ไม่มีใครปฏิเสธหรอกครับว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ของเรามีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและเป็นคนมีวาทศิลป์
เปรียบเหมือนสินค้าที่มีแพกเกจจิ้งสวยและทำการตลาดดี คุณอภิสิทธิ์จึงมีความสามารถในการทำให้คนฟังหลงเคลิ้มกับรูปลักษณ์ภายนอกมากกว่าเนื้อหาที่แท้จริงของสิ่งที่นำเสนอหรือปรากฏออกมาจากการกระทำที่แท้จริง
แต่ผมรับไม่ได้กับคำพูดของอภิสิทธิ์ ในกรณีที่พันธมิตรฯ ถูกแจ้งข้อหาเท็จว่า เป็นผู้ก่อการร้ายปิดสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะคำพูดนี้ เป็นคำพูดที่เอาดีใส่ตัว และเอาชั่วใส่คนอื่นซึ่งเป็นนิสัยดั้งเดิมของพรรคประชาธิปัตย์
อภิสิทธิ์ บอกว่า ถ้าผมต้องเป็นคนไปชี้ว่าใครถูกผิด คิดว่านั่นคือเรื่องอันตรายที่สุด ที่บ้านเมืองต้องวิกฤตมาจนถึงวันนี้ก็เพราะมีฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซงกระบวนการเหล่านี้ ต้องปล่อยให้กระบวนการเหล่านี้ทำงาน เขาทำถูกทำผิดก็ต้องรับผิดชอบ ทุกคนต้องได้รับโอกาสในการต่อสู้ ผมให้ความมั่นใจว่าทุกคนจะต้องต่อสู้ด้วยความเป็นธรรม ถ้าอีกกลุ่มหนึ่งไม่ยอมรับตำรวจ อีกกลุ่มไม่ยอมรับศาล สุดท้ายต้องเป็นเรื่องของนักการเมืองไปชี้ ผมมองว่าระบบจะพังหมด
“ผมไม่ได้ลอยตัว ดำรงความเป็นกลางอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องลอยตัว การลอยตัวคือการหนีความรับผิดชอบ แต่นี่ผมรับผิดชอบจะสร้างบรรทัดฐานว่าคนเป็นผู้นำทางการเมืองจะไม่แทรกแซงหรือไม่ยุ่งเกี่ยวกับคดีความ นอกจากเร่งรัดหรือมีการร้องเรียน อย่างเช่นการร้องเรียนขอเปลี่ยนพนักงานสอบสวนเราก็ดูให้ แต่ถ้าต้องสั่งคดีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่ และคนที่ไม่ทำ ทำถูกต้อง ไม่ใช่ลอยตัว”
คำพูดข้างบนนั้นฟังแล้วดูดี แต่ฟังดีๆ แล้ว เหมือนกับพยายามจะบอกว่า พันธมิตรฯ ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม และพยายามเรียกร้องให้รัฐบาลเข้าไปบิดเบือนคดี แต่รัฐบาลไม่ทำ
คำพูดนี้จะเจตนาหรือไม่ก็ตาม แต่เป็นการสร้างความเข้าใจผิดที่บิดเบือนต่อสังคม เพราะพันธมิตรฯ ไม่ได้เคยเรียกร้องให้รัฐบาลสั่งคดีตามที่ตัวเองต้องการ แต่ที่พันธมิตรฯ ต่อสู้ก็คือ ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรม และเป็นเท็จ
อำนาจสอบสวนและการแจ้งข้อกล่าวหาเป็นของตำรวจก็จริง แต่รัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารก็ต้องกำชับและให้นโยบายกับตำรวจว่า ต้องสั่งคดีอย่างเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแดงหรือเสื้อเหลือง
แต่อภิสิทธิ์ไม่ทำ ท่องคัมภีร์อยู่แต่ว่า “ผมเป็นกลาง”
ผมไม่รู้ว่า “การดำรงความเป็นกลางอย่างที่ควรจะเป็น” ของอภิสิทธิ์คืออะไร แต่ผมอยากจะถามว่า คุณอภิสิทธิ์ยืนตัวตรงแล้วก้มลงมองตัวเอง เห็นอะไรอยู่ตรงกลางนั่นคือ ความเป็นกลางใช่ไหมครับ สิ่งนั้นคือความหมายที่เป็นกลางของคุณอภิสิทธิ์ใช่ไหมครับ
พอคุณธานีที่ทำคดีคุณสนธิ ออกมาบอกว่า เจอ “ตอ” นายกรัฐมนตรีก็นั่งเฉย เพราะ “ตอ” นั้นมันค้ำเก้าอี้ และค้ำความเป็นกลางที่ว่าอยู่ใช่ไหมครับ
ผมคิดว่า ไม่ใช่อภิสิทธิ์ไม่รู้ว่า ความ “อยุติธรรม” ของกระบวนการยุติธรรมเป็นต้นเหตุหนึ่งของความแตกแยกของบ้านเมืองทุกวันนี้ แต่เข้าใจว่า คุณอภิสิทธิ์ต้องการแสดงความเป็นกลางเพื่อให้เสื้อแดงเห็นว่า รัฐบาลนี้ไม่ได้ดำเนินการ 2 มาตรฐาน
เหมือนกับพยายามจะเชิญชวนวีระ มุสิกพงศ์มาเป็นโฆษกในรายการวันอาทิตย์ของตัวเองที่จืดชืดและไม่มีคนดู โดยให้เหตุผลว่า เพื่อหวังให้คนเสื้อแดงเข้าใจรัฐบาลมากขึ้น และพยายามทำให้คนเสื้อแดงเห็นว่า เขาไม่ได้เป็นพวกกับเสื้อเหลือง
แต่ผมถามหน่อยว่า หน้าที่ของนายกรัฐมนตรีคืออะไร ทำไมกฎหมายจึงให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี หรือตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเพียงสัญลักษณ์ ที่ไม่มีชีวิตจิตใจ
หรือเพราะอภิสิทธิ์เข้าใจอย่างนี้ใช่ไหมครับ วันๆ ผมจึงเห็นนายกรัฐมนตรีได้แต่ไปเป็นประธานตัดริบบิ้น เปิดนิทรรศการ นายกฯ ชวนถูกกล่าวหาว่า เป็นปลัดประเทศ ผมว่า ก็แย่แล้ว แต่คุณอภิสิทธิ์เป็นยิ่งกว่า คือ เป็นแค่ผู้อำนวยการกองประเทศ เพราะไปแย่งงานที่ข้าราชการระดับผู้อำนวยการกองทำ แต่พองานที่ควรจะทำ ไม่ทำ บอกว่า “ผมเป็นกลาง”
แน่นอนว่า พันธมิตรฯ ส่วนใหญ่นั้นเกลียดระบอบทักษิณ และเห็นว่า อภิสิทธิ์นั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ก่อนนั้นผมก็คิดเช่นนั้น แต่เมื่ออภิสิทธิ์ปอกเปลือกให้เห็นเนื้อในของตัวเอง ในแต่ละเรื่อง ผมคิดว่า ความคิดของหลายคนกำลังเปลี่ยนไป
ลำพังความคิดของผมเปลี่ยนไปก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่มันน่าเศร้าตรงที่ว่า เมื่อเราอยู่ภายใต้การปกครองของคุณอภิสิทธิ์ มันได้ทำให้ค่านิยมที่ดีงามของคนไทยเปลี่ยนไป กลายเป็นสังคมไทยมีค่านิยมว่า มีผู้บริหารประเทศที่โกงไม่เป็นไร แต่ขอให้ทำงานเป็น
ผมไม่รู้ว่า หลังอภิสิทธิ์สะท้อนเนื้อในของตัวเองออกมาอย่างนี้แล้ว จะทำให้เสื้อแดงรักอภิสิทธิ์ขึ้นมาบ้างหรือไม่ แต่ผมเชื่อว่า ทำให้พันธมิตรฯ หลายคนได้มีสติยั้งคิดและทบทวน
หลายคนรู้ว่า การเป็นศัตรูกับประชาธิปัตย์นั้น ทำให้ระบอบทักษิณได้ประโยชน์ แต่ใครกันแน่ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ประชาธิปัตย์หรือพันธมิตรฯ
ตลกมากเลยครับ ที่ผมได้ยินอภิสิทธิ์พูดว่า มีคนบางกลุ่มคัดค้านต่อต้านการทำงานของรัฐบาลและการลงพื้นที่ของรัฐบาล คนกลุ่มนี้มีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และมีเป้าหมายเพื่อ ทักษิณ ดังนั้นจะให้บ้านเมืองเรียบร้อย 100% คงไม่ได้
แล้วถามเถอะว่า วันนี้รัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์ทำอะไรบ้าง นอกจากทำลายมิตร รัฐบาลได้ใช้เครื่องมือกลไกหน่วยงานสื่อสารของรัฐทำให้ประชาชนเข้าใจถึงอันตรายของระบอบทักษิณหรือไม่ รัฐบาลได้ทำให้เห็นถึงภยันตรายที่สถาบันสูงสุดกำลังถูกบั่นทอนหรือไม่
เห็นแต่สิ่งที่คุณอภิสิทธิ์ทำในวันนี้ คือ กำลังเดินย่ำรอยทุกก้าวของทักษิณ
เหมือนที่ทักษิณเตือนว่า ระวังตกอยู่ในมนตร์ดำของหมอผีเขมรอย่างที่ตัวเองเคยเป็น ภาพของอภิสิทธิ์ขี่รถอีแต๋นที่บุรีรัมย์นั้น ไม่แตกต่างกับภาพของทักษิณที่เคยเดินตามหลังเนวินเลย
อภิสิทธิ์หลงเคลิ้มกับมวลชนที่เนวินกะเกณฑ์มา ไม่ใส่ใจเลยว่า มวลชนของพรรคประชาธิปัตย์ในอีสานจะคิดอย่างไร เหมือนกับไม่ใส่ใจว่า พันธมิตรฯ ซึ่งเป็นมิตรจะคิดอย่างไร
วันนี้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ได้ทำอะไรบ้างในสิ่งที่ตัวเองคัดค้านบ้าง และได้ทำงานอะไรที่สะท้อน ประสิทธิภาพบ้าง นอกจากความล้มเหลวในทุกๆ ด้าน
เรื่อง สนามบินสุวรรณภูมิ อภิสิทธิ์แสดงท่าทีว่า ไม่เห็นด้วยที่ให้ย้ายสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วสุดท้ายพูดไม่กี่วันกระทรวงคมนาคมก็สั่งให้ย้ายไปทันที
ปัญหาประสาทพระวิหาร ที่อภิสิทธิ์เคยคัดค้านในสมัยที่เป็นฝ่ายค้าน วันนี้ทำท่าจะเดินทับรอยกับที่ตัวเองเคยคัดค้าน กรณีรถเมล์เอ็นจีวี ก็ไม่กล้าตัดสินใจพยายามซื้อเวลา และโยนให้หน่วยงานอื่นตัดสินใจ ฯลฯ
พอมีอำนาจแล้ว ความกล้าหาญที่แสดงผ่านฝีปากคมกล้าในสมัยที่เป็นฝ่ายค้านหายไปไหนหมด
แม่ยกกองเชียร์คุณอภิสิทธิ์จะโต้แย้งก็โต้มาเถอะครับ แต่บอกด้วยว่าที่ผมเขียนมานั้นตรงไหนไม่จริง
คุณอภิสิทธิ์ครับแสดงภาวะผู้นำ และสติปัญญาที่จะนำพาประเทศออกมาหน่อยเถอะครับ
เพราะผมไม่อยากแนะนำคุณอภิสิทธิ์ด้วยรักว่า รูปหล่อ คารมดี แม่ยกมากอย่างนี้ เป็นพระเอกลิเกน่าจะเหมาะกว่าครับ
เปรียบเหมือนสินค้าที่มีแพกเกจจิ้งสวยและทำการตลาดดี คุณอภิสิทธิ์จึงมีความสามารถในการทำให้คนฟังหลงเคลิ้มกับรูปลักษณ์ภายนอกมากกว่าเนื้อหาที่แท้จริงของสิ่งที่นำเสนอหรือปรากฏออกมาจากการกระทำที่แท้จริง
แต่ผมรับไม่ได้กับคำพูดของอภิสิทธิ์ ในกรณีที่พันธมิตรฯ ถูกแจ้งข้อหาเท็จว่า เป็นผู้ก่อการร้ายปิดสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะคำพูดนี้ เป็นคำพูดที่เอาดีใส่ตัว และเอาชั่วใส่คนอื่นซึ่งเป็นนิสัยดั้งเดิมของพรรคประชาธิปัตย์
อภิสิทธิ์ บอกว่า ถ้าผมต้องเป็นคนไปชี้ว่าใครถูกผิด คิดว่านั่นคือเรื่องอันตรายที่สุด ที่บ้านเมืองต้องวิกฤตมาจนถึงวันนี้ก็เพราะมีฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซงกระบวนการเหล่านี้ ต้องปล่อยให้กระบวนการเหล่านี้ทำงาน เขาทำถูกทำผิดก็ต้องรับผิดชอบ ทุกคนต้องได้รับโอกาสในการต่อสู้ ผมให้ความมั่นใจว่าทุกคนจะต้องต่อสู้ด้วยความเป็นธรรม ถ้าอีกกลุ่มหนึ่งไม่ยอมรับตำรวจ อีกกลุ่มไม่ยอมรับศาล สุดท้ายต้องเป็นเรื่องของนักการเมืองไปชี้ ผมมองว่าระบบจะพังหมด
“ผมไม่ได้ลอยตัว ดำรงความเป็นกลางอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องลอยตัว การลอยตัวคือการหนีความรับผิดชอบ แต่นี่ผมรับผิดชอบจะสร้างบรรทัดฐานว่าคนเป็นผู้นำทางการเมืองจะไม่แทรกแซงหรือไม่ยุ่งเกี่ยวกับคดีความ นอกจากเร่งรัดหรือมีการร้องเรียน อย่างเช่นการร้องเรียนขอเปลี่ยนพนักงานสอบสวนเราก็ดูให้ แต่ถ้าต้องสั่งคดีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่ และคนที่ไม่ทำ ทำถูกต้อง ไม่ใช่ลอยตัว”
คำพูดข้างบนนั้นฟังแล้วดูดี แต่ฟังดีๆ แล้ว เหมือนกับพยายามจะบอกว่า พันธมิตรฯ ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม และพยายามเรียกร้องให้รัฐบาลเข้าไปบิดเบือนคดี แต่รัฐบาลไม่ทำ
คำพูดนี้จะเจตนาหรือไม่ก็ตาม แต่เป็นการสร้างความเข้าใจผิดที่บิดเบือนต่อสังคม เพราะพันธมิตรฯ ไม่ได้เคยเรียกร้องให้รัฐบาลสั่งคดีตามที่ตัวเองต้องการ แต่ที่พันธมิตรฯ ต่อสู้ก็คือ ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรม และเป็นเท็จ
อำนาจสอบสวนและการแจ้งข้อกล่าวหาเป็นของตำรวจก็จริง แต่รัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารก็ต้องกำชับและให้นโยบายกับตำรวจว่า ต้องสั่งคดีอย่างเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแดงหรือเสื้อเหลือง
แต่อภิสิทธิ์ไม่ทำ ท่องคัมภีร์อยู่แต่ว่า “ผมเป็นกลาง”
ผมไม่รู้ว่า “การดำรงความเป็นกลางอย่างที่ควรจะเป็น” ของอภิสิทธิ์คืออะไร แต่ผมอยากจะถามว่า คุณอภิสิทธิ์ยืนตัวตรงแล้วก้มลงมองตัวเอง เห็นอะไรอยู่ตรงกลางนั่นคือ ความเป็นกลางใช่ไหมครับ สิ่งนั้นคือความหมายที่เป็นกลางของคุณอภิสิทธิ์ใช่ไหมครับ
พอคุณธานีที่ทำคดีคุณสนธิ ออกมาบอกว่า เจอ “ตอ” นายกรัฐมนตรีก็นั่งเฉย เพราะ “ตอ” นั้นมันค้ำเก้าอี้ และค้ำความเป็นกลางที่ว่าอยู่ใช่ไหมครับ
ผมคิดว่า ไม่ใช่อภิสิทธิ์ไม่รู้ว่า ความ “อยุติธรรม” ของกระบวนการยุติธรรมเป็นต้นเหตุหนึ่งของความแตกแยกของบ้านเมืองทุกวันนี้ แต่เข้าใจว่า คุณอภิสิทธิ์ต้องการแสดงความเป็นกลางเพื่อให้เสื้อแดงเห็นว่า รัฐบาลนี้ไม่ได้ดำเนินการ 2 มาตรฐาน
เหมือนกับพยายามจะเชิญชวนวีระ มุสิกพงศ์มาเป็นโฆษกในรายการวันอาทิตย์ของตัวเองที่จืดชืดและไม่มีคนดู โดยให้เหตุผลว่า เพื่อหวังให้คนเสื้อแดงเข้าใจรัฐบาลมากขึ้น และพยายามทำให้คนเสื้อแดงเห็นว่า เขาไม่ได้เป็นพวกกับเสื้อเหลือง
แต่ผมถามหน่อยว่า หน้าที่ของนายกรัฐมนตรีคืออะไร ทำไมกฎหมายจึงให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี หรือตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเพียงสัญลักษณ์ ที่ไม่มีชีวิตจิตใจ
หรือเพราะอภิสิทธิ์เข้าใจอย่างนี้ใช่ไหมครับ วันๆ ผมจึงเห็นนายกรัฐมนตรีได้แต่ไปเป็นประธานตัดริบบิ้น เปิดนิทรรศการ นายกฯ ชวนถูกกล่าวหาว่า เป็นปลัดประเทศ ผมว่า ก็แย่แล้ว แต่คุณอภิสิทธิ์เป็นยิ่งกว่า คือ เป็นแค่ผู้อำนวยการกองประเทศ เพราะไปแย่งงานที่ข้าราชการระดับผู้อำนวยการกองทำ แต่พองานที่ควรจะทำ ไม่ทำ บอกว่า “ผมเป็นกลาง”
แน่นอนว่า พันธมิตรฯ ส่วนใหญ่นั้นเกลียดระบอบทักษิณ และเห็นว่า อภิสิทธิ์นั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ก่อนนั้นผมก็คิดเช่นนั้น แต่เมื่ออภิสิทธิ์ปอกเปลือกให้เห็นเนื้อในของตัวเอง ในแต่ละเรื่อง ผมคิดว่า ความคิดของหลายคนกำลังเปลี่ยนไป
ลำพังความคิดของผมเปลี่ยนไปก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่มันน่าเศร้าตรงที่ว่า เมื่อเราอยู่ภายใต้การปกครองของคุณอภิสิทธิ์ มันได้ทำให้ค่านิยมที่ดีงามของคนไทยเปลี่ยนไป กลายเป็นสังคมไทยมีค่านิยมว่า มีผู้บริหารประเทศที่โกงไม่เป็นไร แต่ขอให้ทำงานเป็น
ผมไม่รู้ว่า หลังอภิสิทธิ์สะท้อนเนื้อในของตัวเองออกมาอย่างนี้แล้ว จะทำให้เสื้อแดงรักอภิสิทธิ์ขึ้นมาบ้างหรือไม่ แต่ผมเชื่อว่า ทำให้พันธมิตรฯ หลายคนได้มีสติยั้งคิดและทบทวน
หลายคนรู้ว่า การเป็นศัตรูกับประชาธิปัตย์นั้น ทำให้ระบอบทักษิณได้ประโยชน์ แต่ใครกันแน่ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ประชาธิปัตย์หรือพันธมิตรฯ
ตลกมากเลยครับ ที่ผมได้ยินอภิสิทธิ์พูดว่า มีคนบางกลุ่มคัดค้านต่อต้านการทำงานของรัฐบาลและการลงพื้นที่ของรัฐบาล คนกลุ่มนี้มีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และมีเป้าหมายเพื่อ ทักษิณ ดังนั้นจะให้บ้านเมืองเรียบร้อย 100% คงไม่ได้
แล้วถามเถอะว่า วันนี้รัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์ทำอะไรบ้าง นอกจากทำลายมิตร รัฐบาลได้ใช้เครื่องมือกลไกหน่วยงานสื่อสารของรัฐทำให้ประชาชนเข้าใจถึงอันตรายของระบอบทักษิณหรือไม่ รัฐบาลได้ทำให้เห็นถึงภยันตรายที่สถาบันสูงสุดกำลังถูกบั่นทอนหรือไม่
เห็นแต่สิ่งที่คุณอภิสิทธิ์ทำในวันนี้ คือ กำลังเดินย่ำรอยทุกก้าวของทักษิณ
เหมือนที่ทักษิณเตือนว่า ระวังตกอยู่ในมนตร์ดำของหมอผีเขมรอย่างที่ตัวเองเคยเป็น ภาพของอภิสิทธิ์ขี่รถอีแต๋นที่บุรีรัมย์นั้น ไม่แตกต่างกับภาพของทักษิณที่เคยเดินตามหลังเนวินเลย
อภิสิทธิ์หลงเคลิ้มกับมวลชนที่เนวินกะเกณฑ์มา ไม่ใส่ใจเลยว่า มวลชนของพรรคประชาธิปัตย์ในอีสานจะคิดอย่างไร เหมือนกับไม่ใส่ใจว่า พันธมิตรฯ ซึ่งเป็นมิตรจะคิดอย่างไร
วันนี้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ได้ทำอะไรบ้างในสิ่งที่ตัวเองคัดค้านบ้าง และได้ทำงานอะไรที่สะท้อน ประสิทธิภาพบ้าง นอกจากความล้มเหลวในทุกๆ ด้าน
เรื่อง สนามบินสุวรรณภูมิ อภิสิทธิ์แสดงท่าทีว่า ไม่เห็นด้วยที่ให้ย้ายสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วสุดท้ายพูดไม่กี่วันกระทรวงคมนาคมก็สั่งให้ย้ายไปทันที
ปัญหาประสาทพระวิหาร ที่อภิสิทธิ์เคยคัดค้านในสมัยที่เป็นฝ่ายค้าน วันนี้ทำท่าจะเดินทับรอยกับที่ตัวเองเคยคัดค้าน กรณีรถเมล์เอ็นจีวี ก็ไม่กล้าตัดสินใจพยายามซื้อเวลา และโยนให้หน่วยงานอื่นตัดสินใจ ฯลฯ
พอมีอำนาจแล้ว ความกล้าหาญที่แสดงผ่านฝีปากคมกล้าในสมัยที่เป็นฝ่ายค้านหายไปไหนหมด
แม่ยกกองเชียร์คุณอภิสิทธิ์จะโต้แย้งก็โต้มาเถอะครับ แต่บอกด้วยว่าที่ผมเขียนมานั้นตรงไหนไม่จริง
คุณอภิสิทธิ์ครับแสดงภาวะผู้นำ และสติปัญญาที่จะนำพาประเทศออกมาหน่อยเถอะครับ
เพราะผมไม่อยากแนะนำคุณอภิสิทธิ์ด้วยรักว่า รูปหล่อ คารมดี แม่ยกมากอย่างนี้ เป็นพระเอกลิเกน่าจะเหมาะกว่าครับ