ฝ่ายค้านพ่นโวหารยำ ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ โมเมรัฐบาลก่อหนี้ 5 ล้านล้าน ใช้หนี้ร้อยปีไม่มีหมด “วรวัจน์” อ้าง “กรณ์” ตั้งโบรกเกอร์ทำงานใกล้ตัว ล้วงข้อมูลอินไซเดอร์หุ้นเอซีเอล ปั่นกำไรอื้อ ขณะที่เจ้าตัวตอกกลับแค่เอาข่าวที่ลงผิดมาอ้าง ท้าองค์กรอิสระตรวจสอบ “สุนัย” ป้ายสี รมต.เตรียมแบ่งเค้กก้อนโตก่อน กม.ผ่านสภา ด้าน “เป็ดเหลิม” ขู่อาจไม่ร่วมสังฆกรรมเป็น กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างกฎหมาย ขณะที่ “ซาเล้ง” ท้าลาออกหากทุจริตจริง ด้าน “ซาเล้ง” ท้าพิสูจน์พร้อมลาออก ขณะที่ “สันติ” แฉเอกชนเคยร้องเรียน รมต.เรียกรับเงินอู่ต่อรถ คันละ 1 ล้าน ยันไม่เคยหนุนให้เช่าเอ็นจีวี แต่สภาพัฒน์ตัวการชงเรื่อง เชื่อสุดท้ายผลศึกษาเสนอให้เช่าตามเดิม
วันนี้ (16 มิ.ย.) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ที่ค้างการพิจารณาเมื่อคืนวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยสมาชิกฝ่ายค้าน ยังคงอภิปรายโจมตีการตั้งงบประมาณของรัฐบาลที่ยังไม่มีรายละเอียด เป็นเพียงการจัดสรรในภาพกว้างๆ รวมไปถึงไม่มีการระบุที่มาของรายได้ที่จะนำมาชดใช้เงินกู้ดังกล่าว อาทิ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาก็มีแต่การกู้เงิน โดยเมื่อวันที่ 10 มี.ค.2552 ก็ขอเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ 7 หมื่นล้านบาท มาเดือน พ.ค.2552 ก็ทำเรื่องกู้เพื่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินอีก 5 หมื่นล้านบาท และสายหัวลำโพง-ท่าพระ อีก 2 หมื่นล้านบาท โดยก่อนหน้านี้ เมื่อเดือน ก.พ.ได้ขอกู้เงินเพื่อสร้างรถไฟฟ้าสายบางซื่อ-รังสิต 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งหนี้ปัจจุบันรวมแล้วประมาณ 3.7 ล้านล้านบาท และเมื่อรวมหนี้ที่จะเกิดจากโครงการไทยเข้มแข็งอีก 1.43 ล้านล้านบาท รวมเป็นหนี้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกว่า 5 ล้านล้านบาท ขณะที่รัฐบาลมีกำลังใช้หนี้เพียงปีละ 1.5 แสนล้านบาท ดังนั้นเมื่อดูจากยอดหนี้รวม 5 ล้านล้านบาทเราจะต้องใช้หนี้ถึง 100 ปี เป็นการสร้างหนี้ชั่วลูกชั่วหลาน
นายวรวัจน์ อ้างการขอกู้เงินจาก พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.2 ฉบับรวม 8 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่มาดำเนินการในโครงสร้างพื้นฐาน แต่ปัญหาเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน เป็นเรื่องของภาคการผลิต การเกษตรและการท่องเที่ยว กลับได้รับเจียดจ่ายน้อยมาก การกู้จากสถาบันการเงินในประเทศ 8 แสนล้านบาท ขณะที่สภาพคล่องมีเพียง 9 แสนล้านบาทจึงไม่เหลือสภาพคล่องให้ภาคเอกชน ที่ขณะนี้ธุรกิจต่างๆ จะทยอยเจ๊งเป็นหนี้เอ็นพีแอลกันหมดแล้ว แต่ท่านก็ไม่คิดช่วยต่อลมหายใจของเขา เราไม่ได้ขวางการกู้เงินของรัฐบาล แต่ต้องรู้ว่ากู้แล้วเอาไปทำอะไร แต่เอกสารที่รัฐบาลส่งมาให้เป็นเพียงแผนการใช้เงิน แต่ไม่มีแผนบริหารจัดการให้สอดคล้องกัน ซึ่งท่านกำลังจะทำผิดวินัยการเงินการคลังอย่างร้ายแรง และอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีการจัดทำแผนการชำระหนี้ ว่า จะเอาเงินจากไหนมาใช้หนี้ที่รัฐบาลชุดนี้สร้างขึ้น ซึ่งจะขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 169 และหากรัฐบาลยังไม่สามารถชี้แจงได้ ก็จะมีความผิดตามรัฐธรรมนูญ 270 วุฒิสภาสามารถยื่นเรื่องให้ถอดถอนออกากตำแหน่งได้
นายวรวัจน์ ฉวยโอกาสอภิปรายถึงพฤติกรรมของ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง โดยหยิบยกกรณีธนาคารสินเอเซีย (เอซีแอล) ซึ่งกระทรวงการคลัง ถือหุ้น 30 เปอร์เซ็นต์ และธนาคารกรุงเทพ ถือหุ้น 19 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อมีข่าวว่าธนาคารไอซีบีซี จากประเทศจีนจะเข้ามาซื้อหุ้น ซึ่งเมื่อเดือน เม.ย.ราคาหุ้นเพียง 2.06 บาท พอมีข่าวว่า ไอซีบีซีจะขอซื้อ คนในก็รู้ข้อมูลอินไซด์เตอร์ว่ามีราคาเป้าหมายหุ้นละ 8 บาท จึงมีการไล่ซื้อหุ้นจากเดือน เม.ย.จนถึงขณะนี้อยู่ที่หุ้นละ 5.45 บาทเพิ่มขึ้น 147 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีการตั้งเป้าว่าราคาจะสูงขึ้นถึง 8 บาท ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นจะทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้น 288 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการทำกำไรที่มหาศาล จึงกลายเป็นที่เคลือบแคลง ว่า การนำคนจากโบรกเกอร์เข้ามาทำงานให้กระทรวงการคลัง ในขณะที่ภาพลักษณ์ก็ล้มเหลวจากการเล่นหุ้นที่ทำให้ทรัพย์สินส่วนตัวหายไปจำนวนมาก ตรงนี้จึงมีการถามถึงความโปร่งใสมีมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งก่อนหน้านี้ ก็มี ส.ว.หญิงคนหนึ่งออกมาพูดถึงเรื่องเงินปากถุง ว่า ซึ่งหากเงินกู้ 8 แสนล้านบาทได้เงินปากถุงปีละ 1 เปอร์เซ็นต์ก็จะได้ปีละ 8 พันล้านบาท 10 ปี ก็จะได้ 8 หมื่นล้านบาท ตนก็ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ข่าวออกมาหนาหูเหลือเกิน ซึ่งท่านจะต้องชี้แจง ไม่เช่นนั้นเราจะไม่ไว้ใจให้เอาเงินไปใช้ได้อย่างไร และคนไทยจะเชื่อถือได้อย่างไร ซึ่งตนจะไม่ให้งบผ่านสภาแน่นอน และถ้าหากรัฐมนตรีชี้แจงไม่ได้ตนจะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสภาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร
ขณะที่ นายกรณ์ ชี้แจงว่า รู้สึกผิดหวังที่นายวรวัจน์ไม่หาข้อมูลให้มากกว่านี้ น่าจะทำการบ้านได้ดีกว่านี้ ไม่ใช่เอาข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ฉบับเดียวที่รายงานข่าวดังกล่าว แต่สุดท้าย บก.ของหนังสือพิมพ์นี้ก็ได้โทรศัพท์มาขออภัยในความคาดเคลื่อนของข่าวที่ลงไป ซึ่งตนก็ไม่ได้ติดใจ และไม่คิดว่าจะมีใครยกข่าวนี้มาพูดสภา และหากยังสงสัยก็สามารถยื่นฟ้องหน่วยงานต่างๆ ได้เลย ส่วนกรณีเงินปากถุงขอยืนยันว่ากระบวนการกู้เงินเป็นไปอย่างโปร่งใส การออกมากล่าวหาเช่นนี้สร้างความเสียหายให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และควรมีหลักฐานมากกว่านี้ ขณะที่มองว่าการกู้เงินจะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 169 เรื่องนี้มีการศึกษาและหยิบยก พ.ร.บ.วิธีพิจารณางบประมาณมาตรา 23 วรรคหนึ่ง เปิดโอกาสให้ใช้เงินด้วยวิธีการอื่นได้
ขณะที่ นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อ้างว่า รัฐบาลชุดนี้มีข่าวทุจริตเฉลี่ยเดือนละเรื่อง ทำให้ตนไม่สามารถจะโหวตผ่านร่าง พ.ร.บ.กู้เงินฯ นี้ได้ ขณะนี้มีข้อมูลความไม่ชอบมาพากลที่รัฐมนตรีบางคน และข้าราชการบางกลุ่ม ได้ไปนัดพบเจรจากันเมื่อวันที่ 21-23 พ.ค.2552 ที่สนามกอล์ฟไพน์เฮิร์ส ได้มีการพูดคุยกันถึงโครงการที่อยู่ในส่วนของงบประมาณ กรมอาชีวะศึกษา ซึ่งอยู่ในส่วนของงบกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 1.5 หมื่นล้านบาท โดยมีการเจรจากันแล้ว 6 บริษัท มีการวางมัดจำกันแล้ว 30 ล้านบาท ต่อมามีหนังสือร้องเรียนไปยังรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ตรวจสอบเรื่องนี้ ทำให้ รมช.ศึกษาธิการ ทำหนังสือแจ้งไปยังนายกฯ ว่า ได้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้ว เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.2552 ซึ่งการตั้งกรรมการสอบแสดงว่าต้องมีมูลทุจริตเกิดขึ้นแล้ว ขอตั้งข้อสังเกตว่าโครงการนี้ทำให้บางคนในกรมอาชีวะศึกษาเข้มแข็งขึ้นหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการอภิปราย นายสุนัย ได้โชว์ภาพที่มีรัฐมนตรีหญิง 2 คน ที่ลงในหน้าหนังสือพิมพ์กำลังพูดคุยกัน โดยคนหนึ่งกำลังถือดินสออยู่ ซึ่งนายสุนัยได้กล่าวเปรียบเปรยว่า ไม่ทราบว่ารัฐมนตรีคุยกันเหมือนกับมือที่กำลังถือตะเกียบเพื่อแบ่งกันกินหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีข่าวว่าตามที่ ครม.มีมติจัดงบประมาณให้กับกระทรวงของพรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนาจำนวน 4.4 พันล้านบาท เพื่อแลกกับการโหวตผ่าน พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.กู้เงินทั้ง 2 ฉบับนี้หรือไม่
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า รัฐบาลนี้คาดการณ์เศรษฐกิจผิดเสมอ แถมร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะกู้เงิน ก็ยังไม่รู้กู้จากไหน เอาไปใช้ทำอะไร ทำไมไม่เขียนแผนมาให้ชัด แล้วก็ไม่บอกว่า จะเอาเงินจากที่ไหนมาใช้หนี้ การกู้เงินของรัฐบาลในครั้งนี้เป็นการสะท้อนถึงความล้มเหลวกในการบริหารงานของรัฐบาล เพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกจำนวน 1.16 แสนล้าน ประสบกับความล้มเหลวถึงต้องมีการกู้เงินในครั้งนี้ และการตรากฎหมายเพื่อขอกู้เงินก็เป็นเพียงขออนุมัติจากสภา ในหลักการทั้งๆ ที่ในเนื้อหาของกฎหมายไม่ได้มีรายละเอียดว่าจะดำเนินการโครงการอะไรบ้าง ทั้งนี้ งบ 8 แสนล้านบาท ไปอยู่ที่กระทรวงคมนาคมถึง 4.7 แสนล้าน แต่เรื่องเกษตรกร และการท่องเที่ยว ไม่เคยพูดถึง รมว.คลัง เคยทำงาน เจ.พี.มอร์แกน เป็นบริษัทโบรกเกอร์ แล้วจะมาแก้เศรษฐกิจอย่างไร เพราะเอาแต่เก็ง แถมการกู้เงินครั้งนี้ก็ผูกหันหลายปี วินัยการเงินการคลังไปไม่ได้ ประชาชนยังเป็นหนี้ ฝ่ายค้านใครเห็นชอบ ออกไปหาเสียงไม่ได้แน่ ถามว่า ไม่มีแผนรายละเอียด ตอนลงมติแล้วฝ่ายค้านวอล์กเอาต์ หรือตอนตั้ง กมธ.วิสามัญ แล้วฝ่ายค้านไม่เอาด้วยจะทำอย่างไร ก็ไปไมได้แน่
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง อภิปราย ว่า รัฐบาลอย่าเอาเสียงข้างมากลากไป และครั้งนี้จะเป็นมรดกบาปในการเสนอกู้เงิน 2 ฉบับ จากเงินปากถุง จนการทุจริต เพราะทุกอย่างส่อไปในวิธีพิเศษ บ้านเมืองนี้ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เคยรับสั่งสาปแช่งว่า ถ้าใครทุจริต ขอให้มีอันเป็นไป อย่างกรณีโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน ทราบข่าวว่ามีการทุจริต 2 พันล้าน หาก นายโสภณ ซารมย์ รมว.คมนาคม รู้ก็ขอให้ไปตอบกับนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ด้วย
ขณะที่ นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ได้ลุกชี้แจงทันทีว่าเรื่องนี้หากประชาชนได้ฟังก็จะเข้าใจว่า รมว.คมนาคม ทุจริต ดังนั้น ใครก็ตามที่รู้ข้อมูลให้ช่วยไปตรวจสอบหน่อยและหากพบว่ามีการทุจริตตามที่กล่าวหากันจริงก็พร้อมที่จะลาออกจากตำแหน่ง ส่วนใครที่กล่าวหาแล้ว ไม่เป็นความจริงก็ควรจะลาออกจากตำแหน่งด้วยเช่นกัน
ต่อมา นายสันติ พร้อมพัฒน์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย อดีตรมว.คมนาคม ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กล่าวว่า โครงการนี้จะบอกว่าเป็นโครงการที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล นายสมัคร ไม่ได้เพราะถูกผลักดัน โดย นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คม.ในขณะนั้น โดยตอนที่แบ่งงานกันก็มีการบีบให้มอบงานของหน่วยงานขสมก. กับ การท่าอากาศยาน ให้ นายทรงศักดิ์ ดูแล ตอนที่มีการพิจารณาใน ครม.ก็ไม่มีใครเห็นด้วยกับการเช่ารถเอ็นจีวี มีเพียงเห็นด้วยกับการฟื้นฟูระบบ ขสมก.และที่น่าสังเกตจะเห็นว่า เรื่องนี้ตั้งต้นเริ่มมาจากสภาพัฒน์ มาโดยตลอด เมื่อมาถึงรัฐบาลชุดนี้ก็มี นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม มาดูแลส่วนนี้อีก จึงคิดว่าการที่รัฐบาลส่งเรื่องให้สภาพัฒน์พิจารณา สุดท้ายคงต้องส่งกลับมาว่าควรให้เช่าอีก
นายสันติ กล่าวว่า สมัยที่ตนอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรี เคยได้รับการร้องเรียนจากอู่ต่อรถหลายแห่ง โดย เข้าใจผิดว่าตนเป็นต้นเรื่องโครงการนี้ จึงได้ติดต่อมาว่ามีการเรียกรับเงิน จากรถคันละ1ล้านบาท จึงต้องการขอต่อรองราคาเหลือคันละ 5 แสนบาทได้หรือไม่ ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงว่าตนไม่ได้เป็นเจ้าของโครงการและพยายามสอบถามถึงชื่อผู้เรียกรับเงินดังกล่าว แต่ทางเอกชนกลัวว่าจะได้รับความเดือดร้อนเลยไม่กล้าบอก ดังนั้น เชื่อว่า โครงการนี้มีความไม่ชอบมาพากลจริง จึงอยากให้นายกรัฐมนตรีเข้ามาดูแลด้วย
นอกจากนี้ การเช่าพื้นที่ของบริษัทคิงพาวเวอร์ในสนามบินสุวรรณภูมิ หากมีการเก็บเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ไม่จำเป็นต้องกู้เงินถึง 4 แสนล้านบาท ส่วนโครงการถไฟสายสีม่วงเป็นโครงการที่มีการกู้เงินไว้เพียงพออยู่แล้ว ไม่จำเป้นต้องมาขอกู้ใน พ.ร.บ.นี้อีก และ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ก็เคยอภิปรายถึงปัญหาเรื่องสัญญาหลายครั้งในสภาแห่งนี้
ด้าน นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม กล่าวว่า ใครก็อ้างว่าโครงการเช่ารถเมล์เอ้นจีวี 4,000คัน มีการทุจริต หรือเรียกรับสินบน เรื่องนี้มันไม่มีวิธีอื่นที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าจริงหรือไม่ นอกจากใครก็ตามที่บอกว่าทุจริตแล้วมีหลักฐานจริงตนก็ยืนยันพร้อมจะลาออก แต่คนคนที่พูดก็ต้องรับผิดชอบถ้าไม่มีการทุจริตจริงก็ต้องลาออก และไม่มีใครโง่ที่ทีโออาร์ยังไม่ออก กลับจะไปจ่ายเงินกันแล้ว ส่วนเงินเก็บค่าเช่าพื้นที่ของบริษัท คิง เพาเวอร์ เป็นมาตั้งแต่สมัยพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ทำไมไม่จัดการ
ขณะที่ นายสันติ ชี้แจงโต้ว่า ตนไม่ได้ได้บอกว่ามีคนเอาเงินมาจ่ายให้รัฐมนตรี มีแค่อู่ต่อรถมาบอกว่าไม่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ส่วนรถไฟฟ้าสีม่วงในช่วงที่ตนเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ก็อยู่ในช่วงที่ยังไม่มีการเปิดซอง แต่มาเปิดซองในรัฐบาลนี้ ก็มีการอภิปรายว่ามีเรื่องทำนองนั้นอยู่