หลังจากที่ทักษิณสูญสิ้นอำนาจในการบริหารประเทศ พร้อมด้วยคดีความที่เกิดจากพฤติกรรมทุจริตคดโกงของตัวเอง ครอบครัว และพรรคพวกตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 และในฐานะที่เป็นคนมีทักษะในเรื่องจิตวิทยา เพราะการเรียนอาชญวิทยาขั้นดุษฎีบัณฑิตนั้นคือ การศึกษาพฤติกรรมอาชญากรในมิติต่างๆ และประเภทของอาชญากรรมที่กลุ่มพฤติกรรมชั่วเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะพื้นฐาน นิสัย และสภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมอาชญากรคนนั้น รวมถึงสภาพจิตของอาชญากรที่มีความแตกต่างกันขณะทำชั่ว มีแนวคิดเจ้าเล่ห์ต่างกัน รวมทั้งหลักการพยากรณ์ว่า อาชญากรคนนั้นจะทำอะไรในอนาคตอันเป็นพื้นฐานของอาชญวิทยาบัณฑิต
อาชญากรในโลกนี้ไม่แตกต่างกันมากนักในพฤติกรรมความชั่ว แต่เพราะภาวะแวดล้อมต่างกัน เทคโนโลยีต่างกัน วัฒนธรรมการเลี้ยงดูต่างกัน ความเกรงกลัวและละอายต่อหลักนิติรัฐ และศีลธรรมต่างกัน ทำให้วิธีการก่ออาชญากรรมต่างกัน แต่บทเรียนเหล่านี้ในประเทศตะวันตกมีการบันทึก วิเคราะห์ และศึกษารูปแบบของพฤติกรรมความชั่วร้ายที่อาชญากรเหล่านี้ก่อขึ้น วิธีการสืบสวน วิธีการสอบสวน วิธีการร่างคำฟ้อง และกระบวนการพิจารณาคดีความตามกฎหมายบางกรณีทำให้เกิดช่องว่างทางกฎหมายอันเป็นการเชื้อเชิญให้ก่ออาชญากรรมเพราะหลบเลี่ยงกฎหมายได้แต่ยิ่งมีอำนาจในการออกกฎหมายแล้ว การโกงเชิงนโยบายการเมืองก็ยิ่งง่ายขึ้น เหมือนกับทักษิณใช้รัฐสภาเป็นเครื่องมือในการโกงประเทศมาแล้ว
เมื่อทักษิณได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ ทำให้รู้ว่าเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ทั่วไปก่ออาชญากรรม และมีช่องทางที่จะรอดพ้นจากกฎหมายได้เสมอ โดยเฉพาะคดีทุจริตทางการเมืองซึ่งมีช่องทางมากมายในการต่อรองทางการเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน เงินทองหรือเพื่อหลุดพ้นคดี ตามวัฒนธรรมการเมืองเชิงทุนนิยม
การเมืองจึงเป็นกลไกนำสู่อำนาจซึ่งอยู่ในสายเลือดของทักษิณอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะครอบครัวเล่นการเมือง ถึงแม้จะล้มเหลวแต่สิ่งหนึ่งที่นายเลิศ ผู้บิดาได้ถ่ายทอดให้กับทักษิณ คือ การทำธุรกิจ และทักษิณเองก็สัมผัสกับการทำธุรกิจหลากหลายอย่าง และเป็นปกติที่เขาต้องหาช่องทางสร้างกำไร ถ้าสุจริตก็เกิดปัญญาต่อเนื่องในการทำธุรกิจ แต่ถ้าโกงก็จะเป็นบทเรียนและได้วิธีการโกง และวิธีการเหล่านี้พัฒนาเป็นระบบ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ทักษิณจะต้องเห็นช่องทางในการโกงผู้บริโภค และถ้ามองว่าการโกงเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องปกติ ผู้คนมักไม่เอาเรื่องเอาราวความเพิกเฉยเหล่านี้ทำให้คนขี้โกงกำเริบ ไม่รู้จักชั่วดีคิดที่จะหาช่องทางคดโกงเสมอ
สิ่งต่อมาที่นายเลิศ ชินวัตร ได้สร้างสรรค์ให้กับทักษิณ คือ การถ่ายทอดวิญญาณการเมือง วิธีการเล่นการเมือง และสอนให้ทักษิณรู้จักว่าการเมืองให้อะไรได้บ้าง โดยได้นำไปฝากไว้กับนายปรีดา พัฒนถาบุตร อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวงซึ่งไต่เต้ามาจากการเมืองท้องถิ่น เพราะเคยเป็นนายกเทศมนตรีอำเภอเมืองเชียงใหม่มาก่อนตั้งแต่ พ.ศ. 2512
กลการเมืองทุกยุคทุกสมัยไม่แตกต่างกันเพราะว่านักการเมืองอาชีพจริงๆ ในประเทศไทยไม่มีหรือมีน้อยมาก แต่เป็นนักการเมืองที่เล่นการเมืองเพื่อแสวงผลประโยชน์ให้กับตัวเอง หรือปกป้องผลประโยชน์ให้ตัวเอง ทั้งๆ ที่ปรัชญาการเมือง คือ การเสียสละผลประโยชน์ และความสุขส่วนตัว มุ่งทำงานให้ส่วนรวมโดยไม่หวังผลประโยชน์มากนัก ให้พอเพียงแต่การดำรงชีพ และการดำเนินกิจการทางการเมือง แต่ในปัจจุบันนักการเมืองมักจะร่ำรวยมาก่อน หรือมาร่ำรวยหลังจากที่ได้เล่นการเมืองและดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
นักการเมืองหลายคนอุทิศตัวเองเพื่อเจ้านายที่เป็นนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล และอิทธิพลนั้นสามารถกระเซ็นมาจับทีละเล็กทีละน้อย จนกลายเป็นผู้อิทธิพลคนหนึ่งในระบบการเมืองย่อย ได้แก่ การเป็นหน้าห้อง เป็นผู้ประสานงานให้เจ้านาย และรองเลขานุการรัฐมนตรี และในที่สุดก็ครองตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งการเมืองที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และมีคำสั่งแต่งตั้ง ด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์ เก็บความลับ แบ่งปันหรือเป็นผู้หาให้ ก็จะได้รับความไว้วางใจได้รับการสืบทอดอำนาจได้รับการสนับสนุนให้มีโอกาสเป็นกรรมการพรรคการเมืองที่มีตำแหน่งรัฐมนตรีรออยู่
ดังนั้น จึงไม่เป็นข้อกังขาเลยว่า ทั้งทักษะความรู้การทำธุรกิจ และการเมืองขั้นพื้นฐานของทักษิณพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ และในที่สุดความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ทำให้ทักษิณได้รับการยอมรับจาก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ชักนำเข้ามาสู่วงการเมืองในพรรคที่สาธารณชนมองว่าใสสะอาดในขณะนั้น คือ พรรคพลังธรรม
และนี่เป็นหมากกลขั้นต้นในเชิงจิตวิทยาของทักษิณที่ฝังตัวในพรรคพลังธรรม สามารถสัมผัสหมู่นักการเมืองเสรีนิยม นักธุรกิจที่มีจริยธรรมเป็นพื้นในการดำรงธุรกิจ จนทำให้ตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ใจซื่อและมีอุดมการณ์ จากนั้นก็สู่การตั้งพรรค และฤทธิ์ที่ได้หล่อหลอมมาตั้งแต่เล็กในการทำธุรกิจ การต่อรองแลกเปลี่ยน และการเอาเปรียบแบบสุจริต ก็สำแดงออกในห้วงปีที่ 2 ของการมีอำนาจรัฐ การทุจริตเชิงนโยบายเป็นกลไกสำคัญ
หลักทุนนิยมเพื่อสร้างฐานประชานิยมเป็นอาวุธเอาชนะหลายพรรคการเมือง คือ เอาเงินคนชั้นกลางไปให้คนจน แต่คนรวยที่มีกำไรจากการเล่นหุ้น การลงทุนในบริษัทที่ได้สัมปทานรัฐ การได้หุ้นแบบได้เปล่าจากรัฐวิสาหกิจหรือเรียกกันว่าหุ้นสำหรับผู้มีพระคุณ ทั้งๆ ที่รัฐมนตรีคนนั้นยังไม่เกิดเมื่อเกิดรัฐวิสาหกิจนั้น รวมถึงการไม่ต้องเสียภาษีหรือการโกงอย่างหน้าด้านๆ
ครั้นเมื่อมีฐานการเมืองแน่นหนาก็เริ่มที่จะคิดการใหญ่ทางรัฐศาสตร์ที่หวังว่า จะขจัดหลักอะไรก็ได้ที่เป็นอุปสรรคในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างรัฐศาสตร์ของไทย เพราะหลายครั้งที่โครงการของทักษิณถูกเตือนให้หยุดจึงทำให้เขาโกรธ หลายครั้งที่พระสงฆ์ผู้ทรงคุณประโยชน์ได้กล่าวตักเตือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคำพิพากษายกฟ้องโจทย์ชื่อ ทักษิณที่ฟ้องร้องเอาโทษนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กรณีหมิ่นประมาทซึ่งมีรายละเอียดพอสมควรที่ชี้ว่าทักษิณมีพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมต่อองค์พระมหากษัตริย์หลายวาระ
โดยเฉพาะในวันที่ 29 มิถุนายน 2549 ทักษิณได้พูดกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า “มีผู้มีบารมีเหนือรัฐธรรมนูญมาก่อความวุ่นวายต่อระบอบประชาธิปไตยมากเกินไป” และนายมีชัย ฤชุพันธุ์ นักกฎหมายผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า “การกระทำของทักษิณทำให้ประชาชนเคลือบแคลงสงสัยว่า โจทย์ไม่ปกป้องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์”
“ไม่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์” หมายความได้สองนัยคือ อยู่เฉยๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือต่อต้านระบอบพระมหากษัตริย์
การต่อต้านพระมหากษัตริย์ของทักษิณสามารถตีความจากการที่ทักษิณได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ ซึ่งหนังสือพิมพ์แนวหน้าฉบับวันที่ 15 พฤษภาคม 2552 แปลความไว้ว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ควรทราบเรื่องแผนการรัฐประหารมาล่วงหน้า” ก็หมายความว่าทักษิณสิ้นความเคารพศรัทธาพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ถึงได้กล้าหาญชาญชัย กล่าวพาดพิงในเชิงทำลายความเชื่อถือของพระองค์ และคาดหวังว่าประชาคมโลกจะสิ้นศรัทธาในพระองค์อีกด้วย
ด้วยพฤติกรรมเหล่านี้ได้แก่ การคดโกง ความโลภต้องการเงินที่โกงชาติคืน ความบ้าอำนาจต้องการอำนาจคืน และต้องการที่จะต่อสู้กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมทั้งต้องการประกาศศักดาว่าตัวเองมีอำนาจบารมีพร้อมที่จะปกครองประเทศอีก จึงต้องทำสงครามการเมืองต่อไป
ด้วยกิเลสเหล่านี้ทักษิณจึงต้องทำสงครามกลางเมืองเมื่อมีโอกาส โอกาสนั้นคือกิเลสของสาวก และไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไร มีผู้พยากรณ์ว่า “กรรมชั่วที่ตามทันเท่านั้น จึงจะสามารถหยุดทักษิณได้” กรรมที่ทักษิณก่อมีผลรออยู่แล้ว เพราะกลับมาเมืองไทยก็ติดคุกทันที คงไม่มีใครคิดที่จะผ่อนผันโทษให้เว้นแต่พวกคลั่งไคล้ทักษิณ (Thaksinmania) เพราะมีนักการเมืองตั้งแต่ยุคเผด็จการทหาร ยุคประชาธิปไตย และยุคเผด็จการนายทุนต้องติดคุกมาก่อนหน้านี้แล้ว
ทักษิณจะโฟนอินในวันที่กลุ่มเสื้อแดงจัดชุมนุมกันคือวันเสาร์ที่ 27 มิถุนายนนี้ ณ ท้องสนามหลวง ก็เป็นอีกหนึ่งสมรภูมิที่น่าจับตาดูว่า กลยุทธ์ของทักษิณจะออกมาเป็นรูปแบบอะไร จะกลับไปใช้ความรุนแรง เช่น สงกรานต์เดือดเลือดพล่านคงไม่ได้อีกแล้ว เพราะแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ที่โหดไร้มนุษยธรรม จะกล่าวโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์อีกก็หมดเรื่องแล้ว
แต่การโจมตีนโยบายและพฤติกรรมรัฐบาลผสมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น่าจะเป็นประเด็นร้อน เพราะขณะนี้เรตติ้งของนายอภิสิทธิ์กำลังแรง และแรงกว่าเมื่อทักษิณเป็นนายกฯ เพราะสำนวนภาษาต่างกัน การใช้คำที่เหมาะสม และกินใจลึกซึ้ง สร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวต่างชาติได้ชัดเจนกว่าทักษิณ ในขณะที่ทักษิณไม่ได้เผชิญวิกฤตอะไรเลย เมื่อเข้ารับตำแหน่งตรงข้ามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ชาวต่างชาติชอบเพราะได้เห็นทาสแท้ของผู้นำและความสามารถในการแก้ปัญหาแบบประชาธิปไตย ทำให้ต่อมอิจฉาทักษิณแตกก็ได้
nidd.riddhagni@gmail.com
อาชญากรในโลกนี้ไม่แตกต่างกันมากนักในพฤติกรรมความชั่ว แต่เพราะภาวะแวดล้อมต่างกัน เทคโนโลยีต่างกัน วัฒนธรรมการเลี้ยงดูต่างกัน ความเกรงกลัวและละอายต่อหลักนิติรัฐ และศีลธรรมต่างกัน ทำให้วิธีการก่ออาชญากรรมต่างกัน แต่บทเรียนเหล่านี้ในประเทศตะวันตกมีการบันทึก วิเคราะห์ และศึกษารูปแบบของพฤติกรรมความชั่วร้ายที่อาชญากรเหล่านี้ก่อขึ้น วิธีการสืบสวน วิธีการสอบสวน วิธีการร่างคำฟ้อง และกระบวนการพิจารณาคดีความตามกฎหมายบางกรณีทำให้เกิดช่องว่างทางกฎหมายอันเป็นการเชื้อเชิญให้ก่ออาชญากรรมเพราะหลบเลี่ยงกฎหมายได้แต่ยิ่งมีอำนาจในการออกกฎหมายแล้ว การโกงเชิงนโยบายการเมืองก็ยิ่งง่ายขึ้น เหมือนกับทักษิณใช้รัฐสภาเป็นเครื่องมือในการโกงประเทศมาแล้ว
เมื่อทักษิณได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ ทำให้รู้ว่าเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ทั่วไปก่ออาชญากรรม และมีช่องทางที่จะรอดพ้นจากกฎหมายได้เสมอ โดยเฉพาะคดีทุจริตทางการเมืองซึ่งมีช่องทางมากมายในการต่อรองทางการเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน เงินทองหรือเพื่อหลุดพ้นคดี ตามวัฒนธรรมการเมืองเชิงทุนนิยม
การเมืองจึงเป็นกลไกนำสู่อำนาจซึ่งอยู่ในสายเลือดของทักษิณอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะครอบครัวเล่นการเมือง ถึงแม้จะล้มเหลวแต่สิ่งหนึ่งที่นายเลิศ ผู้บิดาได้ถ่ายทอดให้กับทักษิณ คือ การทำธุรกิจ และทักษิณเองก็สัมผัสกับการทำธุรกิจหลากหลายอย่าง และเป็นปกติที่เขาต้องหาช่องทางสร้างกำไร ถ้าสุจริตก็เกิดปัญญาต่อเนื่องในการทำธุรกิจ แต่ถ้าโกงก็จะเป็นบทเรียนและได้วิธีการโกง และวิธีการเหล่านี้พัฒนาเป็นระบบ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ทักษิณจะต้องเห็นช่องทางในการโกงผู้บริโภค และถ้ามองว่าการโกงเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องปกติ ผู้คนมักไม่เอาเรื่องเอาราวความเพิกเฉยเหล่านี้ทำให้คนขี้โกงกำเริบ ไม่รู้จักชั่วดีคิดที่จะหาช่องทางคดโกงเสมอ
สิ่งต่อมาที่นายเลิศ ชินวัตร ได้สร้างสรรค์ให้กับทักษิณ คือ การถ่ายทอดวิญญาณการเมือง วิธีการเล่นการเมือง และสอนให้ทักษิณรู้จักว่าการเมืองให้อะไรได้บ้าง โดยได้นำไปฝากไว้กับนายปรีดา พัฒนถาบุตร อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวงซึ่งไต่เต้ามาจากการเมืองท้องถิ่น เพราะเคยเป็นนายกเทศมนตรีอำเภอเมืองเชียงใหม่มาก่อนตั้งแต่ พ.ศ. 2512
กลการเมืองทุกยุคทุกสมัยไม่แตกต่างกันเพราะว่านักการเมืองอาชีพจริงๆ ในประเทศไทยไม่มีหรือมีน้อยมาก แต่เป็นนักการเมืองที่เล่นการเมืองเพื่อแสวงผลประโยชน์ให้กับตัวเอง หรือปกป้องผลประโยชน์ให้ตัวเอง ทั้งๆ ที่ปรัชญาการเมือง คือ การเสียสละผลประโยชน์ และความสุขส่วนตัว มุ่งทำงานให้ส่วนรวมโดยไม่หวังผลประโยชน์มากนัก ให้พอเพียงแต่การดำรงชีพ และการดำเนินกิจการทางการเมือง แต่ในปัจจุบันนักการเมืองมักจะร่ำรวยมาก่อน หรือมาร่ำรวยหลังจากที่ได้เล่นการเมืองและดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
นักการเมืองหลายคนอุทิศตัวเองเพื่อเจ้านายที่เป็นนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล และอิทธิพลนั้นสามารถกระเซ็นมาจับทีละเล็กทีละน้อย จนกลายเป็นผู้อิทธิพลคนหนึ่งในระบบการเมืองย่อย ได้แก่ การเป็นหน้าห้อง เป็นผู้ประสานงานให้เจ้านาย และรองเลขานุการรัฐมนตรี และในที่สุดก็ครองตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งการเมืองที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และมีคำสั่งแต่งตั้ง ด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์ เก็บความลับ แบ่งปันหรือเป็นผู้หาให้ ก็จะได้รับความไว้วางใจได้รับการสืบทอดอำนาจได้รับการสนับสนุนให้มีโอกาสเป็นกรรมการพรรคการเมืองที่มีตำแหน่งรัฐมนตรีรออยู่
ดังนั้น จึงไม่เป็นข้อกังขาเลยว่า ทั้งทักษะความรู้การทำธุรกิจ และการเมืองขั้นพื้นฐานของทักษิณพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ และในที่สุดความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ทำให้ทักษิณได้รับการยอมรับจาก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ชักนำเข้ามาสู่วงการเมืองในพรรคที่สาธารณชนมองว่าใสสะอาดในขณะนั้น คือ พรรคพลังธรรม
และนี่เป็นหมากกลขั้นต้นในเชิงจิตวิทยาของทักษิณที่ฝังตัวในพรรคพลังธรรม สามารถสัมผัสหมู่นักการเมืองเสรีนิยม นักธุรกิจที่มีจริยธรรมเป็นพื้นในการดำรงธุรกิจ จนทำให้ตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ใจซื่อและมีอุดมการณ์ จากนั้นก็สู่การตั้งพรรค และฤทธิ์ที่ได้หล่อหลอมมาตั้งแต่เล็กในการทำธุรกิจ การต่อรองแลกเปลี่ยน และการเอาเปรียบแบบสุจริต ก็สำแดงออกในห้วงปีที่ 2 ของการมีอำนาจรัฐ การทุจริตเชิงนโยบายเป็นกลไกสำคัญ
หลักทุนนิยมเพื่อสร้างฐานประชานิยมเป็นอาวุธเอาชนะหลายพรรคการเมือง คือ เอาเงินคนชั้นกลางไปให้คนจน แต่คนรวยที่มีกำไรจากการเล่นหุ้น การลงทุนในบริษัทที่ได้สัมปทานรัฐ การได้หุ้นแบบได้เปล่าจากรัฐวิสาหกิจหรือเรียกกันว่าหุ้นสำหรับผู้มีพระคุณ ทั้งๆ ที่รัฐมนตรีคนนั้นยังไม่เกิดเมื่อเกิดรัฐวิสาหกิจนั้น รวมถึงการไม่ต้องเสียภาษีหรือการโกงอย่างหน้าด้านๆ
ครั้นเมื่อมีฐานการเมืองแน่นหนาก็เริ่มที่จะคิดการใหญ่ทางรัฐศาสตร์ที่หวังว่า จะขจัดหลักอะไรก็ได้ที่เป็นอุปสรรคในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างรัฐศาสตร์ของไทย เพราะหลายครั้งที่โครงการของทักษิณถูกเตือนให้หยุดจึงทำให้เขาโกรธ หลายครั้งที่พระสงฆ์ผู้ทรงคุณประโยชน์ได้กล่าวตักเตือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคำพิพากษายกฟ้องโจทย์ชื่อ ทักษิณที่ฟ้องร้องเอาโทษนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กรณีหมิ่นประมาทซึ่งมีรายละเอียดพอสมควรที่ชี้ว่าทักษิณมีพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมต่อองค์พระมหากษัตริย์หลายวาระ
โดยเฉพาะในวันที่ 29 มิถุนายน 2549 ทักษิณได้พูดกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า “มีผู้มีบารมีเหนือรัฐธรรมนูญมาก่อความวุ่นวายต่อระบอบประชาธิปไตยมากเกินไป” และนายมีชัย ฤชุพันธุ์ นักกฎหมายผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า “การกระทำของทักษิณทำให้ประชาชนเคลือบแคลงสงสัยว่า โจทย์ไม่ปกป้องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์”
“ไม่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์” หมายความได้สองนัยคือ อยู่เฉยๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือต่อต้านระบอบพระมหากษัตริย์
การต่อต้านพระมหากษัตริย์ของทักษิณสามารถตีความจากการที่ทักษิณได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ ซึ่งหนังสือพิมพ์แนวหน้าฉบับวันที่ 15 พฤษภาคม 2552 แปลความไว้ว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ควรทราบเรื่องแผนการรัฐประหารมาล่วงหน้า” ก็หมายความว่าทักษิณสิ้นความเคารพศรัทธาพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ถึงได้กล้าหาญชาญชัย กล่าวพาดพิงในเชิงทำลายความเชื่อถือของพระองค์ และคาดหวังว่าประชาคมโลกจะสิ้นศรัทธาในพระองค์อีกด้วย
ด้วยพฤติกรรมเหล่านี้ได้แก่ การคดโกง ความโลภต้องการเงินที่โกงชาติคืน ความบ้าอำนาจต้องการอำนาจคืน และต้องการที่จะต่อสู้กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมทั้งต้องการประกาศศักดาว่าตัวเองมีอำนาจบารมีพร้อมที่จะปกครองประเทศอีก จึงต้องทำสงครามการเมืองต่อไป
ด้วยกิเลสเหล่านี้ทักษิณจึงต้องทำสงครามกลางเมืองเมื่อมีโอกาส โอกาสนั้นคือกิเลสของสาวก และไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไร มีผู้พยากรณ์ว่า “กรรมชั่วที่ตามทันเท่านั้น จึงจะสามารถหยุดทักษิณได้” กรรมที่ทักษิณก่อมีผลรออยู่แล้ว เพราะกลับมาเมืองไทยก็ติดคุกทันที คงไม่มีใครคิดที่จะผ่อนผันโทษให้เว้นแต่พวกคลั่งไคล้ทักษิณ (Thaksinmania) เพราะมีนักการเมืองตั้งแต่ยุคเผด็จการทหาร ยุคประชาธิปไตย และยุคเผด็จการนายทุนต้องติดคุกมาก่อนหน้านี้แล้ว
ทักษิณจะโฟนอินในวันที่กลุ่มเสื้อแดงจัดชุมนุมกันคือวันเสาร์ที่ 27 มิถุนายนนี้ ณ ท้องสนามหลวง ก็เป็นอีกหนึ่งสมรภูมิที่น่าจับตาดูว่า กลยุทธ์ของทักษิณจะออกมาเป็นรูปแบบอะไร จะกลับไปใช้ความรุนแรง เช่น สงกรานต์เดือดเลือดพล่านคงไม่ได้อีกแล้ว เพราะแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ที่โหดไร้มนุษยธรรม จะกล่าวโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์อีกก็หมดเรื่องแล้ว
แต่การโจมตีนโยบายและพฤติกรรมรัฐบาลผสมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น่าจะเป็นประเด็นร้อน เพราะขณะนี้เรตติ้งของนายอภิสิทธิ์กำลังแรง และแรงกว่าเมื่อทักษิณเป็นนายกฯ เพราะสำนวนภาษาต่างกัน การใช้คำที่เหมาะสม และกินใจลึกซึ้ง สร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวต่างชาติได้ชัดเจนกว่าทักษิณ ในขณะที่ทักษิณไม่ได้เผชิญวิกฤตอะไรเลย เมื่อเข้ารับตำแหน่งตรงข้ามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ชาวต่างชาติชอบเพราะได้เห็นทาสแท้ของผู้นำและความสามารถในการแก้ปัญหาแบบประชาธิปไตย ทำให้ต่อมอิจฉาทักษิณแตกก็ได้
nidd.riddhagni@gmail.com