xs
xsm
sm
md
lg

ไข่ทำวัคซีนใบละ300บาท

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เผยไข่ไก่เยอรมนีทำวัคซีนใบละ 300 บาท อภ.ระบุสั่งล็อตแรก 350 ฟอง เหตุไทยยังผลิตไม่ได้ คปภ.จี้บริษัทประกันชีวิต เพิ่มคุ้มครองผู้เอาประกันติดเชื้อ โดยเพิ่มเงินชดเชยและค่ารักษาพยาบาล 2 เท่าของอัตราปกติ ส่วนตายจ่ายเพิ่ม 50% ของทุนประกัน โพลระบุประชาชนร้อยละ 91.67 เห็นว่าการแพร่ระบาดรุนแรงเพิ่มขึ้น-น่ากลัว ขณะที่ “วิทยา” ยันทีมสู้หวัดเจ๋ง ไม่จำเป็นต้องปรับ
นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานคณะกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องนำเข้าไข่ไก่ ชนิดพิเศษจากประเทศเยอรมนีที่นำมาเพราะเลี้ยงเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่พันธุ์ใหม่เพื่อผลิตวัคซีนป้องกันนั้น เนื่องจากไข่ที่นำมาเพาะเชื้อต้องปราศจากสารปนเปื้อน โดยมีกระบวนการผลิตตั้งแต่การเลี้ยงไก่ในสภาวะที่ปลอดจากเชื้อ หรือที่เรียกว่า Specific Pathogen Free หรือ (SPF) อย่างเข้มงวด มีการตรวจไข่ทุกฟองเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เพราะหากมีการปนเปื้อนอาจเกิดการติดเชื้อในคนได้ และเป็นไปตามมาตรฐานสากล ที่กำหนดไว้ทั่วโลก
ทั้งนี้ การผลิตไข่ไก่ชนิดพิเศษนี้ประเทศไทยยังไม่สามารถผลิตได้ จึงต้องมีการนำเข้า โดยราคาไข่ 1 ฟองราคาประมาณ 300 บาท โดยนำเข้ามาทั้งสิ้น 350 ฟอง ขณะนี้ไข่ดังกล่าวถูกเก็บรักษาไว้ที่คณะเภสัชศาสตร์ ม.ศิลปากรแล้ว
“การที่อภ.เลือกไข่ไก่ชนิดพิเศษจากเยอรมนี ซึ่งความจริงมีหลายประเทศที่สามารถผลิตได้รวมถึงสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเหตุผลความน่าเชื่อถือ และราคาที่สมเหตุสมผล ซึ่งฟาร์มที่เลี้ยงไก่ผลิตไข่ชนิดนี้เป็นการผลิตขึ้นโดยเฉพาะเพื่อการผลิตวัคซีนเท่านั้น ไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป” นพ.วิชัยกล่าว
นพ.วิชัย กล่าวต่อว่า ตามหลักการนั้น จะนำเชื้อไวรัสเป็นฉีดเข้าไปในไข่ไก่ที่เตรียมไว้ และเพาะเลี้ยงให้เชื้อเพิ่มจำนวนมากขึ้นในขั้นต้นจนได้ “working seed” ที่มีความบริสุทธิ์สูง เมื่อจะผลิตวัคซีน ก็จะนำไปสู่ขั้นตอนการฉีดวัคซีนในไข่ไก่สะอาด หรือ clean egg ซึ่งมีราคาประมาณ 30 บาท ต่อฟอง โดยได้ประสานกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี ในการคัดเลือกไข่ไก่ ซึ่งอาจต้องใช้หลายพันฟอง โดยไข่ไก่ของซีพี ถือเป็นไข่ไก่สะอาดเพียงแต่ยังไม่ได้รับรองมาตรฐานเท่านั้น ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) อยู่ระหว่างการจัดทำมาตรฐานของไข่สะอาดที่จะนำมาเพาะเชื้อให้ได้มาตรฐานระดับสากล ซึ่งในล็อตต่อไปอาจไม่จำเป็นต้องนำเข้าไข่ไก่จากต่างประเทศ แต่ใช้ไข่ที่ผลิตในประเทศได้

คปภ.จี้ประกันคุ้มครองติดหวัด
นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงานคปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงานพยายามผลักดันให้บริษัทประกันชีวิตเพิ่มความคุ้มครองผู้เอาประกันภัยกรณีได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่ให้มากขึ้นโดยไม่คิดเบี้ยประกันเพิ่ม โดยได้ขอความร่วมมือให้บริษัทประกันชีวิตที่มีกรมธรรม์แนบท้ายประกันสุขภาพ (พีเอ) เพิ่มค่ารักษาพยาบาลให้กับผู้เอาประกันที่ได้รับเชื้อและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็น 2 เท่าของอัตราปกติ และเพิ่มค่าชดเชยรายวันเป็น 2 เท่าของอัตราปกติเช่นกัน แต่ไม่เกินรายละ 10,000 บาท
ส่วนในกรณีเสียชีวิต บริษัทจะจ่ายเป็นกรณีพิเศษอีก 50% ของทุนเอาประกัน หรือไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือ 2 ล้านบาทแล้วแต่กรณี ทั้งหมดนี้จะมีระยะเวลาการคุ้มครองตั้งแต่เดือนพ.ค.-ก.ย.นี้ ซึ่งขณะนี้ มีบริษัทประกันชีวิต 3 แห่งที่ให้ความร่วมมือ จากจำนวนบริษัทประกันชีวิตในไทยทั้งหมด 25 แห่ง แต่ระหว่างนี้มีหลายบริษัททยอยให้ความร่วมอยู่
นางจันทรา กล่าวต่อว่า สำหรับ 3 บริษัทที่ให้ความร่วมมือแล้วนั้น ขณะนี้ได้จ่ายเงินชดเชยให้ผู้เอาประกันแล้ว 600 ราย เป็นเงินกว่า 10 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยในที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ส่วนกรณีเสียชีวิตนั้น ขณะนี้มีเพียง 2 รายเท่านั้น วงเงิน 150,000-200,000 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้ง 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท เอไอเอ จ่ายเงินให้แล้ว 612 ราย เป็นเงิน 10.3 ล้านบาท บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จ่ายแล้ว 60 ราย เป็นเงิน 1.6 ล้านบาท และบริษัท อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี จ่ายแล้ว 112 ราย เป็นเงิน 3.3 ล้านบาท

โพลเกือบ100% ชี้หวัดใหญ่น่ากลัว
“สวนดุสิตโพล” สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ที่มีความคิดเห็นต่อสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในประเทศไทย จำนวน 1,194 คน โดยส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 91.67 เห็นว่า สถานการณ์ของโรคไข้หวัด ณ วันนี้ มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น เพราะเชื้อไข้หวัดมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตมีจำนวนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.25 ที่ไม่แน่ใจ
ส่วนความรู้สึกของประชาชน ต่อการแพร่ระบาด ร้อยละ 82.29 ระบุน่ากลัว เพราะมีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว เป็นเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนทางระบบทางเดินหายใจ ทำให้เป็นปอดบวม ร้อยละ 17.71 ระบุไม่น่ากลัว หากรู้จักป้องกันตัวเองอย่างถูกวิธี หมั่นออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์อย่างสม่ำเสมอ ปฏิบัติตามข้อแนะนำที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศออกมา ฯลฯ สาเหตุที่ทำให้จำนวนตัวเลขการเสียชีวิตและยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 25.74 ระบุประชาชนไม่ได้ดูแลตัวเองเท่าที่ควร ร้อยละ 24.75 ระบุมาตรการของรัฐยังไม่รัดกุม ร้อยละ 19.31 ระบุมีการปกปิดข้อมูลข้อเท็จจริงบางประการ นอกจากนี้ ร้อยละ 89.58 เห็นว่ามาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลประกาศออกมายังไม่เพียงพอ มีเพียงร้อยละ 10.42 เท่านั้น ระบุเพียงพอ

แนะทำหน้ากาก-เจลใช้สู้หวัดเอง
ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ แถลงข่าวการจัดประกวดการออกแบบหน้ากากอนามัย ใส่ใจสุขภาพ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนหันมาทำหน้ากากอนามัยใช้เอง และสร้างกระแสให้คนไทยยกย่องคนที่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อป่วยว่า เป็นฮีโร่ เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ในการป้องกันการแพร่กระจายของโรค
นายวิทยากล่าวว่า ข้อมูลองค์การอนามัยโลกพบว่า การใส่หน้ากากอนามัยจะช่วยกรองเชื้อโรคและลดการแพร่กระจายเชื้อโรคที่อยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูกน้ำลาย จากการไอ จาม ไปสู่คนอื่นได้ถึงร้อยละ 90 และการล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังการไอ จาม หรือสัมผัสน้ำมูก จะช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเดินหายใจได้เป็นอย่างดี
ด้านนพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ขณะนี้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้จัดทำสื่อการสอนทำหน้ากากอนามัยชนิดผ้าที่ได้มาตรฐาน ด้วยตนเองและจัดส่งให้อสม.ทุกจังหวัดแล้ว
ส่วนการทำเจลแอลกอฮอล์ล้างมือแบบง่ายๆ แต่มีผลในการฆ่าเชื้อโรคที่ติดมากับมือนั้น มีสูตรการทำที่ไม่ยุ่งยาก มีส่วนประกอบดังนี้คือ กลีเซอรีน แอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซนต์ที่ใช้ล้างแผล และน้ำมันหอมระเหยกลุ่มต่างๆ ตามชอบ หากต้องการเจลขนาด 1,000 ซี.ซี. จะใช้กลีเซอรีน 10 ซี.ซี.หรือขนาด 2 ช้อนชา แอลกอฮอล์ 990 ซี.ซี. คนให้เข้ากัน และเทบรรจุในภาชนะที่มีอยู่เช่น ขวดใส่แชมพูสระผมที่หมดแล้ว และปิดฝาให้สนิท การเก็บควรให้ห่างจากเปลวไฟ เนื่องจากแอลกอฮอล์สามารถระเหยและติดไฟได้

ขานรับโพลพร้อมใช้มาตรการเข้ม
นายวิทยา กล่าวถึงผลสำรวจความคิดเห็นสวนดุสิตโพลที่พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่กลัวโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่และต้องการให้รัฐบาลเร่งหามาตรการควบคุมการแพร่ระบาดและยับยั้งการเสียชีวิตที่เข้มข้นมากขึ้นว่า ขณะนี้สธ.ดำเนินการมาตรการต่างๆ อย่างเต็มที่และพร้อมรับฟังความคิดเห็น ทุกข้อแนะนำ หากประชาชนเห็นว่ามาตรการของสธ.ยังไม่เพียงพอก็จะทำให้มากกว่าเดิม ซึ่งเป็นไปตามข้อแนะนำของทีมนักวิชาการ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจ และเห็นว่าสธ. มีความพร้อมที่จะดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ได้สั่งการให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) วางแผนการทำงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.)ที่มีประมาณ 9 แสนคน รณรงค์ในพื้นที่เนื่องจากขณะนี้โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่แพร่กระจายไปยังจังหวัดแล้ว แต่ยังอยู่ระหว่างการหาวิธีการว่าจะทำอย่างไรได้บ้างเพื่อไม่ให้เกิดการระบาดของโรคเมื่อมีคนมาชุมนุมกันจำนวนมาก
เมื่อถามว่า จะมีการปรับเปลี่ยนคณะทำงานที่เป็นข้าราชการของสธ.ที่ทำงานไม่มีประสิทธิภาพเพื่อให้การทำงานคล่องตัวขึ้นหรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า หากมีปัญหาก็ต้องปรับแต่ตอนนี้ยังไม่มีปัญหา ไม่ควรพูดให้คนที่ทำงานเสียกำลังใจ ที่ผ่านมาอาจมีการสร้างกระแสข่าวเพราะใกล้จะถึงฤดูกาลโยกย้าย

“มานิต”แจกคู่มือผ่านเซเว่น-โลตัส
นายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า ได้ขอความร่วมมือภาคเอกชนเพื่อแจกเอกสารคำแนะนำในกรณีที่เจ็บป่วยให้กับประชาชน เพื่อให้ความรู้ในช่วงการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 โดยจะทำเป็นการ์ดขนาดพกพาเพื่อความสะดวกในการใช้งาน ซึ่งขณะนี้มีภาคเอกชนที่ให้ความช่วยเหลือในการกระจายเอกสารแล้ว คือ ร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น และเทสโก้ โลตัส คาดว่าจะสามารถแจกจ่ายให้กับประชาชนได้ภายในสัปดาห์หน้า เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนเมื่อมีสมาชิกในครัวเรือนเจ็บป่วย ก็จะสามารถปฏิบัติตัวได้อย่างถูกวิธี

ชี้รณรงค์หน้ากากอย่างเดียวไม่ได้ผล
รศ.นพ.ประตาป สิงหศิวานนท์ คณบดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล เปิดเผยว่า การรณรงค์เรื่องการสวมใส่หน้ากากอนามัยป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ของสธ.ที่ดำเนินการเพียงอย่างเดียวนั้นถือว่าไม่เพียงพอ หลายๆ ฝ่ายควรต้องร่วมมือกันอย่างเป็นระบบ ช่วยกันรักษาความสะอาด ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียน แหล่งชุมชน ร้านอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะรถขนส่งสาธารณะ อาทิ รถแท็กซี่ รถเมล์ รถไฟฟ้าหรือรถใต้ดิน รวมถึงรถตู้สาธารณะ เวลาถึงอู่ปลายทางก็ควรทำความสะอาด เอาแอลกอฮอล์มาเช็ดราวและส่วนสัมผัสต่างๆให้ปลอดเชื้อโรค ซึ่งทุกฝ่ายต้องช่วยกัน
สำหรับหน้ากากอนามัยอยากแนะนำประชาชนว่าหากจะเลือกทำใช้เองนั้นก็ควรดูที่รูใยผ้า หากห่างมากโอกาสในการที่เชื้อโรคจะเข้าไปได้ก็มากขึ้น แต่ส่วนใหญ่อย่างน้อยก็ป้องกันได้ประมาณ 50-80%อยู่แล้ว เพราะหน้ากากอนามัยป้องกันไม่ให้มือที่ไปสัมผัสโรคมาแคะจมูก ขยี้ตาให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ ส่วนจะมีสีสันและลวดลายก็ตามใจชอบ จึงอยากให้ประชาชนให้ความสำคัญเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยโดยให้มองว่าเป็นเรื่องปกติ เหมือนครั้งหนึ่งที่แนวทางรณรงค์นี้ถุงยางมีชัย รณรงค์ว่าถุงยางอนามัยเป็นเรื่องธรรมดา

นายกฯเคาะ 3 มาตรการป้องกัน
ที่ทำเนียบรัฐบาล ในการประชุมคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนสสส. เป็นประธาน ได้มีการพิจารณาวาระเร่งด่วน เรื่องการป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ โดยนพ.วิชัย โชควิวัฒน รองประธาน สสส. คนที่ 2 แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้มีมติให้ดำเนินการใน 3 มาตรการที่สำคัญ คือ 1. การจัดระบบจัดการดูแลผู้ป่วย โดยการจัดระบบให้คำแนะนำ บริการรองรับและส่งต่อผู้ป่วยที่ชัดเจน เพื่อสามารถคัดแยกผู้ป่วยแต่ละประเภทออกจากกัน เช่น ผู้เริ่มต้นป่วยมีอาการไข้หวัดควรปฏิบัติตัวอย่างไร ควรพบแพทย์เมื่อใด ลักษณะใดที่ต้องได้รับยาต้านไวรัส ซึ่งการวางระบบจัดการในลักษณะเครือข่ายจะทำให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น
2. การสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน โดยจัดระบบสื่อสารทั้งหมดให้เป็นระบบและสอดคล้องกัน และ มาตรการสุดท้ายคือ วางมาตรการควบคุมโรคอย่างเป็นระบบ และดำเนินการให้เป็นรูปธรรมที่รวดเร็ว เช่น มาตรการป้องกันในโรงเรียน ในสถานประกอบการ ในระบบขนส่งมวลชน และในสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก เช่น โรงภาพยนตร์ สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า รวมทั้งการเตรียมความพร้อมของวัคซีนป้องกันโรคให้เพียงพอต่อสถานการณ์
นพ.วิชัย กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ยังสั่งการให้ สสส.ดำเนินการรณรงค์เพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชน โดยเฉพาะการจัดทำระบบโทรศัพท์สายด่วน พร้อมกันนี้ที่ประชุมยังมีมติให้มีการตั้งคณะอนุกรรมการสนับสนุนการป้องกันการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่ 2009 คณะกรรมการชุดนี้ถือเป็นหน่วยเชิงรุกที่มีความเชี่ยวชาญทางวิชาการ ซึ่งมาจากหน่วยงานหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม โดยมีนพ.มงคล ณ สงขลา เป็นประธาน เพื่อเป็นฝ่ายกำหนดแนวทางในการสนับสนุนรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัด เพื่อมีส่วนเข้าไปสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆอย่างทันท่วงที
กำลังโหลดความคิดเห็น