ASTVผู้จัดการรายวัน – เอฟแอนด์เอ็น ทุ่ม 2,000 ล้านบาท ผุดโรงงานแห่งใหม่ ที่ จ.อยุธยา เร่งขยายกำลังผลิตรับรองกลุ่มนมและนโยบายปั้นสินค้าใหม่ลงตลาด แตกไลน์”เครื่องดื่มรังนกผสมนมไขมันต่ำและมอลต์สกัด หวังกินรวบตลาดรังนก นมแคลเซียม เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ 7,000 ล้านบาท ตั้งเป้า 3-5ปี กวาดแชร์ 10-20% จากตลาดรังนก ส่วนรายได้รวมทั้งปีโต 17% จากยอดร่วม 1 หมื่นล้านบาทปีที่ผ่านมา
นายสมศักดิ์ ชายะพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอฟแอนด์เอ็น แดรี่ส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนมตราหมีสเตอรีไรส์ นมข้นคาร์เนชั่น เปิดเผยว่า จากนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัท มุ่งเน้นการผลิตอาหารและเครื่องดื่มโดยไม่จำกัดเฉพาะการทำตลาดนมเท่านั้น ล่าสุดบริษัทได้ทุ่มงบ 2,000 ล้านบาท สร้างโรงงานแห่งใหม่ขึ้น ที่ จังหวัดอยุธยา อ.โรจนะ เพื่อขยายกำลังการผลิตภัณฑ์นมข้นคาร์เนชั่น นมสดตราหมี และสินค้าใหม่ๆ ที่บริษัทวางแผนจะเปิดตัวในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้กำลังการผลิตโรงงานใหม่ในปีหน้านี้ จากปัจจุบันบริษัทมีโรงงาน ที่ ปากช่อง โดยผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ และน้ำผลไม้ เป็นต้น
“นโยบายการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย การเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ ในระหว่าง 3-5 ปี จะต้องสร้างรายได้ 300 – 1,000 ล้านบาท ซึ่งหากต่ำกว่าเป้าหมาย บริษัทจะเลิกทำตลาดสินค้าดังกล่าวทันที โดยในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้ จะมีสินค้าออกมาหลากหลายมากขึ้น”
ล่าสุดบริษัทได้ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท แตกโปรดักส์ไลน์เครื่องดื่มรังนกผสมนมไขมันต่ำและมอลต์สกัด ภายใต้แบรนด์”เอฟแอนด์เอ็น โกลด์” วางตำแหน่งตลาดเป็นเครื่องดื่มรังนก โดยแนวทางการตลาดบริษัทสร้างพฤติกรรมให้ผู้บริโภคสามารถดื่มได้ทุกวัน ภายใน 3-5 ปี ด้วยการใช้กลยุทธ์ราคาถูกกว่าสินค้าคู่แข่ง 50% หรือ 130 ซีซี ราคา 68 บาท ส่วนสินค้าอื่นๆ 72 ซีซี ราคา 140 บาท เนื่องจากพฤติกรรมปัจจุบันเป็นการซื้อฝากเป็นของขวัญ และมีการดื่มเพื่อการบำรุง 1 เดือนต่อครั้งเท่านั้น อีกทั้งสินค้ายังมีข้อจำกัดด้านรสชาติที่คล้ายยา
การเปิดตัวสินค้าใหม่ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไม่ดี บริษัทมองว่าเป็นโอกาสทางการตลาด อีกทั้งบริษัทมีความเชี่ยวชาญพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์นมอยู่แล้ว ประกอบกับตลาดรังนกมูลค่า 2,000 ล้านบาท มีการเติบโต 20-30% ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพ นอกจากนี้บริษัทยังมองการขยายฐานลูกค้าไปสู่ตลาดนมแคลเซียมมูลค่า 2,000 ล้านบาท และตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมูลค่า 3,000 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้ที่เริ่มเข้าสู่วัยทำงานอายุ 25 ปีขึ้นไป และนักเรียน นักศึกษา เป็นต้น จำหน่ายผ่านช่องทางห้างสรรพสินค้า โมเดิร์นเทรด และตู้แช่ต่างๆ
“พฤติกรรมของผู้บริโภคชื่นชอบการทดลองสินค้าใหม่ๆ แต่ขณะเดียวกันการทำตลาดเครื่องดื่มหรือของกินก็ต้องมีรสชาติที่อร่อย และราคาที่คุ้มค่ากับมูลค่าสินค้าที่จะได้รับ ดังนั้นแม้ว่าเศรษฐกิจถดถอย บริษัทมองว่าเป็นโอกาสทางการตลาดมากกว่า”
ทั้งนี้บริษัทได้ดำเนินการสื่อสารตลาด 360 องศา เพื่อสร้างการรับรู้และการจดจำแบรนด์ ผ่านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การจัดกิจกรรม ณ จุดขาย การจัดคาราวานโรดโชว์ การแจกสินค้าตัวอย่างจำนวน 1 หมื่นขวดทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดการทดลอง และจากการใช้กลยุทธ์ราคาและการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่แปลกใหม่ คาดว่าผลักดันรายได้ 300-1,000 ล้านบาท ใน 3-5 ปี หรือมีส่วนแบ่ง 10-20% จากตลาดรังนก และขณะนี้ประเทศเอฟแอนด์ เอ็น ในมาเลเซีย และสิงคโปร์ กำลังอยู่ระหว่างพิจารณานำสินค้าดังกล่าวไปทำตลาด
สำหรับผลประกอบการปีนี้ บริษัทตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 16-17% ซึ่งการเติบโตเท่ากับปีที่ผ่านมาจากการมีรายได้ร่วม 1 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีด้วยกัน 3 กลุ่ม หลัก ได้แก่ กลุ่มนมภายใต้แบรนด์ เอฟแอนด์เอ็น แมกโดเลีย กลุ่มกาแฟภายใต้เอฟแอนด์เอ็น ครีเอชั่น และกลุ่มผลิตภัณฑ์เอฟแอนด์เอ็น โกลด์ เป็นผลิตภัณฑ์พรีเมียม โดยปัจจุบันนมตราหมีเป็นผู้นำตลาดสเตอริไรส์ ตราหมีโกลด์ มีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 15% เป็น 30% โดยขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดแทนที่โฟร์โมสต์
นายสมศักดิ์ ชายะพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอฟแอนด์เอ็น แดรี่ส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนมตราหมีสเตอรีไรส์ นมข้นคาร์เนชั่น เปิดเผยว่า จากนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัท มุ่งเน้นการผลิตอาหารและเครื่องดื่มโดยไม่จำกัดเฉพาะการทำตลาดนมเท่านั้น ล่าสุดบริษัทได้ทุ่มงบ 2,000 ล้านบาท สร้างโรงงานแห่งใหม่ขึ้น ที่ จังหวัดอยุธยา อ.โรจนะ เพื่อขยายกำลังการผลิตภัณฑ์นมข้นคาร์เนชั่น นมสดตราหมี และสินค้าใหม่ๆ ที่บริษัทวางแผนจะเปิดตัวในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้กำลังการผลิตโรงงานใหม่ในปีหน้านี้ จากปัจจุบันบริษัทมีโรงงาน ที่ ปากช่อง โดยผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ และน้ำผลไม้ เป็นต้น
“นโยบายการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย การเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ ในระหว่าง 3-5 ปี จะต้องสร้างรายได้ 300 – 1,000 ล้านบาท ซึ่งหากต่ำกว่าเป้าหมาย บริษัทจะเลิกทำตลาดสินค้าดังกล่าวทันที โดยในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้ จะมีสินค้าออกมาหลากหลายมากขึ้น”
ล่าสุดบริษัทได้ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท แตกโปรดักส์ไลน์เครื่องดื่มรังนกผสมนมไขมันต่ำและมอลต์สกัด ภายใต้แบรนด์”เอฟแอนด์เอ็น โกลด์” วางตำแหน่งตลาดเป็นเครื่องดื่มรังนก โดยแนวทางการตลาดบริษัทสร้างพฤติกรรมให้ผู้บริโภคสามารถดื่มได้ทุกวัน ภายใน 3-5 ปี ด้วยการใช้กลยุทธ์ราคาถูกกว่าสินค้าคู่แข่ง 50% หรือ 130 ซีซี ราคา 68 บาท ส่วนสินค้าอื่นๆ 72 ซีซี ราคา 140 บาท เนื่องจากพฤติกรรมปัจจุบันเป็นการซื้อฝากเป็นของขวัญ และมีการดื่มเพื่อการบำรุง 1 เดือนต่อครั้งเท่านั้น อีกทั้งสินค้ายังมีข้อจำกัดด้านรสชาติที่คล้ายยา
การเปิดตัวสินค้าใหม่ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไม่ดี บริษัทมองว่าเป็นโอกาสทางการตลาด อีกทั้งบริษัทมีความเชี่ยวชาญพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์นมอยู่แล้ว ประกอบกับตลาดรังนกมูลค่า 2,000 ล้านบาท มีการเติบโต 20-30% ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพ นอกจากนี้บริษัทยังมองการขยายฐานลูกค้าไปสู่ตลาดนมแคลเซียมมูลค่า 2,000 ล้านบาท และตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมูลค่า 3,000 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้ที่เริ่มเข้าสู่วัยทำงานอายุ 25 ปีขึ้นไป และนักเรียน นักศึกษา เป็นต้น จำหน่ายผ่านช่องทางห้างสรรพสินค้า โมเดิร์นเทรด และตู้แช่ต่างๆ
“พฤติกรรมของผู้บริโภคชื่นชอบการทดลองสินค้าใหม่ๆ แต่ขณะเดียวกันการทำตลาดเครื่องดื่มหรือของกินก็ต้องมีรสชาติที่อร่อย และราคาที่คุ้มค่ากับมูลค่าสินค้าที่จะได้รับ ดังนั้นแม้ว่าเศรษฐกิจถดถอย บริษัทมองว่าเป็นโอกาสทางการตลาดมากกว่า”
ทั้งนี้บริษัทได้ดำเนินการสื่อสารตลาด 360 องศา เพื่อสร้างการรับรู้และการจดจำแบรนด์ ผ่านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การจัดกิจกรรม ณ จุดขาย การจัดคาราวานโรดโชว์ การแจกสินค้าตัวอย่างจำนวน 1 หมื่นขวดทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดการทดลอง และจากการใช้กลยุทธ์ราคาและการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่แปลกใหม่ คาดว่าผลักดันรายได้ 300-1,000 ล้านบาท ใน 3-5 ปี หรือมีส่วนแบ่ง 10-20% จากตลาดรังนก และขณะนี้ประเทศเอฟแอนด์ เอ็น ในมาเลเซีย และสิงคโปร์ กำลังอยู่ระหว่างพิจารณานำสินค้าดังกล่าวไปทำตลาด
สำหรับผลประกอบการปีนี้ บริษัทตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 16-17% ซึ่งการเติบโตเท่ากับปีที่ผ่านมาจากการมีรายได้ร่วม 1 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีด้วยกัน 3 กลุ่ม หลัก ได้แก่ กลุ่มนมภายใต้แบรนด์ เอฟแอนด์เอ็น แมกโดเลีย กลุ่มกาแฟภายใต้เอฟแอนด์เอ็น ครีเอชั่น และกลุ่มผลิตภัณฑ์เอฟแอนด์เอ็น โกลด์ เป็นผลิตภัณฑ์พรีเมียม โดยปัจจุบันนมตราหมีเป็นผู้นำตลาดสเตอริไรส์ ตราหมีโกลด์ มีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 15% เป็น 30% โดยขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดแทนที่โฟร์โมสต์