รอยเตอร์ – ซันโตรี โฮลดิ้งส์ บริษัทผู้ผลิตเบียร์ชั้นแนวหน้าของญี่ปุ่นแถลงเมื่อวันจันทร์(13)ว่า กำลังพิจารณาจะควบรวมกิจการกับ กิริน โฮลดิ้งส์ คู่แข่งที่มีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งหากการควบรวมประสบความสำเร็จ บริษัทใหม่จะกลายเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก
รายงานข่าวเรื่องนี้ทำให้ราคาหุ้นของ กิริน ทะยานขึ้นอย่างพรวดพราด 8.4 เปอร์เซ็นต์สู่ระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทธุรกิจเบียร์รายอื่น ๆ ก็ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากมีการคาดการณ์กันว่า การควบรวมกิจการของ 2 ยักษ์ใหญ่จะนำไปสู่การควบรวมกิจการอย่างขนานใหญ่ในภาคธุรกิจเดียวกัน
การควบรวมกิจการระหว่าง กิริน กับซันโตรี ซึ่งอยู่นอกตลาดหุ้น จะทำให้บริษัทใหม่มียอดรายได้เทียบเท่ากับ คราฟท์ ฟูดส์ และเป๊บซีโค อิงค์ ของสหรัฐฯ ทั้งยังจะทำให้บริษัทใหม่มีอำนาจการแข่งขันเพิ่มขึ้นในตลาดญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดที่อยู่ในสภาพอิ่มตัวแล้ว
นาโอมิ ทากางิ นักวิเคราะห์ของ เจพี มอร์แกน กล่าวว่า ถ้าการควบรวมเกิดขึ้นจริง บริษัทใหม่จะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในการกำหนดราคา นอกจากนั้นยังจะช่วยธุรกิจด้านซอฟต์ดริ๊งค์ ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนเรื้อรังในตลาดที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรงจริงๆ
นาโอโกะ สึดะ โฆษกหญิงของซันโตรี แถลงว่า ซันโตรีกำลังพิจารณาทางเลือกหลาย ๆ ด้าน และขณะนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่งแต่อย่างใด ครั้นเมื่อถูกถามว่า การควบรวมกิจการกับ กิรินก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่กำลังพิจารณากันอยู่ใช่หรือไม่ เธอก็ตอบว่า “ใช่”
ขณะที่ มิตสุทาเกะ มาตาโนะ โฆษกของ กิริน ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับข่าวการควบรวมกิจการ โดยกล่าวแต่เพียงว่าปัจจุบัน กิรินกับซันโตรี กำลังพิจารณาจะร่วมมือกันในกิจกรรมทางธุรกิจหลายด้าน เป็นต้นว่า การจัดซื้อ และการกระจายสินค้า แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายแต่อย่างใด
หนังสือพิมพ์ข่าวธุรกิจรายวัน นิกเกอิ รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อและตำแหน่งว่า กิรินและซันโตรี กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อควบรวมกิจการภายใต้บริษัทโฮลดิ้งส์ใหม่ โดยมีเป้าหมายจะสรุปข้อตกลงขั้นสุดท้ายภายในปีนี้
บริษัทใหม่หลังควบรวมกิจการ จะเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาดเบียร์และซอฟต์ดริ๊งค์ ของญี่ปุ่น และจะเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ด้วยยอดขาย 3.8 ล้านล้านเยนต่อปี หรือประมาณ 1.435 ล้านล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งเพียงพอที่จะซื้อกิจการธุรกิจในต่างประเทศได้
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้อาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะอาจมีปัญหาขัดข้องทางเทคนิคเกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับทางกฎหมายได้ เนื่องจากหลังควบรวมกิจการแล้ว บริษัทใหม่จะมีส่วนแบ่งตลาดเบียร์ในญี่ปุ่นประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้น วัฒนธรรมองค์กรของบริษัททั้งสองก็มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก
ฮิโรชิ ซาจิ นักวิเคราะห์ของ มิซูโฮ ซีเคียวริตีส์ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังหาความแน่นอนได้ยาก อุปสรรคหลายอย่างที่รออยู่ข้างหน้าล้วนแต่เป็นเรื่องใหญ่โตทั้งสิ้น อย่างน้อยที่สุด อาซาฮี หรือ ซัปโปโร ก็คงไม่ยอมงอมืองอเท้าอยู่เฉย ๆ อย่างแน่นอน
หนังสือพิมพ์ นิกเกอิ รายงานว่า คาสุยาซุ คาโตะ ประธานกรรมการบริหารของ กิริน โฮลดิ้งส์ และ โนบุทาดะ ซาจิ ประธานกรรมการบริหารของ ซันโตรี โฮลดิ้งส์ ได้พบหารือกันเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นครั้งแรกเมื่อปลายปีที่แล้ว และได้แจ้งให้ผู้บริหารคนอื่น ๆ ของบริษัททราบเรื่องแผนการควบรวมกิจการเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมนี้
ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดเบียร์ในญี่ปุ่นหดตัวลงประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจนี้ต้องปรับลดต้นทุนและมองหาตลาดใหม่ในต่างประเทศรองรับการเติบโตในอนาคต
ต้นปีนี้ กิริน ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดเบียร์ในญี่ปุ่น 37.5 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเดือนมกราคม ถึง มิถุนายน ได้บรรลุข้อตกลงซื้อกิจการบริษัท ไลออน นาธาน ผู้ผลิตเบียร์ของออสเตรเลียด้วยมูลค่า 2.500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวซื้อกิจการธุรกิจในต่างประเทศครั้งล่าสุดของกิริน
ขณะเดียวกัน เมื่อที่แล้ว ซันโตรี ก็ประสบความสำเร็จในการตัดหน้าทั้ง กิริน และอาซาฮี บริวเวอรีส์ ซื้อกิจการน้ำผลไม้ฟรูคอร์ บริษัท ดานอน มูลค่ากว่า 600 ล้านยูโร และยังแถลงด้วยว่า พร้อมใช้เงินอีกกว่า 2 ,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในการซื้อกิจการธุรกิจในต่างประเทศ
ซันโตรี และกิริน มีส่วนแบ่งตลาดเบียร์ในญี่ปุ่นรวมกันประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ อาซาฮี บริวเวอรีส์ มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 37 เปอร์เซ็นต์
รายงานข่าวเรื่องนี้ทำให้ราคาหุ้นของ กิริน ทะยานขึ้นอย่างพรวดพราด 8.4 เปอร์เซ็นต์สู่ระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทธุรกิจเบียร์รายอื่น ๆ ก็ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากมีการคาดการณ์กันว่า การควบรวมกิจการของ 2 ยักษ์ใหญ่จะนำไปสู่การควบรวมกิจการอย่างขนานใหญ่ในภาคธุรกิจเดียวกัน
การควบรวมกิจการระหว่าง กิริน กับซันโตรี ซึ่งอยู่นอกตลาดหุ้น จะทำให้บริษัทใหม่มียอดรายได้เทียบเท่ากับ คราฟท์ ฟูดส์ และเป๊บซีโค อิงค์ ของสหรัฐฯ ทั้งยังจะทำให้บริษัทใหม่มีอำนาจการแข่งขันเพิ่มขึ้นในตลาดญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดที่อยู่ในสภาพอิ่มตัวแล้ว
นาโอมิ ทากางิ นักวิเคราะห์ของ เจพี มอร์แกน กล่าวว่า ถ้าการควบรวมเกิดขึ้นจริง บริษัทใหม่จะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในการกำหนดราคา นอกจากนั้นยังจะช่วยธุรกิจด้านซอฟต์ดริ๊งค์ ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนเรื้อรังในตลาดที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรงจริงๆ
นาโอโกะ สึดะ โฆษกหญิงของซันโตรี แถลงว่า ซันโตรีกำลังพิจารณาทางเลือกหลาย ๆ ด้าน และขณะนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่งแต่อย่างใด ครั้นเมื่อถูกถามว่า การควบรวมกิจการกับ กิรินก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่กำลังพิจารณากันอยู่ใช่หรือไม่ เธอก็ตอบว่า “ใช่”
ขณะที่ มิตสุทาเกะ มาตาโนะ โฆษกของ กิริน ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับข่าวการควบรวมกิจการ โดยกล่าวแต่เพียงว่าปัจจุบัน กิรินกับซันโตรี กำลังพิจารณาจะร่วมมือกันในกิจกรรมทางธุรกิจหลายด้าน เป็นต้นว่า การจัดซื้อ และการกระจายสินค้า แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายแต่อย่างใด
หนังสือพิมพ์ข่าวธุรกิจรายวัน นิกเกอิ รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อและตำแหน่งว่า กิรินและซันโตรี กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อควบรวมกิจการภายใต้บริษัทโฮลดิ้งส์ใหม่ โดยมีเป้าหมายจะสรุปข้อตกลงขั้นสุดท้ายภายในปีนี้
บริษัทใหม่หลังควบรวมกิจการ จะเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาดเบียร์และซอฟต์ดริ๊งค์ ของญี่ปุ่น และจะเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ด้วยยอดขาย 3.8 ล้านล้านเยนต่อปี หรือประมาณ 1.435 ล้านล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งเพียงพอที่จะซื้อกิจการธุรกิจในต่างประเทศได้
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้อาจไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะอาจมีปัญหาขัดข้องทางเทคนิคเกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับทางกฎหมายได้ เนื่องจากหลังควบรวมกิจการแล้ว บริษัทใหม่จะมีส่วนแบ่งตลาดเบียร์ในญี่ปุ่นประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้น วัฒนธรรมองค์กรของบริษัททั้งสองก็มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก
ฮิโรชิ ซาจิ นักวิเคราะห์ของ มิซูโฮ ซีเคียวริตีส์ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังหาความแน่นอนได้ยาก อุปสรรคหลายอย่างที่รออยู่ข้างหน้าล้วนแต่เป็นเรื่องใหญ่โตทั้งสิ้น อย่างน้อยที่สุด อาซาฮี หรือ ซัปโปโร ก็คงไม่ยอมงอมืองอเท้าอยู่เฉย ๆ อย่างแน่นอน
หนังสือพิมพ์ นิกเกอิ รายงานว่า คาสุยาซุ คาโตะ ประธานกรรมการบริหารของ กิริน โฮลดิ้งส์ และ โนบุทาดะ ซาจิ ประธานกรรมการบริหารของ ซันโตรี โฮลดิ้งส์ ได้พบหารือกันเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นครั้งแรกเมื่อปลายปีที่แล้ว และได้แจ้งให้ผู้บริหารคนอื่น ๆ ของบริษัททราบเรื่องแผนการควบรวมกิจการเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมนี้
ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดเบียร์ในญี่ปุ่นหดตัวลงประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจนี้ต้องปรับลดต้นทุนและมองหาตลาดใหม่ในต่างประเทศรองรับการเติบโตในอนาคต
ต้นปีนี้ กิริน ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดเบียร์ในญี่ปุ่น 37.5 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเดือนมกราคม ถึง มิถุนายน ได้บรรลุข้อตกลงซื้อกิจการบริษัท ไลออน นาธาน ผู้ผลิตเบียร์ของออสเตรเลียด้วยมูลค่า 2.500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวซื้อกิจการธุรกิจในต่างประเทศครั้งล่าสุดของกิริน
ขณะเดียวกัน เมื่อที่แล้ว ซันโตรี ก็ประสบความสำเร็จในการตัดหน้าทั้ง กิริน และอาซาฮี บริวเวอรีส์ ซื้อกิจการน้ำผลไม้ฟรูคอร์ บริษัท ดานอน มูลค่ากว่า 600 ล้านยูโร และยังแถลงด้วยว่า พร้อมใช้เงินอีกกว่า 2 ,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในการซื้อกิจการธุรกิจในต่างประเทศ
ซันโตรี และกิริน มีส่วนแบ่งตลาดเบียร์ในญี่ปุ่นรวมกันประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ อาซาฮี บริวเวอรีส์ มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 37 เปอร์เซ็นต์