เอเอฟพี - โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเกาหลีใต้ จัดการถอดอุปกรณ์ช่วยชีวิตทั้งหมดออกจากคนไข้อาการโคม่ารายหนึ่งเมื่อวานนี้(23) โดยเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งศาลสูงสุดที่พิพากษาอนุญาตตามคำร้องขอทำการุณยฆาตรายแรกของประเทศ
โฆษกของโรงพยาบาลเซฟเวอแรนซ์ในกรุงโซล ระบุว่าโรงพยาบาลได้ถอดเครื่องช่วยหายใจของคนไข้หญิงวัย 76 ปีผู้หนึ่งในช่วงสายของวานนี้ แต่จะต้องรอเวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะสามารถแจ้งว่าผู้ป่วยได้เสียชีวิตลงแล้ว
นายแพทย์ปาร์กมูซก เป็นผู้ถอดเครื่องช่วยหายใจดังกล่าวออกหลังจากที่ครอบครัวของผู้ป่วยได้สวดมนต์สั้นๆ ให้กับผู้ป่วยที่ข้างเตียง
"ผมรู้สึกปนๆ กันนะ" ปาร์กบอก "แต่ผมหวังว่าเธอจะได้พักผ่อนอย่างสงบอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า"
เมื่อเดือนที่แล้ว ศาลสูงสุดของเกาหลีใต้ได้พิพากษายืนตามคำตัดสินของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ที่ได้อนุญาตตามคำร้องของครอบครัวของผู้ป่วย ซึ่งต้องการให้ผู้ป่วยได้เสียชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี
ทั้งนี้ ตามกฎหมายปัจจุบัน การถอดเครื่องช่วยหายใจให้กับคนไข้ที่มีอาการสมองตายยังถือว่าเป็นการฆาตกรรม แต่ครอบครัวของผู้ป่วยระบุว่าการยืดชีวิตของผู้ป่วยด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นการยืดภาวะการมีชีวิตอย่าง "ทรมานและไร้คุณค่า" ออกไป
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว แพทย์ระบุว่าผู้ป่วยหญิงคนดังกล่าวมีอาการสมองตายหลังจากป่วยด้วยโรคสมองเสื่อมและถึงขั้นโคม่าในระหว่างเข้ารับการตรวจการทำงานของปอดที่โรงพยาบาล
หลังจากนั้นสามเดือน ลูกๆ ของเธอได้ยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อโรงพยาบาลปฏิเสธคำขอของญาติที่ต้องการให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างสงบและมีเกียรติ
ในเดือนพฤศจิกายน ศาลชั้นต้นได้พิพากษาอนุญาตตามคำร้องดังกล่าว เนื่องจากพิจารณาว่าผู้ป่วยไม่มีโอกาสที่จะฟื้นสภาพกลับมาตามปกติ ดังนั้นความประสงค์ที่จะตายของผู้ป่วยจึงควรได้รับการพิจารณา
ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนตามคำตัดสินใจของศาลชั้นต้น แต่โรงพยาบาลดำเนินการยื่นเรื่องจนถึงศาลสูงสุด
ในเดือนพฤษภาคม ศาลสูงสุดก็พิพากษายืนเช่นกัน แต่ระบุด้วยว่าการจะหยุดการรักษาเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยจำเป็นต้อง "พิจารณาอย่างรอบคอบ" ทั้งนี้ การหยุดการรักษาสามารถกระทำได้ หากมีการสันนิษฐานถึงความประสงค์ของผู้ป่วย อีกทั้งการให้ผู้ป่วยคงสภาพสมองตายไว้ก็เป็นการทำลาย "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" หากผู้ป่วยดังกล่าวไม่มีโอกาสฟื้นสภาพตามปกติได้อีก
นอกจากนั้น ศาลยังระบุด้วยว่า ในกรณีของผู้ป่วยรายนี้ได้เคยบอกกับคนในครอบครัวไว้แล้วว่า เธอไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อย่างปลอมๆ ต่อไป หากการรักษาอาการของเธอเกิดปัญหาขึ้น
โฆษกของโรงพยาบาลเซฟเวอแรนซ์ในกรุงโซล ระบุว่าโรงพยาบาลได้ถอดเครื่องช่วยหายใจของคนไข้หญิงวัย 76 ปีผู้หนึ่งในช่วงสายของวานนี้ แต่จะต้องรอเวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะสามารถแจ้งว่าผู้ป่วยได้เสียชีวิตลงแล้ว
นายแพทย์ปาร์กมูซก เป็นผู้ถอดเครื่องช่วยหายใจดังกล่าวออกหลังจากที่ครอบครัวของผู้ป่วยได้สวดมนต์สั้นๆ ให้กับผู้ป่วยที่ข้างเตียง
"ผมรู้สึกปนๆ กันนะ" ปาร์กบอก "แต่ผมหวังว่าเธอจะได้พักผ่อนอย่างสงบอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า"
เมื่อเดือนที่แล้ว ศาลสูงสุดของเกาหลีใต้ได้พิพากษายืนตามคำตัดสินของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ที่ได้อนุญาตตามคำร้องของครอบครัวของผู้ป่วย ซึ่งต้องการให้ผู้ป่วยได้เสียชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี
ทั้งนี้ ตามกฎหมายปัจจุบัน การถอดเครื่องช่วยหายใจให้กับคนไข้ที่มีอาการสมองตายยังถือว่าเป็นการฆาตกรรม แต่ครอบครัวของผู้ป่วยระบุว่าการยืดชีวิตของผู้ป่วยด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นการยืดภาวะการมีชีวิตอย่าง "ทรมานและไร้คุณค่า" ออกไป
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว แพทย์ระบุว่าผู้ป่วยหญิงคนดังกล่าวมีอาการสมองตายหลังจากป่วยด้วยโรคสมองเสื่อมและถึงขั้นโคม่าในระหว่างเข้ารับการตรวจการทำงานของปอดที่โรงพยาบาล
หลังจากนั้นสามเดือน ลูกๆ ของเธอได้ยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อโรงพยาบาลปฏิเสธคำขอของญาติที่ต้องการให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างสงบและมีเกียรติ
ในเดือนพฤศจิกายน ศาลชั้นต้นได้พิพากษาอนุญาตตามคำร้องดังกล่าว เนื่องจากพิจารณาว่าผู้ป่วยไม่มีโอกาสที่จะฟื้นสภาพกลับมาตามปกติ ดังนั้นความประสงค์ที่จะตายของผู้ป่วยจึงควรได้รับการพิจารณา
ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนตามคำตัดสินใจของศาลชั้นต้น แต่โรงพยาบาลดำเนินการยื่นเรื่องจนถึงศาลสูงสุด
ในเดือนพฤษภาคม ศาลสูงสุดก็พิพากษายืนเช่นกัน แต่ระบุด้วยว่าการจะหยุดการรักษาเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยจำเป็นต้อง "พิจารณาอย่างรอบคอบ" ทั้งนี้ การหยุดการรักษาสามารถกระทำได้ หากมีการสันนิษฐานถึงความประสงค์ของผู้ป่วย อีกทั้งการให้ผู้ป่วยคงสภาพสมองตายไว้ก็เป็นการทำลาย "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" หากผู้ป่วยดังกล่าวไม่มีโอกาสฟื้นสภาพตามปกติได้อีก
นอกจากนั้น ศาลยังระบุด้วยว่า ในกรณีของผู้ป่วยรายนี้ได้เคยบอกกับคนในครอบครัวไว้แล้วว่า เธอไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อย่างปลอมๆ ต่อไป หากการรักษาอาการของเธอเกิดปัญหาขึ้น