุณวุฒิ และความสดใสสะอาดทั้งการดำเนินชีวิตส่วนตัว และการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ที่มีภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ ที่เป็นความหวังว่าจะเข้ามาปรับเปลี่ยนกอบกู้ และสร้างวิถีทางการเมืองที่แตกต่างจากบรรดารุ่นพี่ รุ่นพ่อ หรือรุ่นปู่ทางการเมืองไทย ที่เหมือนวิญญาณร้ายอัปลักษณ์สิงสู่อยู่ในรัฐสภาไทยมายาวนาน

การประกาศจุดยืนและแนวนโยบายที่จะยืนข้างความถูกต้อง พร้อมกฎเหล็ก 9 ข้อ ภายใต้สโลแกน ประชาชนต้องมาก่อน เปรียบเหมือนแสงไฟปลายอุโมงค์ ที่สร้างความหวังให้แก่การเมืองไทย และคนไทยทุกคนที่จะหลุดพ้นจากอุโมงค์ประชาธิปไตยปลอมๆ อันมืดมิดเสียที

แต่จะด้วยเหตุใดไม่ปรากฏ เวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจรัฐมากว่า 6 เดือน ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ภาพลักษณ์อันตื่นตาตื่นใจในความสดใหม่เริ่มจะค่อยๆ เลือน และค่อยๆ เกลื่อนกลืนไปในวังวนการเมืองแบบเก่าๆ ที่ยังคงใช้วิธีประนีประนอมสานผลประโยชน์ระหว่างพรรคร่วม โดยทำตรงข้ามกับคำว่าประชาชนต้องมาก่อนในแทบทุกเรื่องไป คือเป็นการเมืองเก่าที่ยังยึดประโยชน์พรรค มุ่งรักษาอำนาจทางการเมือง และไม่กล้าจัดการกับสิ่งไม่ถูกต้องของบ้านเมืองอย่างแท้จริง มิหนำซ้ำยังดูเหมือนจะสยบยอมกับสิ่งที่รู้อยู่ว่าเป็นการแอบแฝงฉ้อฉล โดยเพียงแค่ใช้ลีลาฟุตเวิร์กเลี่ยงๆ หลบๆ ไปวันๆ

และเมื่อถึงวาระศุภฤกษ์ ที่ต้องลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและรับฟังปัญหาเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชน ก็ยิ่งประจักษ์ชัดว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ ที่เคยเป็นความหวังของคนไทยผู้รักชาติรักประชาธิปไตย ที่อยากเห็นนายกฯ หนุ่มคนรุ่นใหม่มาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ได้ถูกดับความฝันและความหวังลงอย่างน่าเสียดาย

นายกฯ อภิสิทธิ์ ยอมให้ใครก็ตามที่ยังยึดถือคัมภีร์การเมืองไทยแบบเก่าๆ จัดการให้การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีที่จังหวัดบุรีรัมย์ ยังคงสภาพการตรวจราชการแบบนักการเมืองน้ำเน่า อย่างสมบูรณ์แบบ

บทกลอน ของ ว.แหวนลงยา ข้างต้นบทความนั้น เป็นการบรรยายแทนความรู้สึกของคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ผิดหวัง และหมดหวังกับระบอบการเมืองไทย และนักการเมืองไทย

             ผู้เขียน ยังอดไม่ได้ที่จะแอบหวังลึกๆ ว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งยังมีหนทางอีกยาวไกลบนถนนการเมืองไทย จะมีเวลาฉุกคิดทบทวนไตร่ตรอง และสลัดตัวตนให้หลุดพ้นจากวังวนการเมืองเก่าๆ ซึ่งพิสูจน์ชัดแล้วว่า เป็นอันตรายกัดกร่อนพื้นฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด แล้วหันมาร่วมมือกับประชาชนคนไทยในการสร้างวิถีทางการเมืองแบบใหม่ ที่จะเป็นระบอบการเมืองที่เอื้อประโยชน์สุขแก่ประชาชนคนไทย และประเทศชาติสังคมไทยโดยส่วนรวมอย่างแท้จริง

             วิทยา วชิระอังกูร
กำลังโหลดความคิดเห็น