ASTVผู้จัดการรายวัน – แสนสิริเชื่อ 2 ไตรมาสสุดท้ายของปี ตลาดอสังหาฯฟื้นตัว พร้อมปรับแผนพัฒนาคอนโดฯเพิ่มอีก 2 โครงการ จากแผนเดิมเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งปี16โครงการ เผยครึ่งปีแรกสัญญาณต่างๆดีขึ้นทุกด้าน บวกกับผู้ประกอบการเร่งอัดแคมเปญ ส่งผลยอดขายทาวน์เฮาส์เติบโตจากปี51กว่า 10% คาดยอดขายรวมทั้งปีน่าจะได้ 17,000 ล้านบาท
นายสมัชชา พรหมศิริ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มตลดาอสังหาในช่วง2ไตรมาสแรกที่ผ่านมาเริ่มปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการได้รับผลประโยชน์จากการออกมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลง โดยผู้ประกอบการได้นำส่วนลดดังกล่าวมาจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรายใหญ่และรายกลางที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีการจัดแคมเปญเพื่อกระตุ้นยอดขาย
นอกจากนี้ แนวโน้มปัญหาและความขัดแย้งทางการเมืองที่เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคฟื้นตัวมากขึ้น ซึ่งหลังจากที่ภาวะการเมืองนิ่งในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ในช่วงไตรมาส2เป็นต้นมา ตลาดอสังหาฯโดยรวมกลับมาคึกคักอีกครั้ง
ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการแนวราบ โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวเริ่มกลับมาทรงตัวในระดับเดียวกับช่วงปลายปีที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่มที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮาส์กลับมีอัตราการขยายตัวที่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี51 ประมาณ 10% โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทมีส่วนแบ่งยอดขายทาวน์เฮาส์ 20% ซึ่งในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตขึ้นมาอยู่ที่ 30% หรือมีส่วนแบ่งยอดขายรวมอยู่ประมาณ 500-600ล้านบาท
ส่วนกลุ่มบ้านเดี่ยวนั้น แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกจะหดตัวลงเล็กน้อย แต่ในช่วงไตรมาส2ที่ผ่านมายอดขายเริ่มกลับมาทรงตัวเท่ากับปี51 โดยราคาบ้านเดี่ยวที่ยังขายได้ต่อเนื่องจะอยู่ระดับ 3-7 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวต่ำกว่า 3 ล้านบาทลงมา ส่วนตลาดบ้านเดี่ยวราคา10 ล้านบขึ้นไป ยอดขายค่อนข้างอืด ซึ่งในส่วนของแสนสิริ ถือว่าไม่ได้รับผลกระทบจากตลาดนี้ เนื่องจากปัจจุบันมีโครงการบ้านระดับบนเหลือขายอยู่เพียง1โครงการเท่านั้น
” ทางแสนสิริ ได้เตรียมแผนธุรกิจใหม่ เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดในช่วงปลายปี โดยในเดือนต.ค. บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่เพิ่มอีก2โครงการ รวมแล้วบริษัทจะมีโครงการใหม่รวม 18 โครงการ จากเดิม 16 โครงการ ดังนั้น ในช่วงเดือนต.ค.นี้ ทางบริษัทจะจัดกิจกรรมการตลาดครั้งใหญ่ เพื่อเร่งยอดขาย โดยตัวเลขเป้าการขายรวมต้นปีทางบริษัทวางไว้ 17,000 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขดังกล่าวน่าจะได้ตามเป้า เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกสามารถทำยอดขายได้รวม 10,000 ล้านบาท และคาดว่าไตรมาส 3 จะมียอดขายเข้ามาอีก 4,000 ล้านบาท ”
นายสมัชชา พรหมศิริ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มตลดาอสังหาในช่วง2ไตรมาสแรกที่ผ่านมาเริ่มปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการได้รับผลประโยชน์จากการออกมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลง โดยผู้ประกอบการได้นำส่วนลดดังกล่าวมาจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรายใหญ่และรายกลางที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีการจัดแคมเปญเพื่อกระตุ้นยอดขาย
นอกจากนี้ แนวโน้มปัญหาและความขัดแย้งทางการเมืองที่เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคฟื้นตัวมากขึ้น ซึ่งหลังจากที่ภาวะการเมืองนิ่งในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ในช่วงไตรมาส2เป็นต้นมา ตลาดอสังหาฯโดยรวมกลับมาคึกคักอีกครั้ง
ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการแนวราบ โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวเริ่มกลับมาทรงตัวในระดับเดียวกับช่วงปลายปีที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่มที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮาส์กลับมีอัตราการขยายตัวที่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปี51 ประมาณ 10% โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทมีส่วนแบ่งยอดขายทาวน์เฮาส์ 20% ซึ่งในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตขึ้นมาอยู่ที่ 30% หรือมีส่วนแบ่งยอดขายรวมอยู่ประมาณ 500-600ล้านบาท
ส่วนกลุ่มบ้านเดี่ยวนั้น แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกจะหดตัวลงเล็กน้อย แต่ในช่วงไตรมาส2ที่ผ่านมายอดขายเริ่มกลับมาทรงตัวเท่ากับปี51 โดยราคาบ้านเดี่ยวที่ยังขายได้ต่อเนื่องจะอยู่ระดับ 3-7 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวต่ำกว่า 3 ล้านบาทลงมา ส่วนตลาดบ้านเดี่ยวราคา10 ล้านบขึ้นไป ยอดขายค่อนข้างอืด ซึ่งในส่วนของแสนสิริ ถือว่าไม่ได้รับผลกระทบจากตลาดนี้ เนื่องจากปัจจุบันมีโครงการบ้านระดับบนเหลือขายอยู่เพียง1โครงการเท่านั้น
” ทางแสนสิริ ได้เตรียมแผนธุรกิจใหม่ เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดในช่วงปลายปี โดยในเดือนต.ค. บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่เพิ่มอีก2โครงการ รวมแล้วบริษัทจะมีโครงการใหม่รวม 18 โครงการ จากเดิม 16 โครงการ ดังนั้น ในช่วงเดือนต.ค.นี้ ทางบริษัทจะจัดกิจกรรมการตลาดครั้งใหญ่ เพื่อเร่งยอดขาย โดยตัวเลขเป้าการขายรวมต้นปีทางบริษัทวางไว้ 17,000 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขดังกล่าวน่าจะได้ตามเป้า เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกสามารถทำยอดขายได้รวม 10,000 ล้านบาท และคาดว่าไตรมาส 3 จะมียอดขายเข้ามาอีก 4,000 ล้านบาท ”