“ทีเอสไลฟ์สไตล์” เดินเกมขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งขยายไลน์ในแบรนด์เดิมและด้วยแบรนด์ใหม่ทำตลาด ย้ำเอดดูเทนเม้นต์มาแรง โหมทั้งบีโลว์-อะโบฟ ลั่นปีนี้โต 20%
นายอาล็อค ชาร์มา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทีเอส ไลฟ์สไตล์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าทั้งของเด็กเล่นและแฟชั่น จากต่างประเทศ เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในปีนี้ยังคงมีการขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของการนำแบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาด และการขยายไลน์สินค้าจากแบรนด์เดิมที่ทำตลาดอยู่แล้วเพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าด้วย
โดยในช่วงครึ่งปีหลังนี้มีแผนที่จะนำเข้าสินค้าในกลุ่มของเด็กเล่นแบรนด์ LeaveFrog ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของเอดดูเทนเม้นต์ จับกลุ่มเป้าหมายเด็กเล็ก ซึ่งจะเน้นสินค้าเอาท์ดอร์ เช่น บ้านพลาสติกขนาดใหญ่ เครื่องออกกำลังกายกลางแจ้ง เป็นต้น จากแบรนด์ ลิตเติ้ลไทป์
แนวโน้มสินค้าของเด็กเล็กประเภทให้ความรู้หรือเอดดูเทนเม้นท์ มีโอกาสที่เติบโตดี อีกทั้งผู้ปกครองก็พร้อมที่จะใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าแบบนี้ให้กับลูกเล่น ซึ่งปีนี้ของเด็กเล่นประเภทนี้ก็มีอัตราการเติบโตที่สูงมากด้วย
ทั้งนี้สินค้าที่บริษัทฯทำตลาดอยู่แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ 1.กลุ่มของเด็กเล่น เช่น เบนเทน ทรานส์ฟอร์เมอร์ส ซึ่งมีหลายแบรนด์ที่บริษัทฯทำตลาดเช่น ฮาสโบร บันได มีสัดส่ววนรายได้ประมาณ 50% 2.กลุ่มกีฬา เช่น แบรนด์เค-สวิส แบรนด์เอสิค แบรนด์เคดส์ สัดส่วนรายได้ 35% และ 3.กลุ่มเสื้อผ้า สัดส่วนรายได้ 15% โดยมีช่องทางจำหน่ายหลักๆครอบคลุมทั่วประเทศแล้ว เช่น เซ็นทรัลกรุ๊ปเดอะมอลล์กรุ๊ป คาร์ฟูร์ ทอยส์อาร์อัส ช่องทางขายส่ง เป็นต้น
สำหรับช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายรวมของบริษัทฯเติบโตประมาณ 35% ซึ่งมากกว่าช่วงเดียวกันปีทีแล้วที่เติบโตเพียง 20% และมั่นใจว่าปีนี้ทั้งปียอดขายจะเติบโต 15% จากฐานรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท
“แนวทางการทำตลาดของเราปีนี้ มีการปรับตัวจากที่ผ่านมาชัดเจน โดยจะเน้นการทำตลาดทั้งรูปแบบบีโลว์เดอะไลน์และอะโบฟเดอะไลน์ควบคู่กันไป มีโปรโมชั่นต่อเนื่อง และการวางสินค้าให้ถูกต้องตามแต่ละช่วงเวลา”
นายวีระพงษ์ กิจเลิศไพโรจน์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ กล่าวว่า กล่าวว่า สภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ขณะนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการทำตลาดของเด็กเล่นของบริษัทฯแต่อย่างใด เนื่องจากว่า ในตลาดแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ 1.กลุ่มตามกระแส ซึ่งเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ตาม ก็จะยังขายได้ เพราะอาศัยกระแสมาเป็นตัวกระตุ้นทำตลาด เช่น คาร์แรคเตอร์การ์ตูนต่างๆ 2.กลุ่มของเล่นธรรมดา ที่ไม่มีกระแสและไม่มีการ์ตูนหรือหนังที่จะมาเป็นตัวกระตุ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วในพอร์ทโฟลิโอของบริษัทฯก็มักจะเป็นคาแรกเตอร์ที่โด่งดังและเป็นที่นิยมของตลาดทั้งสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้กระแสหนังเรื่องทรานส์ฟอร์เมอร์ส มาแรงมาก ส่งผลคาร์แรคเตอร์ หุ่นยนต์จากเรื่องทรานส์ฟอร์เมอร์สได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งบริษัทฯเองก็ได้เปิดตัวสินค้ากลุ่มนี้เพื่อนำมาทำตลาดในช่วงนี้ และจัดกิจกรรม “Transformer the revenge of the fallen” ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งมีการโชว์ หุ่นยักษ์ขนาดใหญ่กว่า 6 เมตรและหุ่น ทรานส์ฟอร์เมอร์ส อาทิ หุ่น Bumble Bee สูง 1.8 เมตร จัดแสดงครั้งแรกในไทย และหุ่น Optimus prime สูง 2.2 เมตร เป็นต้น
นายวีระพงษ์ กล่าวว่า บริษัทฯคาดว่าปีนี้ในกลุ่มของเด็กเล่นก็จะยังคงเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตทางด้านรายได้สูงที่สุดของบริษัทฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีนี้ตัวที่มาแรงและผลักดันยอดขายเติบโตมากที่สุดก็น่าจะเป็น คาแรคเตอร์จากภาพยนตร์เรื่อง ทรานส์ฟอร์เมอร์ส ซึ่งบริษัทฯมีแผนที่จะวางตลาดคอลเลคชั่นใหม่ๆต่อเนื่องเป็นระยะๆทั้งปี
นายอาล็อค ชาร์มา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทีเอส ไลฟ์สไตล์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าทั้งของเด็กเล่นและแฟชั่น จากต่างประเทศ เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในปีนี้ยังคงมีการขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของการนำแบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาด และการขยายไลน์สินค้าจากแบรนด์เดิมที่ทำตลาดอยู่แล้วเพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าด้วย
โดยในช่วงครึ่งปีหลังนี้มีแผนที่จะนำเข้าสินค้าในกลุ่มของเด็กเล่นแบรนด์ LeaveFrog ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของเอดดูเทนเม้นต์ จับกลุ่มเป้าหมายเด็กเล็ก ซึ่งจะเน้นสินค้าเอาท์ดอร์ เช่น บ้านพลาสติกขนาดใหญ่ เครื่องออกกำลังกายกลางแจ้ง เป็นต้น จากแบรนด์ ลิตเติ้ลไทป์
แนวโน้มสินค้าของเด็กเล็กประเภทให้ความรู้หรือเอดดูเทนเม้นท์ มีโอกาสที่เติบโตดี อีกทั้งผู้ปกครองก็พร้อมที่จะใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าแบบนี้ให้กับลูกเล่น ซึ่งปีนี้ของเด็กเล่นประเภทนี้ก็มีอัตราการเติบโตที่สูงมากด้วย
ทั้งนี้สินค้าที่บริษัทฯทำตลาดอยู่แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ 1.กลุ่มของเด็กเล่น เช่น เบนเทน ทรานส์ฟอร์เมอร์ส ซึ่งมีหลายแบรนด์ที่บริษัทฯทำตลาดเช่น ฮาสโบร บันได มีสัดส่ววนรายได้ประมาณ 50% 2.กลุ่มกีฬา เช่น แบรนด์เค-สวิส แบรนด์เอสิค แบรนด์เคดส์ สัดส่วนรายได้ 35% และ 3.กลุ่มเสื้อผ้า สัดส่วนรายได้ 15% โดยมีช่องทางจำหน่ายหลักๆครอบคลุมทั่วประเทศแล้ว เช่น เซ็นทรัลกรุ๊ปเดอะมอลล์กรุ๊ป คาร์ฟูร์ ทอยส์อาร์อัส ช่องทางขายส่ง เป็นต้น
สำหรับช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายรวมของบริษัทฯเติบโตประมาณ 35% ซึ่งมากกว่าช่วงเดียวกันปีทีแล้วที่เติบโตเพียง 20% และมั่นใจว่าปีนี้ทั้งปียอดขายจะเติบโต 15% จากฐานรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท
“แนวทางการทำตลาดของเราปีนี้ มีการปรับตัวจากที่ผ่านมาชัดเจน โดยจะเน้นการทำตลาดทั้งรูปแบบบีโลว์เดอะไลน์และอะโบฟเดอะไลน์ควบคู่กันไป มีโปรโมชั่นต่อเนื่อง และการวางสินค้าให้ถูกต้องตามแต่ละช่วงเวลา”
นายวีระพงษ์ กิจเลิศไพโรจน์ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ กล่าวว่า กล่าวว่า สภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ขณะนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการทำตลาดของเด็กเล่นของบริษัทฯแต่อย่างใด เนื่องจากว่า ในตลาดแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ 1.กลุ่มตามกระแส ซึ่งเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ตาม ก็จะยังขายได้ เพราะอาศัยกระแสมาเป็นตัวกระตุ้นทำตลาด เช่น คาร์แรคเตอร์การ์ตูนต่างๆ 2.กลุ่มของเล่นธรรมดา ที่ไม่มีกระแสและไม่มีการ์ตูนหรือหนังที่จะมาเป็นตัวกระตุ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วในพอร์ทโฟลิโอของบริษัทฯก็มักจะเป็นคาแรกเตอร์ที่โด่งดังและเป็นที่นิยมของตลาดทั้งสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้กระแสหนังเรื่องทรานส์ฟอร์เมอร์ส มาแรงมาก ส่งผลคาร์แรคเตอร์ หุ่นยนต์จากเรื่องทรานส์ฟอร์เมอร์สได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งบริษัทฯเองก็ได้เปิดตัวสินค้ากลุ่มนี้เพื่อนำมาทำตลาดในช่วงนี้ และจัดกิจกรรม “Transformer the revenge of the fallen” ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งมีการโชว์ หุ่นยักษ์ขนาดใหญ่กว่า 6 เมตรและหุ่น ทรานส์ฟอร์เมอร์ส อาทิ หุ่น Bumble Bee สูง 1.8 เมตร จัดแสดงครั้งแรกในไทย และหุ่น Optimus prime สูง 2.2 เมตร เป็นต้น
นายวีระพงษ์ กล่าวว่า บริษัทฯคาดว่าปีนี้ในกลุ่มของเด็กเล่นก็จะยังคงเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตทางด้านรายได้สูงที่สุดของบริษัทฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีนี้ตัวที่มาแรงและผลักดันยอดขายเติบโตมากที่สุดก็น่าจะเป็น คาแรคเตอร์จากภาพยนตร์เรื่อง ทรานส์ฟอร์เมอร์ส ซึ่งบริษัทฯมีแผนที่จะวางตลาดคอลเลคชั่นใหม่ๆต่อเนื่องเป็นระยะๆทั้งปี