ความขัดแย้งในสังคมไทยที่ดำรงมาตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีท่าทีว่าจะจบลงได้เลย ซ้ำจะขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ เหมือนไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่เพิ่มขึ้นวันละ 200 กว่าคน เสียชีวิตวันละคน/สองคน โดยที่ยังมองไม่เห็นอนาคตว่าจะไปยุติลงเมื่อไร อย่างไร
ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา ฝ่ายหนึ่งมองว่า การยึดอำนาจของทหาร/ตำรวจ เป็นการทำลายประชาธิปไตย เป็นการถอยหลังเข้าคลอง เป็นการทำให้ประเทศเสียหาย
อีกฝ่ายบอกว่า แม้จะไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ ทักษิณ ชินวัตร บริหารประเทศต่อไป ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่า เพียงแค่ 5-6 ปีที่ทักษิณ ชินวัตร บริหารประเทศ เขาก็สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติขนาดนี้ และสามารถที่จะปักหลักปักฐานสร้างระบอบทักษิณให้เข้มแข็งได้ขนาดนี้ ถ้าหากปล่อยให้ทักษิณอยู่ 10 ปี 20 ปี ประเทศชาติจะย่อยยับเสียหายมากกว่านี้
ฝ่ายแรกเมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ จัดให้มีการเลือกตั้ง ก็ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปตามครรลองที่วางเอาไว้
ฝ่ายหลังชนะการเลือกตั้ง จัดตั้งรัฐบาล และจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป้าหมายสำคัญคือให้ทักษิณพ้นผิด
ความขัดแย้งก็ปะทุขึ้นอีก กลายเป็นการชุมนุมอันยืดเยื้อยาวนานของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นการต่อสู้เพื่อมิให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และยุติการชุมนุม เมื่อรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของทักษิณ ชินวัตร พ้นสภาพไปเพราะศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคพลังประชาชน (พรรคตัวแทนของทักษิณ)
พรรคประชาธิปัตย์สามารถรวบรวมเสียงข้างมากในสภา ได้เป็นรัฐบาล มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศมาแล้ว 6 เดือน
ฝ่ายที่คัดค้านรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บอกว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เสียงข้างมาก (แต่มารวบรวมเสียงข้างมากได้ทีหลัง เพราะกลุ่มเพื่อนเนวินแยกตัวออกมาจากการสนับสนุนทักษิณ)
เหตุผลนี้คนเสื้อแดง พรรคฝ่ายค้านนำไปอ้างทุกแห่งที่ไปไล่รัฐมนตรีของรัฐบาลปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ทั้งที่ตอนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แข่งกับพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ซึ่งมาจากพรรคเล็กได้คะแนนน้อยกว่าพรรคประชาธิปัตย์เสียอีก
แต่เหตุผลที่นำมาคัดค้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคณะรัฐมนตรีชุดนี้ (โดยเฉพาะรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังอ้างเหตุผลเดิมๆ คือ พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เสียงข้างมาก)
เมื่อโลกเผชิญกับปัญหาไข้หวัดหมูเม็กซิโกที่ไทยเรียกชื่อว่า ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นปัญหาที่โลกทั้งโลกกำลังเผชิญ ประเทศไทยทั้งประเทศจะต้องผจญ มีคนตายไปแล้วเพราะโรคนี้ 18 ราย และก็คงจะต้องตายเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ มีผู้ติดโรคติดเชื้อหวัดแล้วเกือบ 3,000 ราย และโดยเฉลี่ยก็จะเพิ่ม 200 รายต่อวัน มีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นอีก
เป็นปัญหาที่คนไทยจะต้องช่วยกันแก้ไขปัญหา
เมื่อมีการคิดวัคซีนขึ้นได้ นายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินทางไปเปิดโรงงานมีกลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางมาต่อต้าน เรียกร้องให้รัฐบาลออกไป เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เสียงข้างมากตอนที่มีการเลือกตั้ง ต้องให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล (และพรรคเพื่อไทยสนับสนุน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จากพรรคเล็กๆ พรรคหนึ่ง)
ก่อนหน้านี้ นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางไปเชียงใหม่เพื่อกำกับดูแลการป้องกันไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ต้องเผ่นหนีออกจากงานเพราะมีกลุ่มคนเสื้อแดงไปต่อต้านขับไล่
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไปบุรีรัมย์ การลงพื้นที่เพื่อพบปะชาวบ้านครั้งนี้ ต้องใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารอารักขา 5,000 นาย ใช้เฮลิคอปเตอร์ ใช้ขบวนรถตำรวจทหารคุ้มกันจำนวนไม่น้อย
ต้องเกณฑ์ชาวบ้านนับพันนับหมื่นมารับนายกรัฐมนตรี
กลุ่มคนเสื้อแดงก็ขยับตัวออกมาต่อต้านเหมือนกัน แต่ถูกปรามเอาไว้จากเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
สถานการณ์ดังกล่าวไม่ต่างไปจากตะวันออกกลาง ไม่ต่างไปจากโงดินห์เดียม ประธานาธิบดีเวียดนามสมัยสงครามอินโดจีนได้รับ
บ้านเมืองของเราเป็นอะไรไปแล้ว?
ใช้ภาษาไทย พูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะต้องไปภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ และจังหวัดอื่นๆ อีก
เช่นเดียวกับรัฐมนตรีร่วมคณะรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องไปแก้ปัญหาของประเทศชาติและประชาชนในทุกจังหวัด
จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร
จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับประชาชนที่จะต้องออกมาต้อนรับ และที่จะต้องออกมาต่อต้าน
เป็นค่าใช้จ่ายของประเทศ และที่สำคัญส่วนหนึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชน
เป็นค่าใช้จ่ายในยามที่ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลเองก็ไม่มีเงินงบประมาณต้องออกพันธบัตร เอาเงินอนาคตมาใช้
นี่มันทำร้ายประเทศไทยชัดๆ
2-3 เดือนที่ผ่านมา มีคณะบุคคลหรือองค์กรหลายแห่งออกมาเรียกร้องให้มีการ หยุดทำร้ายประเทศไทย
เสียงเรียกร้องนั้นเงียบไปแล้วในวันนี้ ทั้งที่ยังมีการทำร้ายประเทศไทยอยู่ไม่หยุดหย่อน
ก็เลยได้ข้อสรุปแล้ว พวกเขาไม่ต้องการสื่อสารไปถึงผู้คนที่มันทำร้ายประเทศไทยของเราจริงๆ
ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา ฝ่ายหนึ่งมองว่า การยึดอำนาจของทหาร/ตำรวจ เป็นการทำลายประชาธิปไตย เป็นการถอยหลังเข้าคลอง เป็นการทำให้ประเทศเสียหาย
อีกฝ่ายบอกว่า แม้จะไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ ทักษิณ ชินวัตร บริหารประเทศต่อไป ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่า เพียงแค่ 5-6 ปีที่ทักษิณ ชินวัตร บริหารประเทศ เขาก็สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติขนาดนี้ และสามารถที่จะปักหลักปักฐานสร้างระบอบทักษิณให้เข้มแข็งได้ขนาดนี้ ถ้าหากปล่อยให้ทักษิณอยู่ 10 ปี 20 ปี ประเทศชาติจะย่อยยับเสียหายมากกว่านี้
ฝ่ายแรกเมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ จัดให้มีการเลือกตั้ง ก็ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปตามครรลองที่วางเอาไว้
ฝ่ายหลังชนะการเลือกตั้ง จัดตั้งรัฐบาล และจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป้าหมายสำคัญคือให้ทักษิณพ้นผิด
ความขัดแย้งก็ปะทุขึ้นอีก กลายเป็นการชุมนุมอันยืดเยื้อยาวนานของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นการต่อสู้เพื่อมิให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และยุติการชุมนุม เมื่อรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของทักษิณ ชินวัตร พ้นสภาพไปเพราะศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคพลังประชาชน (พรรคตัวแทนของทักษิณ)
พรรคประชาธิปัตย์สามารถรวบรวมเสียงข้างมากในสภา ได้เป็นรัฐบาล มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศมาแล้ว 6 เดือน
ฝ่ายที่คัดค้านรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บอกว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เสียงข้างมาก (แต่มารวบรวมเสียงข้างมากได้ทีหลัง เพราะกลุ่มเพื่อนเนวินแยกตัวออกมาจากการสนับสนุนทักษิณ)
เหตุผลนี้คนเสื้อแดง พรรคฝ่ายค้านนำไปอ้างทุกแห่งที่ไปไล่รัฐมนตรีของรัฐบาลปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ทั้งที่ตอนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แข่งกับพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ซึ่งมาจากพรรคเล็กได้คะแนนน้อยกว่าพรรคประชาธิปัตย์เสียอีก
แต่เหตุผลที่นำมาคัดค้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคณะรัฐมนตรีชุดนี้ (โดยเฉพาะรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังอ้างเหตุผลเดิมๆ คือ พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เสียงข้างมาก)
เมื่อโลกเผชิญกับปัญหาไข้หวัดหมูเม็กซิโกที่ไทยเรียกชื่อว่า ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นปัญหาที่โลกทั้งโลกกำลังเผชิญ ประเทศไทยทั้งประเทศจะต้องผจญ มีคนตายไปแล้วเพราะโรคนี้ 18 ราย และก็คงจะต้องตายเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ มีผู้ติดโรคติดเชื้อหวัดแล้วเกือบ 3,000 ราย และโดยเฉลี่ยก็จะเพิ่ม 200 รายต่อวัน มีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นอีก
เป็นปัญหาที่คนไทยจะต้องช่วยกันแก้ไขปัญหา
เมื่อมีการคิดวัคซีนขึ้นได้ นายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินทางไปเปิดโรงงานมีกลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางมาต่อต้าน เรียกร้องให้รัฐบาลออกไป เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เสียงข้างมากตอนที่มีการเลือกตั้ง ต้องให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล (และพรรคเพื่อไทยสนับสนุน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จากพรรคเล็กๆ พรรคหนึ่ง)
ก่อนหน้านี้ นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางไปเชียงใหม่เพื่อกำกับดูแลการป้องกันไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ต้องเผ่นหนีออกจากงานเพราะมีกลุ่มคนเสื้อแดงไปต่อต้านขับไล่
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไปบุรีรัมย์ การลงพื้นที่เพื่อพบปะชาวบ้านครั้งนี้ ต้องใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารอารักขา 5,000 นาย ใช้เฮลิคอปเตอร์ ใช้ขบวนรถตำรวจทหารคุ้มกันจำนวนไม่น้อย
ต้องเกณฑ์ชาวบ้านนับพันนับหมื่นมารับนายกรัฐมนตรี
กลุ่มคนเสื้อแดงก็ขยับตัวออกมาต่อต้านเหมือนกัน แต่ถูกปรามเอาไว้จากเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
สถานการณ์ดังกล่าวไม่ต่างไปจากตะวันออกกลาง ไม่ต่างไปจากโงดินห์เดียม ประธานาธิบดีเวียดนามสมัยสงครามอินโดจีนได้รับ
บ้านเมืองของเราเป็นอะไรไปแล้ว?
ใช้ภาษาไทย พูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะต้องไปภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ และจังหวัดอื่นๆ อีก
เช่นเดียวกับรัฐมนตรีร่วมคณะรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องไปแก้ปัญหาของประเทศชาติและประชาชนในทุกจังหวัด
จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร
จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับประชาชนที่จะต้องออกมาต้อนรับ และที่จะต้องออกมาต่อต้าน
เป็นค่าใช้จ่ายของประเทศ และที่สำคัญส่วนหนึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชน
เป็นค่าใช้จ่ายในยามที่ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลเองก็ไม่มีเงินงบประมาณต้องออกพันธบัตร เอาเงินอนาคตมาใช้
นี่มันทำร้ายประเทศไทยชัดๆ
2-3 เดือนที่ผ่านมา มีคณะบุคคลหรือองค์กรหลายแห่งออกมาเรียกร้องให้มีการ หยุดทำร้ายประเทศไทย
เสียงเรียกร้องนั้นเงียบไปแล้วในวันนี้ ทั้งที่ยังมีการทำร้ายประเทศไทยอยู่ไม่หยุดหย่อน
ก็เลยได้ข้อสรุปแล้ว พวกเขาไม่ต้องการสื่อสารไปถึงผู้คนที่มันทำร้ายประเทศไทยของเราจริงๆ