xs
xsm
sm
md
lg

เขี่ย “กษิต”พ้นทาง แล้วคิดว่าจะไปรอด !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นาทีนี้ไม่ต้องมาถามแล้วว่า การตั้งข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” กับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโดยการออกเป็นหมายเรียกของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ชอบมาพากลอย่างไร

เพราะข้อหาร้ายแรง โทษสูงสุดถึงประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หากพิจารณาตามเหตุผลก็ไม่น่าออกเป็นหมายเรียก ต้องออกเป็นหมายจับสถานเดียว

ขนาดข้อหาหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไปโทษจำคุกแค่ 3 ปี 5 ปี หลายคดียังพบว่าตำรวจออกเป็นหมายจับเสียด้วยซ้ำ

นอกเหนือจากนี้เมื่อพิจารณาจากโทษถึงประหารชีวิต ถือว่าร้ายแรง คนพวกนี้ต้องเป็นบุคคลอันตรายของประเทศและของโลกใบนี้ แต่นี่กลับปล่อยให้ลอยนวลมานานถึง 8-9 เดือน มิหนำซ้ำ กษิต ภิรมย์ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นตัวแทนของชาติไปร่วมประชุมกับผู้นำนานาชาติ มาตั้งนาน

อย่างนี้มันหมายความว่าอย่างไร !!

คนที่เสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีคือ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยหรือไม่

สรุปในเบื้องต้นก็คืองานนี้มีรายการ “วางยา” เพื่อหวังผลทางการเมืองทางใดทางหนึ่งแน่นอน

แต่คนที่ถูกวางยา น่าจะเป็นกษิตขณะเดียวกันฝ่ายที่วางยาก็คือ “กลุ่มอำนาจ” ที่แฝงตัวตัวอยู่ในรัฐบาลนั่นเอง และเวลานี้กำลังจะถูก “กระชากหน้ากาก” ออกมาให้สังคมได้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนจะแยกพิจารณาเฉพาะกรณีของ กษิต ภิรมย์ก่อน ฟังจากการให้สัมภาษณ์ข้ามทวีปของเจ้าตัวก็ได้รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลในการตั้งข้อหามาตั้งแต่ต้น โดยสื่อให้เห็นเป็นนัยว่ามีแรงกดดันมาจาก “บิ๊กทหาร” กลุ่มหนึ่งในกองทัพ

พร้อมทั้งตั้งคำถามปริศนาอีกว่า “ใคร” ที่เป็น “โม่ง” บงการสังหาร อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่กระทรวงมหาดไทย และ สนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา

โดยเฉพาะที่กระทรวงมหาดไทยที่ถูกกลุ่มเสื้อแดงรุมทำร้ายนายกรัฐมนตรี และเคยมีการวิเคราะห์กันแล้วว่าเป็นการล่อให้มาติด “กับดัก” ให้กลุ่มเสื้อแดงทำร้าย จากนั้นจะอาศัยอำนาจในสถานการณ์ฉุกเฉินกวาดล้าง แต่เมื่อไม่สำเร็จนายกฯรอดไปได้หวุดหวิด แต่ขณะเดียวกันสังคมก็ได้เห็นภาพ “ตัวตน” ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในลักษณะ “สติแตก” หมดสภาพของอดีตนายทหารใหญ่อย่างสิ้นเชิง

จากนั้นถัดมาไม่กี่วันก็เกิดเหตุลอบสังหารสนธิ ลิ้มทองกุลกลางกรุง ก็มีเสียงวิเคราะห์ในทำนองเดียวกันว่าเพื่อต้องการให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เป็นเป้าหมายของคนกลุ่มเดิมเพื่อให้ตัวเองได้ฉวยโอกาสใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ แต่ก็พลาดอีกเมื่อสนธิรอดตายราวปาฏิหาริย์

เพราะเมื่อฟังถ้อยคำการให้สัมภาษณ์แบบ “เหลืออด” ตั้งแต่ต้นจนจบของ กษิตแล้วก็ “ดูเหมือน” ว่าเป็นกลุ่มที่โยงใยไปกับการอยู่เบื้องหลังการตั้งข้อฉกรรจ์นั่นคือ “ผู้ก่อการร้าย” และเป้าหมายเพื่อกดดันให้พ้นไปจากรัฐบาลนั่นเอง

ฉากต่อมาก็ต้องมาโฟกัสที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์บ้างว่า เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วยังมีอำนาจในการบริหารอยู่หรือไม่ หรือมีภาพแค่ดำรงตำแหน่งนายกฯเท่านั้น แต่ถูกครอบงำจาก “กลุ่มอำนาจ” ที่อยู่รอบตัวหรือไม่

ถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่คดีร้ายแรงและคดีสำคัญ และหนึ่งในผู้ต้องหาเป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และกำลังจะเป็นแม่งานสำคัญในการประชุมทั้งระดับรัฐมนตรีและผู้นำอาเซียนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย โดยที่นายกรัฐมนตรีไม่มีส่วนได้รับรู้บ้างเลย

หรือเมื่อรู้แล้วไม่คิดจะตั้งข้อสังเกตหรือซักถามบ้างเลยหรือว่ามันเป็นไปได้อย่างไร หรือไม่เช่นนั้นหากรู้แล้วยังปล่อยเลยตามเลยแบบนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะถูกตั้งคำถามว่าต้องการ “เอาตัวรอด” ทางการเมืองไปวันๆ เท่านั้นใช่หรือไม่

แม้ว่าที่ผ่านมาปากยังบอกว่าให้โอกาสพิสูจน์ข้อกล่าวหา และยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศต่อไปได้ แต่หากสังเกตให้ดีจะพบว่า กษิตได้ถูกลดบทบาทลงเรื่อยๆ ที่เห็นชัดๆ ก็คือปัญหาประสาทพระวิหารที่ส่ง สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯด้านความมั่นคงและ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไปเจรจา และล่าสุดเมื่อครั้งการเดินทางไปเยือนเวียดนาม กลับไม่พบว่า มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเดินทางไปด้วย แต่กลับมี สุเทพ ร่วมคณะแทน

นอกเหนือจากนี้ ในการเดินทางลงพื้นที่อีสาน ก็เลือกลงจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งในทางการเมืองรับรู้กันว่าเป็นถิ่นผูกขาดของกลุ่มตระกูล “ชิดชอบ” เป็นแห่งแรกแทนที่จะเป็นจังหวัดอุบลฯที่มี ส.ส.และรัฐมนตรีของพรรคเป็นเจ้าของพื้นที่อยู่

การเดินทางบุรีรัมย์จะเห็นว่าได้รับการต้อนรับค่อนข้างดี ทำให้หัวใจพองโต แต่อีกด้านหนึ่งก็อาจปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นคือ “ภาพลวงตา” และคนที่ได้เต็มๆคือ กลุ่มของ เนวิน ชิดชอบ กับเครือข่ายในพรรคภูมิใจไทย ในเฉพาะบางพื้นที่ในภาคอีสานเท่านั้น

เมื่อประมวลให้ภาพทั้งหมดตั้งแต่กรณีการตั้งข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” กับแกนนำพันธมิตรฯ โดยเฉพาะกับ กษิต ภิรมย์ แม้ว่านายกฯจะพยายามแสดงท่าทีลอยตัวออกห่าง ขณะเดียวกันก็หันไปกอดคอกับ “กลุ่มเนวิน” แนบแน่นกว่าเดิม โดยคิดว่านี่คือยุทธศาสตร์ “รวมกันเราอยู่” แม้ว่าอาจไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถามว่า “ได้คุ้มเสีย” หรือไม่

เพราะอย่างน้อยเมื่อได้เห็นข้อเท็จจริงและลีลาของนายกฯ อภิสิทธิ์ แบบนี้มิตรสหายทางการเมืองก็จะตีจาก ขณะที่ฝ่าย “เสื้อแดง” ก็ยังกระจายอยู่ทั่วแผ่นดินเช่นเดิม เหลือเพียง “เพื่อนเนวิน” เท่านั้น ซึ่งไม่รู้ว่าจะไว้ใจได้แค่ไหน

ดังนั้นไม่ว่าการตั้งข้อหาผู้ก่อการร้ายเป็นแผน “เขี่ย” กษิต ให้พ้นทางจาก “กลุ่มอำนาจแฝง” หรือไม่ก็ตาม แต่ขณะเดียวกันกรณีที่เกิดขึ้นย่อมทำให้ความเชื่อมั่นต่อนายกฯลดลงไปเรื่อยๆ

เมื่อมิตรถอยห่าง แต่ศัตรูยังหนาแน่นทั่วเมืองก็ลองคิดดูแล้วกันว่ารัฐบาลจะไปรอดหรือไม่ และถ้าพลาดมันก็น่าจะกระทบไปถึงพรรคประชาธิปัตย์ในระยะยาวอีกด้วย เพราะถ้าบรรยากาศยังเป็นแบบนี้ ลองหลับตานึกเอาก็แล้วกันว่าเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีสภาพแบบไหน
กำลังโหลดความคิดเห็น