ASTVผู้จัดการรายวัน – เอ็กโกตั้งเป้า 5ปีนี้เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 5พันเมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนรวม 3 หมื่นกว่าล้านบาท เน้นการลงทุนในต่างประเทศโดยมองลู่ทางที่อินโดนีเซียและเวียดนาม เบื้องต้นปีนี้วางงบลงทุนไว้ 3.4 พันล้านบาท หากพบโครงการดีพร้อมลุยเต็มที่
นายวินิจ แตงน้อย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าจำกัด (มหาชน)(เอ็กโก) เปิดเผยแผนการลงทุน 5ปี (2552-2556)ว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตจาก 4,000 เมกะวัตต์เป็น 5,000 เมกะวัตต์ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็น 3 หมื่นกว่าล้านบาทโดยเน้นลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศไม่จำกัดว่าเป็นประเภทโรงไฟฟ้า เนื่องจากจะไม่มีการเปิดประมูลสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในไทยตลอดช่วง 5ปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทฯให้ความสนใจในการลงทุนโรงไฟฟ้าในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอยู่3-4 โครงการ โดยเฉพาะในอินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ โดยบริษัทฯมีเงินทุนพร้อมแล้วประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3.4 พันล้านบาท หากมูลค่าโครงการสูงกว่านี้ก็พร้อมที่จะจัดหาเงินกู้เพิ่มเติมได้อีก เนื่องจากมีอัตราหนี้สินต่อทุนต่ำเพียง 0.2 เท่ากว่า ซึ่งการพิจารณาโครงการลงทุนในต่างประเทศนั้นจะต้องมีผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่าในประเทศไทย คาดว่าจะมีความชัดเจนในปลายปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้รับการชักชวนลงทุนในธุรกิจถ่านหินที่ออสเตรเลียและอินโดนีเซีย ตามกระแสของธุรกิจโรงไฟฟ้าที่หันไปลงทุนในเหมืองถ่านหินควบคู่กันไปด้วย แต่ช่วงนี้บริษัทจะเน้นลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าก่อน เพราะเป็นธุรกิจที่มีความชำนาญ แต่ก็ไม่ได้ปิดโอกาสหากมีข้อเสนอที่ดี
นายวินิจ กล่าวต่อไปว่า จากกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นนี้ บริษัทฯตั้งเป้าเพิ่มกำไรอีก 1 พันล้านบาท และรายได้เพิ่มขึ้นอีก 20% ใน 5 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าปีนี้บริษัทจะทำกำไรได้ดีกว่าที่คาดไว้ 5 พันกว่าล้านบาท เป็นกว่า 6 พันล้านบาท แต่ไม่สูงกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6.9 พันล้านบาท ส่วนรายได้ลดลงราว 5-10% จากปีก่อนที่มี 1.07 หมื่นล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 4/2552 จะปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าบีแอลพีซี และ โรงไฟฟ้าระยอง
นอกจากนิ้ บริษัทฯเตรียมเจรจาต่อสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าขนอม และ โรงไฟฟ้าระยอง กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ในปีหน้า คาดหวังว่าจะได้ต่อสัญญาออกไปอย่างน้อย 5-10 ปี เนื่องจากโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งยังมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้ต่อสัญญาโรงไฟฟ้าดังกล่าว บริษัทก็จะเก็บพื้นที่ไว้รอสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ขนาด 800 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดเประมูลในบริเวณขนอม เพราะที่ดินอยู่ติดกับโรงแยกก๊าซอยู่แล้ว ทำให้ได้เปรียบเรื่องที่ตั้ง ขณะที่โรงไฟฟ้าระยองนั้นก็อาจจะขายโรงงานให้กับผู้ที่สนใจย้ายไปตั้งที่ต่างประเทศ ส่วนที่ดินก็จะเก็บไว้ลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่หากเปิดประมูลในรอบต่อไป
ส่วนโครงการพลังงานทดแทน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังแสงอาทิตย์นั้น บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษา คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทฯได้เข้าลงทุน GPI Quezon Ltd. ในฟิลิปปินส์เมื่อปลายปี 2551 โดยเข้าไปถือหุ้น 26% ใช้เม็ดเงินลงทุน 3.5 พันล้านบาท โรงไฟฟ้าเควซอนมีกำลังการผลิตกว่า 500 เมกะวัตต์ มีผลตอบแทนการลงทุน(IRR)ราว 15% มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอีก 17 ปี ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ระยะเวลาคืนทุน 10 ปี และปีนี้บริษัทรับรู้รายได้เต็มปี
นายวินิจ แตงน้อย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าจำกัด (มหาชน)(เอ็กโก) เปิดเผยแผนการลงทุน 5ปี (2552-2556)ว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตจาก 4,000 เมกะวัตต์เป็น 5,000 เมกะวัตต์ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็น 3 หมื่นกว่าล้านบาทโดยเน้นลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศไม่จำกัดว่าเป็นประเภทโรงไฟฟ้า เนื่องจากจะไม่มีการเปิดประมูลสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในไทยตลอดช่วง 5ปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทฯให้ความสนใจในการลงทุนโรงไฟฟ้าในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอยู่3-4 โครงการ โดยเฉพาะในอินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ โดยบริษัทฯมีเงินทุนพร้อมแล้วประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3.4 พันล้านบาท หากมูลค่าโครงการสูงกว่านี้ก็พร้อมที่จะจัดหาเงินกู้เพิ่มเติมได้อีก เนื่องจากมีอัตราหนี้สินต่อทุนต่ำเพียง 0.2 เท่ากว่า ซึ่งการพิจารณาโครงการลงทุนในต่างประเทศนั้นจะต้องมีผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่าในประเทศไทย คาดว่าจะมีความชัดเจนในปลายปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้รับการชักชวนลงทุนในธุรกิจถ่านหินที่ออสเตรเลียและอินโดนีเซีย ตามกระแสของธุรกิจโรงไฟฟ้าที่หันไปลงทุนในเหมืองถ่านหินควบคู่กันไปด้วย แต่ช่วงนี้บริษัทจะเน้นลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าก่อน เพราะเป็นธุรกิจที่มีความชำนาญ แต่ก็ไม่ได้ปิดโอกาสหากมีข้อเสนอที่ดี
นายวินิจ กล่าวต่อไปว่า จากกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นนี้ บริษัทฯตั้งเป้าเพิ่มกำไรอีก 1 พันล้านบาท และรายได้เพิ่มขึ้นอีก 20% ใน 5 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าปีนี้บริษัทจะทำกำไรได้ดีกว่าที่คาดไว้ 5 พันกว่าล้านบาท เป็นกว่า 6 พันล้านบาท แต่ไม่สูงกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6.9 พันล้านบาท ส่วนรายได้ลดลงราว 5-10% จากปีก่อนที่มี 1.07 หมื่นล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 4/2552 จะปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าบีแอลพีซี และ โรงไฟฟ้าระยอง
นอกจากนิ้ บริษัทฯเตรียมเจรจาต่อสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าขนอม และ โรงไฟฟ้าระยอง กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ในปีหน้า คาดหวังว่าจะได้ต่อสัญญาออกไปอย่างน้อย 5-10 ปี เนื่องจากโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่งยังมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้ต่อสัญญาโรงไฟฟ้าดังกล่าว บริษัทก็จะเก็บพื้นที่ไว้รอสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ขนาด 800 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดเประมูลในบริเวณขนอม เพราะที่ดินอยู่ติดกับโรงแยกก๊าซอยู่แล้ว ทำให้ได้เปรียบเรื่องที่ตั้ง ขณะที่โรงไฟฟ้าระยองนั้นก็อาจจะขายโรงงานให้กับผู้ที่สนใจย้ายไปตั้งที่ต่างประเทศ ส่วนที่ดินก็จะเก็บไว้ลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่หากเปิดประมูลในรอบต่อไป
ส่วนโครงการพลังงานทดแทน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานลมและพลังแสงอาทิตย์นั้น บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษา คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทฯได้เข้าลงทุน GPI Quezon Ltd. ในฟิลิปปินส์เมื่อปลายปี 2551 โดยเข้าไปถือหุ้น 26% ใช้เม็ดเงินลงทุน 3.5 พันล้านบาท โรงไฟฟ้าเควซอนมีกำลังการผลิตกว่า 500 เมกะวัตต์ มีผลตอบแทนการลงทุน(IRR)ราว 15% มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอีก 17 ปี ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ระยะเวลาคืนทุน 10 ปี และปีนี้บริษัทรับรู้รายได้เต็มปี