ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ.อเบอร์ดีน มองตลาดตราสารหนี้ไทยยังคงผันผวน มีข่าวดีสลับข่าวร้ายจากภาวะเศรษฐกิจโลก แต่ยังไร้แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ คาดอาจปรับขึ้นอย่างเร็วในช่วงไตรมาส 1 หรือ 2 ในปีหน้า แต่หากปัญหาส่งออกไทย กดจีดีพีติดลบ ก็อาจมีการลดดอกเบี้ยลงได้
นายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวถึง ภาวะตลาดตราสารหนี้ของไทยว่า ตลาดตราสารหนี้ของประเทศไทยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาผลตอบแทนปรับเพิ่มขึ้นแรงมาก โดยมีปัจจัยที่มากจากทั้งในประเทศและนอกประเทศ โดยปัจจัยที่สำคัญคือ เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯบางตัวออกมาดีกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ทำให้มีมองกันว่าเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวขึ้นและธนาคารกลางสหรัฐฯน่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลมาถึงผลตอบแทนของตลาดพันธบัตรในประเทศไทยด้วย
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของภาวะตลาดตราสารหนี้นั้นยังคงต้องติดตามปัจจัยต่างๆอยู่ โดยเฉพาะแนวโน้มของการฟื้นตัวในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ซึ่งในส่วนของประเทศไทยนั้นขณะนี้อัตราดอกเบี้ยได้ปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่ตํ่ามากแล้ว และไม่มีสัญญาณอะไรที่จะทำให้ต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีก แต่โอกาสในการที่จะปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นในปีนี้ยังมองว่ามีโอกาสน้อยมาก คาดว่าอย่างเร็วน่าจะเป็นช่วงไตรมาสที่ 1 หรือไตรมาสที่ 2 ในปีหน้า เนื่องจากการคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจของไทยน่าจะดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ถึงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ แต่ในขณะเดียวกันหากตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงปลายปีนั้นออกมาติดลบก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่อาจจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอีก
"ตลาดตราสารหนี้ในระยะสั้นๆนี้ค่อนข้างจะมีความผันผวนแต่ทางเราเชื่อว่าในปีนี้ประเทศไทยยังไม่น่าจะขึ้นอตราดอกเบี้ย เพราะยังไม่เห็นเศรษฐกิจที่แท้จริงฟื้นตัวอย่างชัดเจน" นายพงค์ธาริน กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจัยที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจของไทยนั้นคือเรื่องของภาคการส่งออก ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีผลต่อการเติบโตของ จีดีพี ในประเทศโดยในขณะนี้มองว่าดีมานด์ของประเทศผู้นำเข้าสินค้าของไทยนั้นยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติเนื่องจากประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ดังนั้นหากการส่งออกของไทยยังไม่ดีขึ้นและทำให้จีดีพีของไทยติดลบในปลายปี ก็อาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีก
ขณะที่ในส่วนของตลาดหุ้นนั้น นายออเสน การบริสุทธิ์ ผู้จัดการกองทุนตราสารทุน บลจ. อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นของไทยที่มีการปรับตัวลงมาในช่วงหลายวันที่ผ่านมานั้น เป็นไปตามภาวะตลาดที่ยังคงมีความผันผวนอยู่เนื่องจากภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงนั้นยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงกำไรของบริษทต่างๆด้วย แม้ภาครัฐจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาก็ตาม ส่งผลให้ราคาหุ้นของไทยปรับลดลงไปอย่างแรงมาก แต่เมื่อเทียบกับหุ้นในภูมิภาคเอเชียด้วยกันแล้วหุ้นไทยมีราคาไม่แพงมาก
"ดังนั้นแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยเรายังคงมองว่า ในปีนี้ตลาดไม่น่าจะโตมากเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังที่ยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ ทำให้ในปีนี้ตลาดจะยังคงมีความผันผวนอยู่" นายออเสนกล่าว
จากรายงานของตลาดตราสารหนี้ไทยถึงบรรยากาศการซื้อขายในตลาดตราสารหนี้ไทยวานนี้ (23 มิ.ย.) พบว่า มีปริมาณการซื้อขายรวม 412,919.06 ล้านบาท ในส่วนนี้เป็นการซื้อขายแบบ Outright หรือการซื้อขายขาดแบบไม่มีภาระผูกพันมูลค่า 66,136.37 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16 ของมูลค่าการซื้อขายรวม และปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 127 จากเมื่อวาน มูลค่าซื้อขายแบบ Outright สูงสุดของวันยังคงเป็นพันธบัตร ธปท. 54,818.99 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5 เท่า โดยวานนี้ มีการประมูลพันธบัตร ธปท. 4 รุ่น อายุคงเหลือ 28, 63, 91 วัน และ 2 ปี มูลค่ารวม 63,000 ล้านบาท การประมูลในครั้งนี้มีค่า BCR (มูลค่าความต้องการประมูลต่อมูลค่าการเสนอขาย) เท่ากับ 2.46, 1.11, 2.14 และ 2.88 เท่า ตามลำดับ มูลค่าซื้อขายรองลงมาได้แก่พันธบัตรรัฐบาล 4,641.64 ล้านบาท ในส่วนนี้พันธบัตรรุ่นอายุคงเหลือประมาณ 4 และ 5 ปี (LB137A และ LB145B) เป็นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในตลาด ด้วยสัดส่วนการซื้อขายรวมร้อยละ 63 ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลแบบ outright ทั้งหมด ด้านการซื้อขายตั๋วเงินคลัง 4,429.87 ล้านบาท ส่วนการซื้อขายพันธบัตรรัฐวิสาหกิจมูลค่า 1,563.18 ล้านบาท และการซื้อขายหุ้นกู้เอกชน 682.69 ล้านบาท หุ้นกู้ที่เป็นที่นิยมซื้อขายสูงสุดคือ BAY103A, BAY113A และ PTTC13OA นักลงทุนหลักยังคงเป็นกลุ่มกองทุนรวมมีมูลค่าการซื้อขายรวม 35,751.52 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติมีสถานะซื้อสุทธิ 731.92 ล้านบาท
ทั้งนี้ พบว่า เส้นอัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุคงเหลือ 5 ปี ปิดที่ 3.16% ปรับตัวลดลง 9 basis point และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุคงเหลือ 10 ปี ปิดที่ 3.86% ปรับตัวลดลง 4 basis point ในขณะที่ ThaiBMA Government Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.44 จุด ส่งผลให้ดัชนีปิดที่ระดับ 188.82
นายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวถึง ภาวะตลาดตราสารหนี้ของไทยว่า ตลาดตราสารหนี้ของประเทศไทยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาผลตอบแทนปรับเพิ่มขึ้นแรงมาก โดยมีปัจจัยที่มากจากทั้งในประเทศและนอกประเทศ โดยปัจจัยที่สำคัญคือ เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯบางตัวออกมาดีกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ทำให้มีมองกันว่าเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวขึ้นและธนาคารกลางสหรัฐฯน่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลมาถึงผลตอบแทนของตลาดพันธบัตรในประเทศไทยด้วย
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของภาวะตลาดตราสารหนี้นั้นยังคงต้องติดตามปัจจัยต่างๆอยู่ โดยเฉพาะแนวโน้มของการฟื้นตัวในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ซึ่งในส่วนของประเทศไทยนั้นขณะนี้อัตราดอกเบี้ยได้ปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่ตํ่ามากแล้ว และไม่มีสัญญาณอะไรที่จะทำให้ต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีก แต่โอกาสในการที่จะปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นในปีนี้ยังมองว่ามีโอกาสน้อยมาก คาดว่าอย่างเร็วน่าจะเป็นช่วงไตรมาสที่ 1 หรือไตรมาสที่ 2 ในปีหน้า เนื่องจากการคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจของไทยน่าจะดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ถึงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ แต่ในขณะเดียวกันหากตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงปลายปีนั้นออกมาติดลบก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่อาจจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอีก
"ตลาดตราสารหนี้ในระยะสั้นๆนี้ค่อนข้างจะมีความผันผวนแต่ทางเราเชื่อว่าในปีนี้ประเทศไทยยังไม่น่าจะขึ้นอตราดอกเบี้ย เพราะยังไม่เห็นเศรษฐกิจที่แท้จริงฟื้นตัวอย่างชัดเจน" นายพงค์ธาริน กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจัยที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจของไทยนั้นคือเรื่องของภาคการส่งออก ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีผลต่อการเติบโตของ จีดีพี ในประเทศโดยในขณะนี้มองว่าดีมานด์ของประเทศผู้นำเข้าสินค้าของไทยนั้นยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติเนื่องจากประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ดังนั้นหากการส่งออกของไทยยังไม่ดีขึ้นและทำให้จีดีพีของไทยติดลบในปลายปี ก็อาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีก
ขณะที่ในส่วนของตลาดหุ้นนั้น นายออเสน การบริสุทธิ์ ผู้จัดการกองทุนตราสารทุน บลจ. อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นของไทยที่มีการปรับตัวลงมาในช่วงหลายวันที่ผ่านมานั้น เป็นไปตามภาวะตลาดที่ยังคงมีความผันผวนอยู่เนื่องจากภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงนั้นยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงกำไรของบริษทต่างๆด้วย แม้ภาครัฐจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาก็ตาม ส่งผลให้ราคาหุ้นของไทยปรับลดลงไปอย่างแรงมาก แต่เมื่อเทียบกับหุ้นในภูมิภาคเอเชียด้วยกันแล้วหุ้นไทยมีราคาไม่แพงมาก
"ดังนั้นแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยเรายังคงมองว่า ในปีนี้ตลาดไม่น่าจะโตมากเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังที่ยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ ทำให้ในปีนี้ตลาดจะยังคงมีความผันผวนอยู่" นายออเสนกล่าว
จากรายงานของตลาดตราสารหนี้ไทยถึงบรรยากาศการซื้อขายในตลาดตราสารหนี้ไทยวานนี้ (23 มิ.ย.) พบว่า มีปริมาณการซื้อขายรวม 412,919.06 ล้านบาท ในส่วนนี้เป็นการซื้อขายแบบ Outright หรือการซื้อขายขาดแบบไม่มีภาระผูกพันมูลค่า 66,136.37 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16 ของมูลค่าการซื้อขายรวม และปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 127 จากเมื่อวาน มูลค่าซื้อขายแบบ Outright สูงสุดของวันยังคงเป็นพันธบัตร ธปท. 54,818.99 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5 เท่า โดยวานนี้ มีการประมูลพันธบัตร ธปท. 4 รุ่น อายุคงเหลือ 28, 63, 91 วัน และ 2 ปี มูลค่ารวม 63,000 ล้านบาท การประมูลในครั้งนี้มีค่า BCR (มูลค่าความต้องการประมูลต่อมูลค่าการเสนอขาย) เท่ากับ 2.46, 1.11, 2.14 และ 2.88 เท่า ตามลำดับ มูลค่าซื้อขายรองลงมาได้แก่พันธบัตรรัฐบาล 4,641.64 ล้านบาท ในส่วนนี้พันธบัตรรุ่นอายุคงเหลือประมาณ 4 และ 5 ปี (LB137A และ LB145B) เป็นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในตลาด ด้วยสัดส่วนการซื้อขายรวมร้อยละ 63 ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลแบบ outright ทั้งหมด ด้านการซื้อขายตั๋วเงินคลัง 4,429.87 ล้านบาท ส่วนการซื้อขายพันธบัตรรัฐวิสาหกิจมูลค่า 1,563.18 ล้านบาท และการซื้อขายหุ้นกู้เอกชน 682.69 ล้านบาท หุ้นกู้ที่เป็นที่นิยมซื้อขายสูงสุดคือ BAY103A, BAY113A และ PTTC13OA นักลงทุนหลักยังคงเป็นกลุ่มกองทุนรวมมีมูลค่าการซื้อขายรวม 35,751.52 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติมีสถานะซื้อสุทธิ 731.92 ล้านบาท
ทั้งนี้ พบว่า เส้นอัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุคงเหลือ 5 ปี ปิดที่ 3.16% ปรับตัวลดลง 9 basis point และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุคงเหลือ 10 ปี ปิดที่ 3.86% ปรับตัวลดลง 4 basis point ในขณะที่ ThaiBMA Government Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.44 จุด ส่งผลให้ดัชนีปิดที่ระดับ 188.82