ASTVผู้จัดการรายวัน - ผู้ถือหุ้นรายย่อยฟ้องบิ๊กแบงก์กรุงเทพกราวรูด 7 คน "ชาตรี-ชาติศิริ-โฆสิต-เดชา-วิระ-ปิติ-ดำรง" อนุมัติเงินกู้ลูกน้อง "คีรี กาญจนพาสน์" 120 ล้าน ข้อหาทุจริตทำให้แบงก์-ผู้ถือหุ้นเสียหาย ผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ขอให้ศาลลงโทษให้พ้นตำแหน่ง ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง 21 ก.ย. "เดชา" โต้แบงก์ต้องฟ้องลูกหนี้เอ็นพีแอล ไม่มีกลั่นแกล้ง
รายงานข่าวจากศาลอาญากรุงเทพใต้ ตามคดีหมายเลขดำที่ 1702/2552 นางนันทนา ชุณหสวัสดิกุลและนายบัณฑูร ชุณหสวัสดิกุล ผู้ถือหุ้นของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) ได้เป็นโจทก์ที่ 1 และ 2 ยื่นฟ้องนายชาตรี โสภณพนิช นายดำรง กฤษณามระ นายปิติ สิทธิอำนวย นายเดชา ตุลานันท์ นายชาติศิริ โสภณพนิช นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ และนายวิระ รมยะรูป เป็นจำเลยที่ 1 ถึง 7 ต่อศาลฯ เมื่อวานนี้ (16 ก.ค.) ในข้อหาเป็นกรรมการซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของ ธนาคาร กรุงเทพฯ ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535
คำบรรยายฟ้องระบุว่า จำเลยกระทำผิดหน้าที่ของตนโดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของธนาคารกรุงเทพ และกระทำการหรือไม่กระทำการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นการเสียหายแก่ธนาคาร อีกทั้งลงข้อความเท็จหรือไม่ลงข้อความอันสำคัญในบัญชีหรือเอกสารของธนาคาร ทำบัญชีไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบันหรือไม่ตรงต่อความเป็นจริง เป็นความผิดตามมาตรา 307, 311 และ 312 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535
เนื่องมาจาก วันที่ 26 มิถุนายน 2540 จำเลยทั้งเจ็ดซึ่งมีตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ ได้มีมติในที่ประชุมฯ อนุมัติให้ธนาคาร ปล่อยสินเชื่อเงินกู้ ให้แก่ลูกน้องนายคีรี กาญจนพาสน์ ซึ่งขณะนั้นลูกน้องนายคีรีไม่เคยเป็นลูกค้าและไม่เคยมีบัญชีเงินฝากใดๆ กับธนาคารกรุงเทพมาก่อน เป็นเงิน 120 ล้านบาท ก่อนการอนุมัติให้ปล่อยสินเชื่อ เจ้าหน้าที่ของธนาคารกรุงเทพไม่ได้จัดทำรายงานว่าลูกค้าจะนำเงินกู้ไปทำอะไร ไม่มีประวัติการทำงานหรือฐานะทางการเงินหรือทรัพย์สิน ไม่มีรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ในการชำระเงินกู้และดอกเบี้ยคืน
การอนุมัติให้ปล่อยสินเชื่อจำนวนมหาศาลดังกล่าว ทำไปตามคำเสนอของผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ สาขาตรอกจันทร์ ที่ระบุว่าหลักประกันของเงินกู้มีที่ดินจำนวนสี่โฉนดของนายคีรีจำนองเป็นประกันและมีนายคีรีค้ำประกันเป็นส่วนตัว แต่ไม่ปรากฏหลักฐานการประเมินราคาที่ดินที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ และในวันดังกล่าว จำเลยทั้งเจ็ดมีมติอนุมัติให้ปล่อยสินเชื่อเงินกู้เป็นการให้สินเชื่อที่กรรมการของธนาคารพาณิชย์ผู้ประกอบการค้าด้วยความระมัดระวังและซื่อสัตย์ไม่พึงกระทำ
"วันที่ 27 มิถุนายน 40 ลูกค้ารายดังกล่าวจึงได้ไปเปิดเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารกรุงเทพ สาขาตรอกจันทร์ 10,000 บาท พร้อมกับทำคำขอสินเชื่อเงินกู้ 120 ล้านบาทในวันเดียวกัน ในวันที่ 30 มิถุนายน 2540 จำเลยทั้งเจ็ดก็จัดการโอนเงินกู้เข้าบัญชีลูกค้าและในวันเดียวกันนั้นเอง จำเลยทั้งเจ็ดก็ให้ลูกค้าถอนเงินกู้ 120 ล้านบาท ออกจากบัญชี และนำเงินสด 112,600,000 บาท ไปเข้าบัญชีเงินฝากของนายคีรีที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาตรอกจันท์ เงินสดส่วนที่เกินอีก 7,600,000 บาท นั้น จำเลยทั้งเจ็ดและพวกได้เก็บไว้เป็นประโยชน์ของตนโดยทุจริตและมิชอบ และในวันเดียวกันนั้นเองจำเลยทั้งเจ็ดก็หักบัญชีเงินฝากของนายคีรี เป็นจำนวน 112 ล้านบาท ไปชำระดอกเบี้ยเงินกู้ที่นายคีรีครบกำหนดที่จะต้องชำระแก่ธนาคารกรุงเทพ" คำบรรยายฟ้องระบุ
การปล่อยสินเชื่อของจำเลยทั้ง 7 จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติการธนาคารพาณชิย์ พ.ศ. 2505 และกฎหมาย ระเบียบ และคำสั่งต่างๆของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดังนี้คือ 1.เป็นการปล่อยสินเชื่อในลักษณะที่เล็งเห็นได้ว่าจะเรียกคืนไม่ได้ ตามประกาศของ ธปท.ฉบับลงวันที่ 4 ตุลาคม 2532 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ทั้งข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาว่าลูกน้องนายคีรีได้ผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยเงินกู้และผิดสัญญาไม่ชำระต้นเงินกู้คืนแก่ธนาคารกรุงเทพ จนธนาคารต้องเป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 569/2544 แต่ต่อมาธนาคารกรุงเทพ ก็ต้องถอนฟ้องคดีดังกล่าวไปจากศาล โดยไม่สามารถบังคับชำระหนี้จากลูกค้า
2.จำเลยทั้งเจ็ดกระทำไปโดยมีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชี หรือหลีกเลี่ยงการกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ เมื่อสิ้นงวดบัญชีในวันที่ 30 มิถุนายน 2540 ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 15 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 กล่าวคือ ในวันที่ 30 มิถุนายน 2540 ซึ่งเป็นวันสิ้นงวดการบัญชีครึ่งปีของธนาคารนั้น จำเลยทั้งเจ็ดซึ่งรู้ดีอยู่ก่อนว่านายคีรีไม่สามารถที่จะชำระดอกเบี้ยอันเกิดจากสินเชื่อที่มีอยู่กับธนาคารกรุงเทพ เป็นจำนวนดอกเบี้ยถึง 112 ล้านบาท จึงได้หลีกเลี่ยงมาตรา 15 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ดังกล่าว โดยการปล่อยสินเชื่อ 120 ล้านบาทให้แก่ลูกน้องนายคีรีเพื่อให้ส่งต่อให้นายคีรีเพื่อนำเงิน 112 ล้านบาท ไปชำระค่าดอกเบี้ยแก่ธนาคารกรุงเทพ ในวันสิ้นงวดการบัญชีครึ่งปี ทำให้ธนาคารไม่ต้องตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชี หรือไม่ต้องกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยจะเรียกคืนไม่ได้ หรือที่เรียกกันว่าเป็นการ “ตกแต่งบัญชี”
โจทก์ได้ร้องเรียนการกระทำของจำเลยทั้งเจ็ดต่อ ธปท.และได้รับแจ้งว่า ธปท.พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 และได้ทำการลงโทษธนาคารกรุงเทพไปแล้ว แต่โจทก์ยังเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้งเจ็ดเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คือ 1.มาตรา 307มาตรา 311 มาตรา 312
จากการกระทำตามฟ้องของจำเลยทั้งเจ็ด แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งเจ็ด ซึ่งเป็นกรรมการบริหารของธนาคารกรุงเทพ (BBL) ที่มีหุ้นจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ยังได้กระทำฝ่าฝืนต่อหน้าที่และความรับผิดชอบของกรรมการและผู้บริหารตามบทบัญญัติในส่วนที่ 2 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/7 2.มาตรา 89/8 มาตรา 89/10 และด้วยเหตุที่การกระทำของจำเลยทั้งเจ็ดเป็นการฝ่าฝืนต่อหน้าที่และความรับผิดชอบของกรรมการและผู้บริหาร จึงทำให้จำเลยทั้งเจ็ดขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในกฏหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด รวมทั้งมีลักษณะต้องห้ามที่แสดงถึงการขาดความเหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารจัดการกิจการที่มีมหาชนเป็นผู้ถือหุ้น ตามมาตรา 89/3 จำเลยทั้งเจ็ดจึงต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการของธนาคาร และจะดำรงตำแหน่งผู้บริหารของธนาคารต่อไปไม่ได้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 89/6
โจทก์ทั้งสองจึงขอให้ศาลพิพากษาออกหมายเรียกจำเลยทั้งเจ็ดมาลงโทษตามกฎหมายและให้จำเลยทั้งเจ็ดพ้นจากตำแหน่งกรรมการของธนาคารกรุงเทพและห้ามมิให้จำเลยทั้งเจ็ดดำรงตำแหน่งกรรมการหรือผู้บริหารใดๆ ของธนาคารกรุงเทพอีกต่อไป
ทั้งนี้ ศาลได้นัดไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในวันที่ 25 สิงหาคม 52 เวลา 9.00น. และนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 21 กันยายน 52 เวลา 9.00น.
***แบงก์โต้ทำตามระเบียบเอ็นพีแอล
นายเดชา ตุลานันท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และเป็น 1 ในผู้ถูกฟ้องร้อง ชี้แจงว่า ธนาคารไม่มีการกลั่นแกล้งลูกหนี้ โดยยอมรับว่าก่อนหน้าที่นายบัณฑูรจะฟ้องร้องต่อศาล ธนาคารได้ยื่นฟ้องบริษัทอาร์เคนิจิโกะและฟ้องล้มละลายนายบัณฑูรในฐานะเป็นผู้คำประกันหนี้ ถือเป็นการฟ้องร้องลูกหนี้เอ็นพีแอลตามปกติและเป็นไปตามระเบียบธนาคาร ส่วนเบื้องหน้าเบื้องหลังกรณีที่นายบัณฑูรเคยเป็นทนายให้ลูกหนี้ที่แบงก์ฟ้องล้มละลายจนลูกหนี้ชนะนั้น ไม่เกี่ยวกัน
"แบงก์ทำตามขั้นตอนปกติกับลูกหนี้เอ็นพีแอลเหมือนกับที่ทำกับลูกหนี้ทั่วไป ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ขณะนี้ได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายของธนาคารเป็นผู้ดำเนินการ" นายเดชากล่าว.
รายงานข่าวจากศาลอาญากรุงเทพใต้ ตามคดีหมายเลขดำที่ 1702/2552 นางนันทนา ชุณหสวัสดิกุลและนายบัณฑูร ชุณหสวัสดิกุล ผู้ถือหุ้นของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) ได้เป็นโจทก์ที่ 1 และ 2 ยื่นฟ้องนายชาตรี โสภณพนิช นายดำรง กฤษณามระ นายปิติ สิทธิอำนวย นายเดชา ตุลานันท์ นายชาติศิริ โสภณพนิช นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ และนายวิระ รมยะรูป เป็นจำเลยที่ 1 ถึง 7 ต่อศาลฯ เมื่อวานนี้ (16 ก.ค.) ในข้อหาเป็นกรรมการซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของ ธนาคาร กรุงเทพฯ ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535
คำบรรยายฟ้องระบุว่า จำเลยกระทำผิดหน้าที่ของตนโดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของธนาคารกรุงเทพ และกระทำการหรือไม่กระทำการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นการเสียหายแก่ธนาคาร อีกทั้งลงข้อความเท็จหรือไม่ลงข้อความอันสำคัญในบัญชีหรือเอกสารของธนาคาร ทำบัญชีไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบันหรือไม่ตรงต่อความเป็นจริง เป็นความผิดตามมาตรา 307, 311 และ 312 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535
เนื่องมาจาก วันที่ 26 มิถุนายน 2540 จำเลยทั้งเจ็ดซึ่งมีตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ ได้มีมติในที่ประชุมฯ อนุมัติให้ธนาคาร ปล่อยสินเชื่อเงินกู้ ให้แก่ลูกน้องนายคีรี กาญจนพาสน์ ซึ่งขณะนั้นลูกน้องนายคีรีไม่เคยเป็นลูกค้าและไม่เคยมีบัญชีเงินฝากใดๆ กับธนาคารกรุงเทพมาก่อน เป็นเงิน 120 ล้านบาท ก่อนการอนุมัติให้ปล่อยสินเชื่อ เจ้าหน้าที่ของธนาคารกรุงเทพไม่ได้จัดทำรายงานว่าลูกค้าจะนำเงินกู้ไปทำอะไร ไม่มีประวัติการทำงานหรือฐานะทางการเงินหรือทรัพย์สิน ไม่มีรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ในการชำระเงินกู้และดอกเบี้ยคืน
การอนุมัติให้ปล่อยสินเชื่อจำนวนมหาศาลดังกล่าว ทำไปตามคำเสนอของผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ สาขาตรอกจันทร์ ที่ระบุว่าหลักประกันของเงินกู้มีที่ดินจำนวนสี่โฉนดของนายคีรีจำนองเป็นประกันและมีนายคีรีค้ำประกันเป็นส่วนตัว แต่ไม่ปรากฏหลักฐานการประเมินราคาที่ดินที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ และในวันดังกล่าว จำเลยทั้งเจ็ดมีมติอนุมัติให้ปล่อยสินเชื่อเงินกู้เป็นการให้สินเชื่อที่กรรมการของธนาคารพาณิชย์ผู้ประกอบการค้าด้วยความระมัดระวังและซื่อสัตย์ไม่พึงกระทำ
"วันที่ 27 มิถุนายน 40 ลูกค้ารายดังกล่าวจึงได้ไปเปิดเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารกรุงเทพ สาขาตรอกจันทร์ 10,000 บาท พร้อมกับทำคำขอสินเชื่อเงินกู้ 120 ล้านบาทในวันเดียวกัน ในวันที่ 30 มิถุนายน 2540 จำเลยทั้งเจ็ดก็จัดการโอนเงินกู้เข้าบัญชีลูกค้าและในวันเดียวกันนั้นเอง จำเลยทั้งเจ็ดก็ให้ลูกค้าถอนเงินกู้ 120 ล้านบาท ออกจากบัญชี และนำเงินสด 112,600,000 บาท ไปเข้าบัญชีเงินฝากของนายคีรีที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาตรอกจันท์ เงินสดส่วนที่เกินอีก 7,600,000 บาท นั้น จำเลยทั้งเจ็ดและพวกได้เก็บไว้เป็นประโยชน์ของตนโดยทุจริตและมิชอบ และในวันเดียวกันนั้นเองจำเลยทั้งเจ็ดก็หักบัญชีเงินฝากของนายคีรี เป็นจำนวน 112 ล้านบาท ไปชำระดอกเบี้ยเงินกู้ที่นายคีรีครบกำหนดที่จะต้องชำระแก่ธนาคารกรุงเทพ" คำบรรยายฟ้องระบุ
การปล่อยสินเชื่อของจำเลยทั้ง 7 จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติการธนาคารพาณชิย์ พ.ศ. 2505 และกฎหมาย ระเบียบ และคำสั่งต่างๆของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดังนี้คือ 1.เป็นการปล่อยสินเชื่อในลักษณะที่เล็งเห็นได้ว่าจะเรียกคืนไม่ได้ ตามประกาศของ ธปท.ฉบับลงวันที่ 4 ตุลาคม 2532 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ทั้งข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาว่าลูกน้องนายคีรีได้ผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยเงินกู้และผิดสัญญาไม่ชำระต้นเงินกู้คืนแก่ธนาคารกรุงเทพ จนธนาคารต้องเป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 569/2544 แต่ต่อมาธนาคารกรุงเทพ ก็ต้องถอนฟ้องคดีดังกล่าวไปจากศาล โดยไม่สามารถบังคับชำระหนี้จากลูกค้า
2.จำเลยทั้งเจ็ดกระทำไปโดยมีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชี หรือหลีกเลี่ยงการกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยว่าจะไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ เมื่อสิ้นงวดบัญชีในวันที่ 30 มิถุนายน 2540 ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 15 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 กล่าวคือ ในวันที่ 30 มิถุนายน 2540 ซึ่งเป็นวันสิ้นงวดการบัญชีครึ่งปีของธนาคารนั้น จำเลยทั้งเจ็ดซึ่งรู้ดีอยู่ก่อนว่านายคีรีไม่สามารถที่จะชำระดอกเบี้ยอันเกิดจากสินเชื่อที่มีอยู่กับธนาคารกรุงเทพ เป็นจำนวนดอกเบี้ยถึง 112 ล้านบาท จึงได้หลีกเลี่ยงมาตรา 15 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ดังกล่าว โดยการปล่อยสินเชื่อ 120 ล้านบาทให้แก่ลูกน้องนายคีรีเพื่อให้ส่งต่อให้นายคีรีเพื่อนำเงิน 112 ล้านบาท ไปชำระค่าดอกเบี้ยแก่ธนาคารกรุงเทพ ในวันสิ้นงวดการบัญชีครึ่งปี ทำให้ธนาคารไม่ต้องตัดสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้ออกจากบัญชี หรือไม่ต้องกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่สงสัยจะเรียกคืนไม่ได้ หรือที่เรียกกันว่าเป็นการ “ตกแต่งบัญชี”
โจทก์ได้ร้องเรียนการกระทำของจำเลยทั้งเจ็ดต่อ ธปท.และได้รับแจ้งว่า ธปท.พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 และได้ทำการลงโทษธนาคารกรุงเทพไปแล้ว แต่โจทก์ยังเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้งเจ็ดเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คือ 1.มาตรา 307มาตรา 311 มาตรา 312
จากการกระทำตามฟ้องของจำเลยทั้งเจ็ด แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งเจ็ด ซึ่งเป็นกรรมการบริหารของธนาคารกรุงเทพ (BBL) ที่มีหุ้นจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ยังได้กระทำฝ่าฝืนต่อหน้าที่และความรับผิดชอบของกรรมการและผู้บริหารตามบทบัญญัติในส่วนที่ 2 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/7 2.มาตรา 89/8 มาตรา 89/10 และด้วยเหตุที่การกระทำของจำเลยทั้งเจ็ดเป็นการฝ่าฝืนต่อหน้าที่และความรับผิดชอบของกรรมการและผู้บริหาร จึงทำให้จำเลยทั้งเจ็ดขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้ในกฏหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด รวมทั้งมีลักษณะต้องห้ามที่แสดงถึงการขาดความเหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารจัดการกิจการที่มีมหาชนเป็นผู้ถือหุ้น ตามมาตรา 89/3 จำเลยทั้งเจ็ดจึงต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการของธนาคาร และจะดำรงตำแหน่งผู้บริหารของธนาคารต่อไปไม่ได้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 89/6
โจทก์ทั้งสองจึงขอให้ศาลพิพากษาออกหมายเรียกจำเลยทั้งเจ็ดมาลงโทษตามกฎหมายและให้จำเลยทั้งเจ็ดพ้นจากตำแหน่งกรรมการของธนาคารกรุงเทพและห้ามมิให้จำเลยทั้งเจ็ดดำรงตำแหน่งกรรมการหรือผู้บริหารใดๆ ของธนาคารกรุงเทพอีกต่อไป
ทั้งนี้ ศาลได้นัดไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในวันที่ 25 สิงหาคม 52 เวลา 9.00น. และนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 21 กันยายน 52 เวลา 9.00น.
***แบงก์โต้ทำตามระเบียบเอ็นพีแอล
นายเดชา ตุลานันท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และเป็น 1 ในผู้ถูกฟ้องร้อง ชี้แจงว่า ธนาคารไม่มีการกลั่นแกล้งลูกหนี้ โดยยอมรับว่าก่อนหน้าที่นายบัณฑูรจะฟ้องร้องต่อศาล ธนาคารได้ยื่นฟ้องบริษัทอาร์เคนิจิโกะและฟ้องล้มละลายนายบัณฑูรในฐานะเป็นผู้คำประกันหนี้ ถือเป็นการฟ้องร้องลูกหนี้เอ็นพีแอลตามปกติและเป็นไปตามระเบียบธนาคาร ส่วนเบื้องหน้าเบื้องหลังกรณีที่นายบัณฑูรเคยเป็นทนายให้ลูกหนี้ที่แบงก์ฟ้องล้มละลายจนลูกหนี้ชนะนั้น ไม่เกี่ยวกัน
"แบงก์ทำตามขั้นตอนปกติกับลูกหนี้เอ็นพีแอลเหมือนกับที่ทำกับลูกหนี้ทั่วไป ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ขณะนี้ได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายของธนาคารเป็นผู้ดำเนินการ" นายเดชากล่าว.