ASTVผู้จัดการรายวัน –เอสเอฟ เร่งเครื่องเน้นมูฟวี่มาร์เก็ตติ้ง ช่วยกระตุ้นมาร์เก็ตแชร์ขยับเป็น 35% ครึ่งปีหลังเตรียมไว้อีก 120ล้านบาท ทำอีกราว 5-6 เรื่อง พร้อมรุกหนัก จับหนังเอ็กซ์คลูซีฟเข้าโรงไม่ต่ำกว่า 15 เรื่องปีนี้ หวังมัดใจเพิ่มฐานลูกค้าเด็กแนว สิ้นปีโกยรายได้ที่ 1,700ล้านบาท อีก 20%
นายสุพัฒน์ งามวงศ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอส เอฟ ซีนาม่า ซิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า จากแผนการดำเนินธุรกิจปีนี้จะมุ่งทำมูฟวี่มาร์เก็ตติ้ง ซึ่งครึ่งปีแรกโดยเฉพาะในไตรมาสสอง มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์กว่า 3 เรื่องที่ทางเอสเอฟทำเรื่องมูฟวี่มาร์เก็ตติ้ง คือ ฟาสต์ แอนด์ ฟิวเรียส 4, เทอร์มิเนเตอร์ 4 และทรานส์ฟอร์เมอร์ 2 ใช้งบไปกว่า80 ล้านบาท ส่งผลให้มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นจาก 32% เป็น 35% ล่าสุดในช่วงครึ่งปีหลังเตรียมงบไว้อีกราว 120 ล้านบาท สำหรับใช้ในส่วนมูฟวี่มาร์เก็ตติ้ง โดยในไตรมาสสามจะมีทำประมาณ 1-2 เรื่อง เช่น GI-Joe ส่วนไตรมาสสี่จะมีอีก 4 เรื่อง
อย่างไรก็ตาม ปีนี้บริษัทมุ่งในเรื่องของการนำภาพยนตร์มาเข้าฉายแบบเอ็กซ์คลูซีฟด้วย ทั้งปีวางไว้ที่ 15 เรื่อง หรือเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในปีก่อน ซึ่งกลยุทธ์นี้จะช่วยในเรื่องของการบริหารและการจัดการโรงภาพยนตร์ได้ดีขึ้น ที่สำคัญคือจะได้ฐานลูกค้าใหม่ๆเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนีชมาเก็ต ที่ชื่นชอบภาพยนตร์อินดี้ โดยครึ่งปีแรกเฉลี่ยเข้าฉาย 2-3 เรื่อง
ส่วนครึ่งปีหลังนี้ เตรียมเข้าฉายอีกหลายเรื่อง เช่น นางไม้ ฉบับไดเรกคัท ที่ฉายในเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส และเรื่อง Tells of Panda ซึ่งภาพยนตร์ประเภทนี้ ได้รับการตอบรับที่ดี เฉลี่ยการเข้าชมอยู่ที่ 30-40% สูงกว่าภาพยนตร์ปกติที่มีจำนวนคนดูต่อโรงประมาณ 20% นอกจากนี้ยังมุ่งในเรื่องของภาพยนตร์ดิจิตอล 3มิติ เช่น ไฟนอลเดสติเนชั่น มั่นใจว่าสิ้นปีจะมีรายได้เติบโตขึ้น 20% คิดเป็นเม็ดเงินราว 1,700 ล้านบาท โดยมาร์เก็ตแชร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 35% จาก 32%ในสิ้นปีที่ผ่านมา
นายสุพัฒน์ งามวงศ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอส เอฟ ซีนาม่า ซิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า จากแผนการดำเนินธุรกิจปีนี้จะมุ่งทำมูฟวี่มาร์เก็ตติ้ง ซึ่งครึ่งปีแรกโดยเฉพาะในไตรมาสสอง มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์กว่า 3 เรื่องที่ทางเอสเอฟทำเรื่องมูฟวี่มาร์เก็ตติ้ง คือ ฟาสต์ แอนด์ ฟิวเรียส 4, เทอร์มิเนเตอร์ 4 และทรานส์ฟอร์เมอร์ 2 ใช้งบไปกว่า80 ล้านบาท ส่งผลให้มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นจาก 32% เป็น 35% ล่าสุดในช่วงครึ่งปีหลังเตรียมงบไว้อีกราว 120 ล้านบาท สำหรับใช้ในส่วนมูฟวี่มาร์เก็ตติ้ง โดยในไตรมาสสามจะมีทำประมาณ 1-2 เรื่อง เช่น GI-Joe ส่วนไตรมาสสี่จะมีอีก 4 เรื่อง
อย่างไรก็ตาม ปีนี้บริษัทมุ่งในเรื่องของการนำภาพยนตร์มาเข้าฉายแบบเอ็กซ์คลูซีฟด้วย ทั้งปีวางไว้ที่ 15 เรื่อง หรือเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในปีก่อน ซึ่งกลยุทธ์นี้จะช่วยในเรื่องของการบริหารและการจัดการโรงภาพยนตร์ได้ดีขึ้น ที่สำคัญคือจะได้ฐานลูกค้าใหม่ๆเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนีชมาเก็ต ที่ชื่นชอบภาพยนตร์อินดี้ โดยครึ่งปีแรกเฉลี่ยเข้าฉาย 2-3 เรื่อง
ส่วนครึ่งปีหลังนี้ เตรียมเข้าฉายอีกหลายเรื่อง เช่น นางไม้ ฉบับไดเรกคัท ที่ฉายในเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส และเรื่อง Tells of Panda ซึ่งภาพยนตร์ประเภทนี้ ได้รับการตอบรับที่ดี เฉลี่ยการเข้าชมอยู่ที่ 30-40% สูงกว่าภาพยนตร์ปกติที่มีจำนวนคนดูต่อโรงประมาณ 20% นอกจากนี้ยังมุ่งในเรื่องของภาพยนตร์ดิจิตอล 3มิติ เช่น ไฟนอลเดสติเนชั่น มั่นใจว่าสิ้นปีจะมีรายได้เติบโตขึ้น 20% คิดเป็นเม็ดเงินราว 1,700 ล้านบาท โดยมาร์เก็ตแชร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 35% จาก 32%ในสิ้นปีที่ผ่านมา