นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะลงพื้นที่จ.บุรีรัมย์ ในวันที่ 11 ก.ค.นี้ หลังกลุ่มเสื้อแดงที่จ.เชียงใหม่ ปิดล้อมนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ว่า ไม่เป็นห่วงการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี เพราะคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อมีการลงพื้นที่ ย่อมมีความเสี่ยงทุกที่อยู่แล้ว โดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนั้นรัฐบาลไม่ควรที่จะกลัวหรือกังวลในการลงไปพบปะกับประชาชน
ส่วนที่มีกลุ่มเสื้อแดงปิดล้อมนายวิทยานั้นเชื่อว่าเป็นคนของพรรคการเมืองฝั่งตรงข้าม ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลความสงบเรียบร้อย จะไปยึดว่าเป็นคน กลุ่มโน้นกลุ่มนี้ไม่ได้
รายงานข่าวจากคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.สัดส่วนและกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค เป็นประธาน ว่า คณะกรรมการได้มีการประเมินสถานการณ์การลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ของ นายอภิสิทธิ์ ี ในวันที่ 11 ก.ค.นี้ ว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้จะเป็นผลดีต่อพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า พรรคภูมิใจไทย เพราะจะส่งผลให้คะแนนนิยมของพรรคสูงขึ้น เนื่องจากขณะนี้กระแสความนิยมพรรคประชาธิปัตย์ดีขึ้นโดยเฉพาะในเขตเมือง ดังนั้นการลงพื้นที่ของ นายกรัฐมนตรีไม่ว่าจะเป็นจังหวัดใดในภาคอีสานก็จะเป็นการสร้างกระแสให้กับพรรค เพราะจากผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดคะแนนความนิยมในพรรคประชาธิปัตย์สูสีกับ พรรคเพื่อไทย การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีจึงเป็นการช่วงชิงกระแสความนิยม ของประชาชนจากพรรคเพื่อไทย
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯประเมินว่าแม้กระแสนิยมของพรรคจะเพิ่มขึ้น แต่คะแนนนิยมในตัว ส.ส.ในระบบเขตเลือกตั้งของพรรคยังมีปัญหา เนื่องจากหาคน ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งยาก คณะกรรมการฯเห็นว่าพรรคภูมิใจไทย มีฐานความนิยม ส่วนตัวของส.ส.สูงกว่าพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยส.ส. พรรคภูมิใจไทยในการผลักดันนโยบายของรัฐบาล โดยจะชูว่าเป็นผลงานของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมคณะกรรมการฯ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปั ตย์ ได้กำชับให้ ส.ส.อีสาน ของพรรคไปร่วมงานการลงพื้นที่ของนายอภิสิทธิ์ เพื่อป้องกันข้อครหาเรื่องความขัดแย้งระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากต้องทำงานร่วมกันในระยะยาว ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการปรับยุทธศาสตร์ของพรรคร่วมรัฐบาลใหม่หลังจาก พรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา แพ้การเลือกตั้งซ่อมที่ จังหวัดสกลนคร และศรีษะเกส ให้กับพรรคเพื่อไทย
รายงานแจ้งว่า การปรับกลยุทธ์ใหม่ครั้งนี้ นายสุเทพ พร้อมสนับสนุนงบประมาณแบบไม่อั้น ให้กับพรรคภูมิใจไทยโดยเฉพาะในพื้นที่อีสานขอเพียงแต่ พรรคภูมิใจไทย จะไม่เสนอโครงการที่จะกระทบต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของรัฐบาลเข้ามาเพื่อเป็นเกมต่อรอง ซึ่งเรื่องนี้ นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ก็รับปากจะไปหารือกับพรรค เพื่อร่วมดึงภาพลักษณ์ของพรรครัฐบาลให้กลับคืนมา
นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัน ส.ส.สัดส่วน และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ภาคอีสาน กล่าวว่า ในการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีได้ขอความร่วมมือให้ส.ส.พรรคทั้งเขตและสัดส่วนให้ไปร่วมงานครั้งนี้ด้วย โดยใครว่างก็ไป เพื่อจะได้เห็นการทำงาน ของรัฐบาลและการผลักดันนโยบายของรัฐบาล ก่อนที่จะมีการทำพื้นที่หาเสียง
ส่วนการลงพื้นที่ครั้งหนี้มีการประเมินว่าความนิยมในพรรคภูมิใจไทย จะดีกว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้นนายไกรศักดิ์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกันเพราะการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการทำหน้าที่ของรัฐบาล และจะเห็นได้ว่าพื้นที่ภาคอีสานคะแนนความนิยม ในพรรคประชาธิปัตย์มีมากกว่าระบบเขต ดังนั้นการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีจึงเท่ากับเป็นการสร้างกระแสความนิยมในพรรค ส่วนส.ส.เขตนั้นยอมรับว่าพรรคภูมิใจไทย มีพื้นที่มากกว่าประชาธิปัตย์ แต่เมื่อเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเราก็ต้องทำงานร่วมกันโดยอาศัยส.ส.ในพื้นที่ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ที่มีส.ส.น้อยกว่าเราก็จะต้องเร่งทำพื้นที่ให้มากขึ้นโดยเร่งผ่านนโยบายของรัฐบาล
ด้านนายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ แกนนำอีสาน กล่าวว่า ส.ส.เขตทั้ง 5 คนของพรรคประชาธิปัตย์รวมถึง ส.ส.สัดส่วนของพรรคพร้อมที่จะลง พื้นที่ร่วมกับนายกรัฐมนตรีใน จ.บุรีรัมย ซึ่งพรรคไม่คิดว่าเป็นการลงพื้นที่ ของพรรคไหน แต่การที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่เป็นการติดตามและดำเนินนโยบาย ของพรรค โดยเฉพาะ ในโครงการถนนปลอดฝุ่น การจัดหาแหล่งน้ำ และโครงการชลประทาน และโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งโรงพยาบาล ซึ่งเหล่านี้เป็นนโยบาย ของรัฐบาลทั้งนั้น ซึ่งหลังจากลงพื้นที่แล้ว พรรคก็จะเอาแนวนโยบายของรัฐบาลไปปรับใช้กับพื้นที่ของพรรค เพื่อทำพื้นที่และรณรงค์หาเสียงต่อไป ทั้งนี้จะมี ส.ส.พรรคร่วมลงพื้นที่กับนายกรัฐมนตรี ยกเว้นนายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.สัดส่วน ที่แจ้งว่าติดภารกิจไปต่างประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงบรรยากาศจ.บุรีรัมย์ หลัง นายอภิสิทธิ์ มีกำหนดการ เดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการตามนโยบายของรัฐบาลและรับฟังปัญหาของประชาชนเป็นจังหวัดแรกในภาคอีสาน ในวันที่ 11 ก.ค.นี้ ปรากฎว่า ทางจังหวัด และองค์การบริหารส่วนตำบล ต่างขึ้นป้ายและคัทเอาท์ขนาดใหญ่ เพื่อต้อนรับนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะฯ และป้ายสนับสนุนนโยบายสำคัญของรัฐบาล ไปทั้งจังหวัด และตามเส้นทางต่างๆ ที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางผ่าน ในการลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจ ในจ.บุรีรัมย์รวม 8 จุด ใน 4 อำเภอ มี อ.เมือง อ.ลำปลายมาศ อ.คูเมือง และอ.แคนดง ขณะที่ทางเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ได้ตกแต่งภายในตู้โบกี้รถไฟที่จะใช้เป็นห้องสมุด ตู้รถไฟที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาเป็นประธานเปิดระหว่างลงพื้นที่จ.บุรีรัมย์ ภายหลังจากที่ได้มีการเคลื่อนย้ายตู้โบกี้รถไฟ 5 ตู้จาก จ.นครราชสีมามาติดตั้งเมื่อวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยมีการระดมช่างและเจ้าหน้าที่เร่งมือตกแต่ง ทาสี ติดตั้งอุปกรณ์ภายในตู้โบกี้รถไฟ เพื่อให้เสร็จทันวันที่ 11 ก.ค. นี้ ที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางลงพื้นที่ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 4 วันเท่านั้น
พล.ต.ต.สมบัติ คงพิบูลย์ ผบก.ภ.บุรีรัมย์ กล่าวว่าการดูแลรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรีและคณะ ได้วางมาตการอย่างเข้มงวด โดยจะมีการวางกำลังเจ้าหน้าที่ด้านการรักษาความปลอดภัยทุกจุดที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางลงพื้นที่ รวมทั้งตามเส้นทางที่คณะจะเดินทางผ่านด้วย ซึ่งขณะนี้ได้มีการประสานกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในพื้นที่จ.บุรีรัมย์,นครราชสีมาและจ.สุรินทร์ รวมทั้งกำลังทหารบางส่วนมาดูแลรักษาความปลอดภัยรวมทั้งสิ้นกว่า 3,000 นาย ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรีและคณะได้ และเชื่อมั่นว่าจะไม่เกิดปัญหาความวุ่นวายขึ้นแต่อย่างใด
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช และโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีกลุ่มเสื้อแดงจ.เชียงใหม่ ต่อต้านการลงพื้นที่ของ นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุขที่ จ.เชียงใหม่ว่า การลงพื้นที่ของนายวิทยาได้รับการต่อต้านแบบป่าเถื่อนบุกเข้าล้อม เป็นการทำลายลายภาพลักษณ์ของ ชาวเชียงใหม่ซึ่งเป็นท่องเที่ยว น่าเสียใจที่คนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นคนกลุ่มเล็กๆ มาทำลาย ภาพลักษ์ของคนเชียงใหม่ ซึ่งเป็นคนที่มีจิตใจดีและก็รักษาความเป็นเมืองท่องเที่ยว มาโดยตลอด แต่ก็ถูกทำลายโดยคนกลุ่มหนึ่ง และก็ไม่แน่ใจว่าเป็นคนเชียงใหม่จริงหรือไม่
นายเทพไทกล่าวว่า เหตุที่เกิดขึ้น เพราะมีการปลุกระดมโดยเครือข่าย วิทยุชุมชุมเรียกร้องให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งออกมา จึงอยากให้จับตามองสถานีวิทยุ ชุมชุมที่เชียงใหม่รวมไปถึงวิทยุชุมชนคนรักอุดรของนายขวัญชัย ไพรพนา ที่ จ.อุดรธานี ที่จะเปิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินเข้ารายการทุกวันจันทร์ และวิทยุชุมชนคนรักแท็กซี่ของนายชินวัตร หาบุญพาด ด้วย เหตุการณ์ทั้งหมด เป็นการทำเพื่อปลุกระดมต่อต้านการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีในวันที่11 ก.ค. นี้หรือไม่ อยากให้หน่วยงานรับผิดชอบจับตาการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่แม้จะเป็นคนกลุ่มน้อยก็ตาม แต่ก็ต้องจับตาเพื่อความไม่ประมาท นอกจากนี้ หากยังมีการปลุกระดมอย่างนี้อีก ตนจะทำหนังสือยื่นต่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนานราษฎร เพื่อเชิญผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงและหามาตรการแก้ไขป้องกัน
นายเทพไท กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านเรียกร้องให้นายวิทยา แก้วภราดัย และนายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งเพราะแก้ไขปัญหาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009ไม่ได้ว่า รัฐบาลได้ใช้มาตรฐานในการแก้ไขและป้องกันอย่างเต็มที่ ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าต่างประเทศ เหตุที่มีผู้เสียชีวิตเพราะเป็นเหตุสุดวิสัยและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่รัฐบาลให้ความสำคัญและพยายามแก้ไข
อยากจะให้พรรคเพื่อไทยกลับไปดูว่าสมัย พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯมีโรคระบาดไข้หวัดนกและโรคซาร์ที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่านี้ด้วยซ้ำไป แต่ก็ไม่เคยเรียกร้องให้ นายกฯหรือรัฐมนตรีสาธารณสุขแสดงความรับผิดชอบ เพราะรู้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย แต่วันนี้นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กลับมาท้าเดิมพันตำแหน่ง อยากจะถามว่า นายพร้อมพงศ์มีตำแหน่งที่มีศักดิ์ศรีพอมาเดิมพันตำแหน่ง เพราะนายพร้อมพงศ์ เป็นเพียง ส.ส.สอบตก และเป็น ส.ส.สอบตกในพรรคที่วันนี้ไม่มีใครอยากเป็นหัวหน้าพรรค ไม่อยากเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ หรือภาษาสมัยใหม่ก็คือไม่อยากจะเอาเพชรไปแลกกับก้อนกรวด แต่กลับมาลอยหน้าลอยตา มาท้าเดิมพันตำแหน่ง อย่างนายพร้อมพงศ์เป็นได้เพียงว่าเป็นเสด็จพี่ในหนังจักรๆ วงศ์ๆ เท่านั้น ถ้าให้ทันสมัยหน่อยก็ต้องเรียกไอ้จ๋อจ้อรายวัน
ส่วนกรณีนายไพจิตร ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจฮั้วกันในทางการเมืองในการเลือกตั้งในเขตภาคอีสานนั้น นายเทพไท กล่าวว่า การกล่าวหาของนายไพจิตรว่าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยฮั้วกันทำพื้นที่อีสาน ไม่เป็นความจริง เพราะปกติ การทำพื้นที่ในเขต อีสาน พรรคประชาธิปัตย์ได้ตื่นตัวเรื่องการเลือกตั้งสำหรับภาคอีสานมาโดยตลอด ไม่เคยมีพรรคสาขา ไม่เคยมีพรรคนอมินี
ส่วนที่มีกลุ่มเสื้อแดงปิดล้อมนายวิทยานั้นเชื่อว่าเป็นคนของพรรคการเมืองฝั่งตรงข้าม ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลความสงบเรียบร้อย จะไปยึดว่าเป็นคน กลุ่มโน้นกลุ่มนี้ไม่ได้
รายงานข่าวจากคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.สัดส่วนและกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค เป็นประธาน ว่า คณะกรรมการได้มีการประเมินสถานการณ์การลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ของ นายอภิสิทธิ์ ี ในวันที่ 11 ก.ค.นี้ ว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้จะเป็นผลดีต่อพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า พรรคภูมิใจไทย เพราะจะส่งผลให้คะแนนนิยมของพรรคสูงขึ้น เนื่องจากขณะนี้กระแสความนิยมพรรคประชาธิปัตย์ดีขึ้นโดยเฉพาะในเขตเมือง ดังนั้นการลงพื้นที่ของ นายกรัฐมนตรีไม่ว่าจะเป็นจังหวัดใดในภาคอีสานก็จะเป็นการสร้างกระแสให้กับพรรค เพราะจากผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดคะแนนความนิยมในพรรคประชาธิปัตย์สูสีกับ พรรคเพื่อไทย การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีจึงเป็นการช่วงชิงกระแสความนิยม ของประชาชนจากพรรคเพื่อไทย
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯประเมินว่าแม้กระแสนิยมของพรรคจะเพิ่มขึ้น แต่คะแนนนิยมในตัว ส.ส.ในระบบเขตเลือกตั้งของพรรคยังมีปัญหา เนื่องจากหาคน ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งยาก คณะกรรมการฯเห็นว่าพรรคภูมิใจไทย มีฐานความนิยม ส่วนตัวของส.ส.สูงกว่าพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยส.ส. พรรคภูมิใจไทยในการผลักดันนโยบายของรัฐบาล โดยจะชูว่าเป็นผลงานของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมคณะกรรมการฯ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปั ตย์ ได้กำชับให้ ส.ส.อีสาน ของพรรคไปร่วมงานการลงพื้นที่ของนายอภิสิทธิ์ เพื่อป้องกันข้อครหาเรื่องความขัดแย้งระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากต้องทำงานร่วมกันในระยะยาว ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการปรับยุทธศาสตร์ของพรรคร่วมรัฐบาลใหม่หลังจาก พรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา แพ้การเลือกตั้งซ่อมที่ จังหวัดสกลนคร และศรีษะเกส ให้กับพรรคเพื่อไทย
รายงานแจ้งว่า การปรับกลยุทธ์ใหม่ครั้งนี้ นายสุเทพ พร้อมสนับสนุนงบประมาณแบบไม่อั้น ให้กับพรรคภูมิใจไทยโดยเฉพาะในพื้นที่อีสานขอเพียงแต่ พรรคภูมิใจไทย จะไม่เสนอโครงการที่จะกระทบต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของรัฐบาลเข้ามาเพื่อเป็นเกมต่อรอง ซึ่งเรื่องนี้ นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ก็รับปากจะไปหารือกับพรรค เพื่อร่วมดึงภาพลักษณ์ของพรรครัฐบาลให้กลับคืนมา
นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัน ส.ส.สัดส่วน และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ภาคอีสาน กล่าวว่า ในการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีได้ขอความร่วมมือให้ส.ส.พรรคทั้งเขตและสัดส่วนให้ไปร่วมงานครั้งนี้ด้วย โดยใครว่างก็ไป เพื่อจะได้เห็นการทำงาน ของรัฐบาลและการผลักดันนโยบายของรัฐบาล ก่อนที่จะมีการทำพื้นที่หาเสียง
ส่วนการลงพื้นที่ครั้งหนี้มีการประเมินว่าความนิยมในพรรคภูมิใจไทย จะดีกว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้นนายไกรศักดิ์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกันเพราะการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการทำหน้าที่ของรัฐบาล และจะเห็นได้ว่าพื้นที่ภาคอีสานคะแนนความนิยม ในพรรคประชาธิปัตย์มีมากกว่าระบบเขต ดังนั้นการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีจึงเท่ากับเป็นการสร้างกระแสความนิยมในพรรค ส่วนส.ส.เขตนั้นยอมรับว่าพรรคภูมิใจไทย มีพื้นที่มากกว่าประชาธิปัตย์ แต่เมื่อเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเราก็ต้องทำงานร่วมกันโดยอาศัยส.ส.ในพื้นที่ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ที่มีส.ส.น้อยกว่าเราก็จะต้องเร่งทำพื้นที่ให้มากขึ้นโดยเร่งผ่านนโยบายของรัฐบาล
ด้านนายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ แกนนำอีสาน กล่าวว่า ส.ส.เขตทั้ง 5 คนของพรรคประชาธิปัตย์รวมถึง ส.ส.สัดส่วนของพรรคพร้อมที่จะลง พื้นที่ร่วมกับนายกรัฐมนตรีใน จ.บุรีรัมย ซึ่งพรรคไม่คิดว่าเป็นการลงพื้นที่ ของพรรคไหน แต่การที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่เป็นการติดตามและดำเนินนโยบาย ของพรรค โดยเฉพาะ ในโครงการถนนปลอดฝุ่น การจัดหาแหล่งน้ำ และโครงการชลประทาน และโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งโรงพยาบาล ซึ่งเหล่านี้เป็นนโยบาย ของรัฐบาลทั้งนั้น ซึ่งหลังจากลงพื้นที่แล้ว พรรคก็จะเอาแนวนโยบายของรัฐบาลไปปรับใช้กับพื้นที่ของพรรค เพื่อทำพื้นที่และรณรงค์หาเสียงต่อไป ทั้งนี้จะมี ส.ส.พรรคร่วมลงพื้นที่กับนายกรัฐมนตรี ยกเว้นนายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.สัดส่วน ที่แจ้งว่าติดภารกิจไปต่างประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงบรรยากาศจ.บุรีรัมย์ หลัง นายอภิสิทธิ์ มีกำหนดการ เดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการตามนโยบายของรัฐบาลและรับฟังปัญหาของประชาชนเป็นจังหวัดแรกในภาคอีสาน ในวันที่ 11 ก.ค.นี้ ปรากฎว่า ทางจังหวัด และองค์การบริหารส่วนตำบล ต่างขึ้นป้ายและคัทเอาท์ขนาดใหญ่ เพื่อต้อนรับนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะฯ และป้ายสนับสนุนนโยบายสำคัญของรัฐบาล ไปทั้งจังหวัด และตามเส้นทางต่างๆ ที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางผ่าน ในการลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจ ในจ.บุรีรัมย์รวม 8 จุด ใน 4 อำเภอ มี อ.เมือง อ.ลำปลายมาศ อ.คูเมือง และอ.แคนดง ขณะที่ทางเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ได้ตกแต่งภายในตู้โบกี้รถไฟที่จะใช้เป็นห้องสมุด ตู้รถไฟที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาเป็นประธานเปิดระหว่างลงพื้นที่จ.บุรีรัมย์ ภายหลังจากที่ได้มีการเคลื่อนย้ายตู้โบกี้รถไฟ 5 ตู้จาก จ.นครราชสีมามาติดตั้งเมื่อวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยมีการระดมช่างและเจ้าหน้าที่เร่งมือตกแต่ง ทาสี ติดตั้งอุปกรณ์ภายในตู้โบกี้รถไฟ เพื่อให้เสร็จทันวันที่ 11 ก.ค. นี้ ที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางลงพื้นที่ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 4 วันเท่านั้น
พล.ต.ต.สมบัติ คงพิบูลย์ ผบก.ภ.บุรีรัมย์ กล่าวว่าการดูแลรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรีและคณะ ได้วางมาตการอย่างเข้มงวด โดยจะมีการวางกำลังเจ้าหน้าที่ด้านการรักษาความปลอดภัยทุกจุดที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางลงพื้นที่ รวมทั้งตามเส้นทางที่คณะจะเดินทางผ่านด้วย ซึ่งขณะนี้ได้มีการประสานกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในพื้นที่จ.บุรีรัมย์,นครราชสีมาและจ.สุรินทร์ รวมทั้งกำลังทหารบางส่วนมาดูแลรักษาความปลอดภัยรวมทั้งสิ้นกว่า 3,000 นาย ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรีและคณะได้ และเชื่อมั่นว่าจะไม่เกิดปัญหาความวุ่นวายขึ้นแต่อย่างใด
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช และโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีกลุ่มเสื้อแดงจ.เชียงใหม่ ต่อต้านการลงพื้นที่ของ นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุขที่ จ.เชียงใหม่ว่า การลงพื้นที่ของนายวิทยาได้รับการต่อต้านแบบป่าเถื่อนบุกเข้าล้อม เป็นการทำลายลายภาพลักษณ์ของ ชาวเชียงใหม่ซึ่งเป็นท่องเที่ยว น่าเสียใจที่คนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นคนกลุ่มเล็กๆ มาทำลาย ภาพลักษ์ของคนเชียงใหม่ ซึ่งเป็นคนที่มีจิตใจดีและก็รักษาความเป็นเมืองท่องเที่ยว มาโดยตลอด แต่ก็ถูกทำลายโดยคนกลุ่มหนึ่ง และก็ไม่แน่ใจว่าเป็นคนเชียงใหม่จริงหรือไม่
นายเทพไทกล่าวว่า เหตุที่เกิดขึ้น เพราะมีการปลุกระดมโดยเครือข่าย วิทยุชุมชุมเรียกร้องให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งออกมา จึงอยากให้จับตามองสถานีวิทยุ ชุมชุมที่เชียงใหม่รวมไปถึงวิทยุชุมชนคนรักอุดรของนายขวัญชัย ไพรพนา ที่ จ.อุดรธานี ที่จะเปิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินเข้ารายการทุกวันจันทร์ และวิทยุชุมชนคนรักแท็กซี่ของนายชินวัตร หาบุญพาด ด้วย เหตุการณ์ทั้งหมด เป็นการทำเพื่อปลุกระดมต่อต้านการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีในวันที่11 ก.ค. นี้หรือไม่ อยากให้หน่วยงานรับผิดชอบจับตาการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่แม้จะเป็นคนกลุ่มน้อยก็ตาม แต่ก็ต้องจับตาเพื่อความไม่ประมาท นอกจากนี้ หากยังมีการปลุกระดมอย่างนี้อีก ตนจะทำหนังสือยื่นต่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนานราษฎร เพื่อเชิญผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงและหามาตรการแก้ไขป้องกัน
นายเทพไท กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านเรียกร้องให้นายวิทยา แก้วภราดัย และนายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งเพราะแก้ไขปัญหาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009ไม่ได้ว่า รัฐบาลได้ใช้มาตรฐานในการแก้ไขและป้องกันอย่างเต็มที่ ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าต่างประเทศ เหตุที่มีผู้เสียชีวิตเพราะเป็นเหตุสุดวิสัยและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่รัฐบาลให้ความสำคัญและพยายามแก้ไข
อยากจะให้พรรคเพื่อไทยกลับไปดูว่าสมัย พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯมีโรคระบาดไข้หวัดนกและโรคซาร์ที่มีผู้เสียชีวิตมากกว่านี้ด้วยซ้ำไป แต่ก็ไม่เคยเรียกร้องให้ นายกฯหรือรัฐมนตรีสาธารณสุขแสดงความรับผิดชอบ เพราะรู้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย แต่วันนี้นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กลับมาท้าเดิมพันตำแหน่ง อยากจะถามว่า นายพร้อมพงศ์มีตำแหน่งที่มีศักดิ์ศรีพอมาเดิมพันตำแหน่ง เพราะนายพร้อมพงศ์ เป็นเพียง ส.ส.สอบตก และเป็น ส.ส.สอบตกในพรรคที่วันนี้ไม่มีใครอยากเป็นหัวหน้าพรรค ไม่อยากเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ หรือภาษาสมัยใหม่ก็คือไม่อยากจะเอาเพชรไปแลกกับก้อนกรวด แต่กลับมาลอยหน้าลอยตา มาท้าเดิมพันตำแหน่ง อย่างนายพร้อมพงศ์เป็นได้เพียงว่าเป็นเสด็จพี่ในหนังจักรๆ วงศ์ๆ เท่านั้น ถ้าให้ทันสมัยหน่อยก็ต้องเรียกไอ้จ๋อจ้อรายวัน
ส่วนกรณีนายไพจิตร ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจฮั้วกันในทางการเมืองในการเลือกตั้งในเขตภาคอีสานนั้น นายเทพไท กล่าวว่า การกล่าวหาของนายไพจิตรว่าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยฮั้วกันทำพื้นที่อีสาน ไม่เป็นความจริง เพราะปกติ การทำพื้นที่ในเขต อีสาน พรรคประชาธิปัตย์ได้ตื่นตัวเรื่องการเลือกตั้งสำหรับภาคอีสานมาโดยตลอด ไม่เคยมีพรรคสาขา ไม่เคยมีพรรคนอมินี