เมื่อช่วงเที่ยงวานนี้ (1ก.ค.) นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยังบ้านพิษณุโลก ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจเสร็จสิ้น โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายนิพนธ์ พร้อมพันธ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย เข้าร่วมรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน
นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกรัฐบาล ในฐานะโฆษกพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่าเป็นการร่วมรับประทานอาหารกันตามปกติ เพราะได้นัดกันไว้ตั้งแต่ตอนนายกฯเดินทางไปสิงคโปร์ ว่าหลังการเลือกตั้งซ่อมจ.สกลนคร เสร็จ และนายกฯเดินทางกลับจากการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อกลับมาก็นัดทานข้าวกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีประเด็นร้อนทางการเมืองที่น่าเป็นห่วงคุยกันหรือไม่ นายศุภชัย กล่าวเพียงว่า ไม่ได้ซีเรียสอะไร เรื่องต่างๆก็ว่ากันไป ส่วนกรณีที่สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศชัดว่า พร้อมรบ และไม่เป็นฝ่ายถอนทหารออกจากพื้นที่ก่อนนั้น ตนเชื่อว่าไม่น่าเป็นห่วง คงมีวิธีทางการทูตหารือกัน เพื่อไม่ให้กระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และกัมพูชาก็ต้องเข้าใจว่า ไทยไม่ได้ขัดขวาง แต่เป็นการเรียกร้องต่อคณะกรรมการมรดกโลกเท่านั้น ทางด้านการทูตและทหารคงจะคุยกัน
ต่อมาเวลา 13.15 น. นายสุเทพ ได้ออกจากบ้านพิษณุโลก จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เดินทางกลับมายังทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้ให้นโยบายเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มประจำต่างประเทศ
ทั้งนี้มีรายงานว่า การร่วมรับประทานอาหารกลางวันครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้เชิญนายเนวิน มาร่วมรับประทานอาหาร เนื่องจากนายเนวิน เพิ่งพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อมที่จ.สกลนคร จึงอยากให้กำลังใจ โอกาสนี้นายเนวิน ยังได้วิเคราะห์ถึงเหตุของความพ่ายแพ้ ซึ่งมีปัจจัย 3 อย่าง คือ 1. คนในพื้นที่ยังนิยมพ.ต.ท.ทักษิณ 2. มีการโฟนอินปลุกกระแสให้คนสงสาร และทำให้คนมองว่า ถูกกลั่นแกล้ง และ 3. ยุทธวิธีของการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยไม่เกี่ยวกับตัวผู้สมัคร แต่เน้นให้เห็นว่า ระหว่างนายเนวิน กับพ.ต.ท. ทักษิณ ชาวบ้านจะเลือกใคร ซึ่งชาวบ้านก็เลือก พ.ต.ท.ทักษิณอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าในสนามการเลือกตั้งใหญ่ ผลจะไม่ออกมาอย่างนี้ ซึ่งนาย เนวินยืนยันว่า จะสู้เต็มที่ และสู้ต่อไป การทำงานในพรรคร่วม ก็อยู่ด้วยการให้เกียรติต่อกัน ซึ่งนายกฯบอกว่า การทำงานร่วมกัน จะต้องยึดความถูกต้อง ให้ประชาชนยอมรับ อย่าฝืนความรู้สึกประชาชน ซึ่งนายเนวิน ก็เข้าใจและยอมรับ
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การรับประทานอาหารร่วมกันครั้งนี้ ไม่ได้มีการหยิบยกเรื่องโครงการต่างๆ ของพรรคภูมิใจไทย มาหารือ ซึ่งนายกฯ ระบุว่าโครงการอะไรที่มีปัญหาเดินต่อไปไม่ได้ จะมอบให้นายสุเทพ เป็นผู้ประสาน
**มาร์คเตรียมเดินสายพบประชาชน
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเตรียมลงพื้นที่เพื่อพบปะประชาชนของนายกรัฐมนตรีว่า น่าจะเริ่มในช่วงกลางเดือนก.ค.นี้ โดยพื้นที่แรกคือภาคอีสาน ซึ่งตอนนี้กำลังดูจังหวัด และวันที่จะลงไป ซึ่งกำลังมีการเตรียมงานกัน คิดว่าในช่วงเสาร์-อาทิตนี้ จะส่งทีมงานลงไปดูพื้นที่ เพื่อประสานงาน และจากนั้นจะเดินทางไปจังหวัดทางภาคเหนือ โดยจะไปแบบไปเช้าเย็นกลับ และเลือกจังหวัดที่มีสนามบินไปลงได้ง่าย
"เรื่องของความปลอดภัย เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง แต่อาจจะมีข้อกังวลอยู่บ้างเรื่องเสื้อแดง จึงอยากจะขอร้องว่า รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลประชาชนทั้งประเทศ ก็ขอให้แกนนำที่บอกว่า อยากให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย ช่วยปรามๆกันด้วยว่า ประชาธิปไตยเขาไม่ขัดขวางคนไปทำงาน แค่แสดงออกแต่ไม่ใช่เรื่องของการทำร้าย แต่อย่างไรก็ตาม แผนที่วางไว้คงไม่ปรับเปลี่ยน เพราะถ้าตัดสินใจไปแล้ว ก็คงจะไปตามนั้น"นายสาทิตย์กล่าว
**วาง 4 ยุทธศาสตร์กู้วิกฤติ
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ในการประชุมวิปรัฐบาล เห็นว่าต้องร่วมมือกันในการขับเคลื่อนให้รัฐบาลมีโอกาสในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างต่อเนื่อง และสร้างโอกาสให้รัฐบาลในการกู้วิกฤติการเมืองให้ผ่านพ้นโดยเร็ว โดยมียุทธศาสตร์ คือ
1.รวมกันเราอยู่ คือ การร่วมกันทำงานอย่างเป็นเอกภาพ จากนี้นโยบยายต่างๆของพรรคร่วม เสียงของพรรคร่วมจะเป็นเสียงเดียวกัน การดำเนินการของรัฐมนตรีในแต่ละพรรคจะยึดการดำเนินงานตาม นโยบายภาพรวมของรัฐบาลเป็นหลัก
2.ร่วมกู้เศรษฐกิจ เพราะเห็นว่าปัญหาปากท้องเป็นเรื่องใหญ่ รัฐบาลจะต้องดำเนินการแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องราคาการพืชผลการเกษตร ที่รัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการแทรกแซงราคา ทำให้ภาพรวมของรัฐบาลยังมีปัญหาเรื่องการกู้วิกฤติเศรษฐกิจ
3.ใกล้ชิดประชาชน โดยเห็นว่านายกฯและรัฐมนตรี จำเป็นต้องลงพื้นที่ เพื่อเยี่ยมเยียนและให้ใกล้ชิดประชาชน หากมีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งขัดขวางการลงพื้นที่ ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเองว่า ใครยึดประโยชน์ของประเทศ หรือประโชน์ของตนเองเป็นหลัก
4.โชว์ผลงานทุกพื้นที่ ซึ่งจำเป็นมากเพราะบางพื้นที่มีส.ส.พรรคของฝ่ายค้านเท่านั้น ทำให้รัฐบาลไม่สามารถทะลวงลงไป เพื่อทำความเข้าใจ หรือให้รับรู้ว่ารัฐบาลมีผลงานอะไรบ้าง ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องทำงานประชาสัมพันธ์เชิงรุกมากขึ้น
"ยุทธศาสตร์ทั้ง 4 ข้อจำเป็นที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน ทุกพรรคจะต้องร่วมกันผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ”นายชินวรณ์กล่าว เเละว่า ยุทธศาสตร์นี้ไม่มาจากกรณีที่ส.ส.พรรคภูมิใจไทยบางคนระบุว่า พรรคร่วมรัฐบาลต้องกอดคอกัน หากแยกกันก็จะตาย แต่พรรคร่วมรัฐบาลต้องสมานฉันท์ และทำงานเป็นทีมร่วมกัน
นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกรัฐบาล ในฐานะโฆษกพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่าเป็นการร่วมรับประทานอาหารกันตามปกติ เพราะได้นัดกันไว้ตั้งแต่ตอนนายกฯเดินทางไปสิงคโปร์ ว่าหลังการเลือกตั้งซ่อมจ.สกลนคร เสร็จ และนายกฯเดินทางกลับจากการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อกลับมาก็นัดทานข้าวกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีประเด็นร้อนทางการเมืองที่น่าเป็นห่วงคุยกันหรือไม่ นายศุภชัย กล่าวเพียงว่า ไม่ได้ซีเรียสอะไร เรื่องต่างๆก็ว่ากันไป ส่วนกรณีที่สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศชัดว่า พร้อมรบ และไม่เป็นฝ่ายถอนทหารออกจากพื้นที่ก่อนนั้น ตนเชื่อว่าไม่น่าเป็นห่วง คงมีวิธีทางการทูตหารือกัน เพื่อไม่ให้กระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และกัมพูชาก็ต้องเข้าใจว่า ไทยไม่ได้ขัดขวาง แต่เป็นการเรียกร้องต่อคณะกรรมการมรดกโลกเท่านั้น ทางด้านการทูตและทหารคงจะคุยกัน
ต่อมาเวลา 13.15 น. นายสุเทพ ได้ออกจากบ้านพิษณุโลก จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เดินทางกลับมายังทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้ให้นโยบายเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มประจำต่างประเทศ
ทั้งนี้มีรายงานว่า การร่วมรับประทานอาหารกลางวันครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้เชิญนายเนวิน มาร่วมรับประทานอาหาร เนื่องจากนายเนวิน เพิ่งพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ่อมที่จ.สกลนคร จึงอยากให้กำลังใจ โอกาสนี้นายเนวิน ยังได้วิเคราะห์ถึงเหตุของความพ่ายแพ้ ซึ่งมีปัจจัย 3 อย่าง คือ 1. คนในพื้นที่ยังนิยมพ.ต.ท.ทักษิณ 2. มีการโฟนอินปลุกกระแสให้คนสงสาร และทำให้คนมองว่า ถูกกลั่นแกล้ง และ 3. ยุทธวิธีของการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยไม่เกี่ยวกับตัวผู้สมัคร แต่เน้นให้เห็นว่า ระหว่างนายเนวิน กับพ.ต.ท. ทักษิณ ชาวบ้านจะเลือกใคร ซึ่งชาวบ้านก็เลือก พ.ต.ท.ทักษิณอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าในสนามการเลือกตั้งใหญ่ ผลจะไม่ออกมาอย่างนี้ ซึ่งนาย เนวินยืนยันว่า จะสู้เต็มที่ และสู้ต่อไป การทำงานในพรรคร่วม ก็อยู่ด้วยการให้เกียรติต่อกัน ซึ่งนายกฯบอกว่า การทำงานร่วมกัน จะต้องยึดความถูกต้อง ให้ประชาชนยอมรับ อย่าฝืนความรู้สึกประชาชน ซึ่งนายเนวิน ก็เข้าใจและยอมรับ
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การรับประทานอาหารร่วมกันครั้งนี้ ไม่ได้มีการหยิบยกเรื่องโครงการต่างๆ ของพรรคภูมิใจไทย มาหารือ ซึ่งนายกฯ ระบุว่าโครงการอะไรที่มีปัญหาเดินต่อไปไม่ได้ จะมอบให้นายสุเทพ เป็นผู้ประสาน
**มาร์คเตรียมเดินสายพบประชาชน
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเตรียมลงพื้นที่เพื่อพบปะประชาชนของนายกรัฐมนตรีว่า น่าจะเริ่มในช่วงกลางเดือนก.ค.นี้ โดยพื้นที่แรกคือภาคอีสาน ซึ่งตอนนี้กำลังดูจังหวัด และวันที่จะลงไป ซึ่งกำลังมีการเตรียมงานกัน คิดว่าในช่วงเสาร์-อาทิตนี้ จะส่งทีมงานลงไปดูพื้นที่ เพื่อประสานงาน และจากนั้นจะเดินทางไปจังหวัดทางภาคเหนือ โดยจะไปแบบไปเช้าเย็นกลับ และเลือกจังหวัดที่มีสนามบินไปลงได้ง่าย
"เรื่องของความปลอดภัย เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง แต่อาจจะมีข้อกังวลอยู่บ้างเรื่องเสื้อแดง จึงอยากจะขอร้องว่า รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลประชาชนทั้งประเทศ ก็ขอให้แกนนำที่บอกว่า อยากให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย ช่วยปรามๆกันด้วยว่า ประชาธิปไตยเขาไม่ขัดขวางคนไปทำงาน แค่แสดงออกแต่ไม่ใช่เรื่องของการทำร้าย แต่อย่างไรก็ตาม แผนที่วางไว้คงไม่ปรับเปลี่ยน เพราะถ้าตัดสินใจไปแล้ว ก็คงจะไปตามนั้น"นายสาทิตย์กล่าว
**วาง 4 ยุทธศาสตร์กู้วิกฤติ
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ในการประชุมวิปรัฐบาล เห็นว่าต้องร่วมมือกันในการขับเคลื่อนให้รัฐบาลมีโอกาสในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างต่อเนื่อง และสร้างโอกาสให้รัฐบาลในการกู้วิกฤติการเมืองให้ผ่านพ้นโดยเร็ว โดยมียุทธศาสตร์ คือ
1.รวมกันเราอยู่ คือ การร่วมกันทำงานอย่างเป็นเอกภาพ จากนี้นโยบยายต่างๆของพรรคร่วม เสียงของพรรคร่วมจะเป็นเสียงเดียวกัน การดำเนินการของรัฐมนตรีในแต่ละพรรคจะยึดการดำเนินงานตาม นโยบายภาพรวมของรัฐบาลเป็นหลัก
2.ร่วมกู้เศรษฐกิจ เพราะเห็นว่าปัญหาปากท้องเป็นเรื่องใหญ่ รัฐบาลจะต้องดำเนินการแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องราคาการพืชผลการเกษตร ที่รัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการแทรกแซงราคา ทำให้ภาพรวมของรัฐบาลยังมีปัญหาเรื่องการกู้วิกฤติเศรษฐกิจ
3.ใกล้ชิดประชาชน โดยเห็นว่านายกฯและรัฐมนตรี จำเป็นต้องลงพื้นที่ เพื่อเยี่ยมเยียนและให้ใกล้ชิดประชาชน หากมีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งขัดขวางการลงพื้นที่ ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเองว่า ใครยึดประโยชน์ของประเทศ หรือประโชน์ของตนเองเป็นหลัก
4.โชว์ผลงานทุกพื้นที่ ซึ่งจำเป็นมากเพราะบางพื้นที่มีส.ส.พรรคของฝ่ายค้านเท่านั้น ทำให้รัฐบาลไม่สามารถทะลวงลงไป เพื่อทำความเข้าใจ หรือให้รับรู้ว่ารัฐบาลมีผลงานอะไรบ้าง ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องทำงานประชาสัมพันธ์เชิงรุกมากขึ้น
"ยุทธศาสตร์ทั้ง 4 ข้อจำเป็นที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน ทุกพรรคจะต้องร่วมกันผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ”นายชินวรณ์กล่าว เเละว่า ยุทธศาสตร์นี้ไม่มาจากกรณีที่ส.ส.พรรคภูมิใจไทยบางคนระบุว่า พรรคร่วมรัฐบาลต้องกอดคอกัน หากแยกกันก็จะตาย แต่พรรคร่วมรัฐบาลต้องสมานฉันท์ และทำงานเป็นทีมร่วมกัน