ในการสร้างการเมืองใหม่ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต้องสร้างปัญญาแกนขึ้นมาให้ได้
ปัญญาแกนก็คือปัญญาใหญ่ที่เป็น “แก่นแกน” ของระบบปัญญารวมในสังคม ที่นำพาคนในสังคมคิดและทำ อยู่ในฐานะแก่นแกนทางวัฒนธรรมระดับชาติ
ในอดีตก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มีปัญญาแกนสะท้อนโลกทัศน์ของเจ้าศักดินาเป็นหลัก แต่พอหลังจากนั้น อำนาจปกครองแตกเป็นเสี่ยง กระจายไปอยู่ในมือของกลุ่มอำนาจที่เรียกว่า “อำมาตย์” เสียส่วนใหญ่ บวกกับการไหลบ่าเข้าของอำนาจครอบงำจากโลกตะวันตก ตามช่องทางและสายเชื่อมต่างๆ อย่างหลากหลาย ในรูปของความคิด ค่านิยมสมัยใหม่ สะท้อนวิสัยทัศน์ทุนนิยม แต่ปัญญาคร่ำครึของกลุ่มอำมาตย์กับปัญญาต่างด้าวจากตะวันตกเข้ากันไม่ได้และกินกันไม่ลง กระจัดกระจาย กลายเป็น “ปัญญาฝอย” ลอยฟุ้งไปทั่ว
พัฒนาการสังคมไทยหลังจากนั้นจึงวนเวียนและเวียนวน เหมือนคนตาบอด หาหนทางไปไม่เจอ จวบจนทุกวันนี้
จากนี้พอจะเห็นได้ว่า อำนาจกับปัญญาเป็นของคู่กัน เป็นคนละด้านของเหรียญเดียวกัน
บัดนี้ อำนาจประชาชนโดยการนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ก่อตัวขึ้นมาตามความเรียกร้องต้องการของประชาชน และตามกฎเกณฑ์พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ และได้แสดงตัวเป็นอำนาจกำหนดใหม่ทางการเมืองและสังคมไทยอย่างเด่นชัด เพราะเป็นอำนาจตื่นรู้ ใช้ปัญญาชี้นำ มุ่งจุดเทียนปัญญาให้แก่มวลมหาชน มีจุดหมายที่จะนำประเทศชาติและประชาชนออกไปให้พันจากวังวนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ให้สำเร็จเป็นจริงในเร็ววัน
เพื่อภารกิจทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่นี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงต้องสร้างและพัฒนาปัญญาแกนของตนขึ้นมา หาไม่แล้ว อำนาจประชาชนก็จะเสื่อมสลาย ขบวนการการเมืองภาคประชาชนก็จะฝ่อ การเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยก็จะถูกเลื่อนออกไปอีกหลายสิบปี
จากบทเรียนในอดีต เราพบว่า “ปัญญาฝอย” ช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ผิวเผินได้ แต่แก้ปัญหาใหญ่ๆ ระยะยาวๆ ในระดับองค์รวมไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ คนไทยหลังปี 2475 จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาระดับชาติได้แบบเบ็ดเสร็จ ไม่สามารถทำให้สังคมไทยร่มเย็นได้จริง
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาประเทศชาติครั้งนี้ของชาวพันธมิตรฯ (ในฐานะแกนนำของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่แสดงตนเป็นเจ้าภาพเปลี่ยนแปลงประเทศไทย) จึงต้องใช้ปัญญาแกน ตั้งแต่เริ่มต้น โดยเน้นสร้างความเป็นปึกแผ่นภายในพันธมิตรฯ เป็นเบื้องต้น
น่าดีใจที่ปัจจุบันนี้ ปัญญาแกนของชาวพันธมิตรฯ ได้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแล้ว บนฐานองค์ความรู้จากการต่อสู้ของมวลมหาชนชาวพันธมิตรฯ ภายใต้การนำของแกนนำทั้ง 5 หลายระลอกด้วยกัน โดยเฉพาะจากการเคลื่อนไหวชุมนุมอย่างยืดเยื้อ 193 วัน
ปัญญาแกนพันธมิตรฯ มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ ดังนี้
1. จิตใจ ได้แก่ ความเสียสละ กล้าหาญ ซื่อสัตย์ และทุ่มเท (สุดความสามารถ) ซึ่งได้ปรากฏออกมาเป็นคุณลักษณะของ “คนพันธมิตรฯ” ( “ดี” และ “มีความสามารถ”)
2. ภูมิปัญญา ได้แก่
2.1 การเมืองใหม่ เป็นอุดมการณ์หรือ “ธง” คอยชี้นำให้พัฒนาแนวคิดแก้ไขปัญหาของชาติในทุกระยะของการต่อสู้ โดยปรากฏออกมาในรูปของวิสัยทัศน์ แนวคิด และนโยบายรูปธรรมต่างๆ สำหรับแก้ไขปัญหาของชาติ ตลอดจนแนวนโยบายสร้างชาติอย่างรอบด้านด้วย ซึ่งบัดนี้ ได้ก้าวถึงขั้นการตั้งพรรคการเมืองใหม่แล้ว
2.2 อำนาจปัญญา เป็นอำนาจประชาชนที่เกิดจากการ “จุดเทียนปัญญา” เป็นเนื้อหาสาระหลักของ “อำนาจกำหนดใหม่” ที่จะต่อสู้ห้ำหั่นเอาชนะอำนาจกำหนดเก่า ล้างการเมืองเก่าและสร้างการเมืองใหม่ เป็นส่วนที่แสดงความเป็นตัวเป็นตนของภูมิปัญญาชาวพันธมิตรฯ มากที่สุด
2.3 ประชาธิปไตยมวลมหาชน เป็นระบบกลไกชั้นเยี่ยมที่ชาวพันธมิตรฯ ร่วมกันประดิษฐ์คิดสร้างขึ้นมาในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ ทำหน้าที่ขับเคลื่อนกระบวนการใช้อำนาจภายในของพันธมิตรฯ ที่มวลประชามหาชนเบื้องล่างเป็นผู้กำกับการใช้อำนาจของแกนนำเบื้องบน ในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น การลงมติในสภาพันธมิตรฯ และการขอฉันทานุมัติในที่ชุมนุมใหญ่ ก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 24-25 พ.ค. ที่ผ่านมา อยู่ในฐานะเป็น “หัวใจ” ของการเมืองใหม่ และจะเป็นรูปแบบประชาธิปไตยใหม่ในระบบรัฐสภาของการเมืองใหม่ในอนาคต
3. ท่วงทำนอง หรือวิธีคิดวิธีการทำงานของชาวพันธมิตรฯ ประกอบด้วย
3.1 ไม่ตัดอดีต มองเห็นอดีตที่ผ่านมาแบบต่อเนื่องดุจสายน้ำ เข้าใจเหตุปัจจัยของความเป็นมาอย่างถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นจริง ที่สำคัญคือมองเห็นความเชื่อมโยงของสิ่งดีๆ ของอดีตกับปัจจุบัน สามารถเก็บรับสิ่งดีๆ สานต่อสิ่งดีๆ ไม่ทิ้งสิ่งดีๆ ไปในระหว่างทาง
การไม่ตัดอดีต ตีความกว้างครอบคลุมถึงสิ่งสืบทอดทางประวัติศาสตร์ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งของบรรพบุรุษชาวไทย และบรรพบุรุษของมวลมนุษยชาติ
3.2 ไม่จำนนปัจจุบัน หลักๆ คือสามารถมองเห็นภาพรวมทั้งหมดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือ “มองเห็นป่าทั้งป่า” มองเห็นปมปัญหาที่เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดที่จะต้องร่วมกันลงแรงแก้ไขให้ตกไป ซึ่งจะทำให้เรามองเห็นทางออกเสมอ
3.3 ยึดมั่นอนาคต อีกนัยหนึ่งก็คือ ยึดมั่นในอุดมการณ์ ปัจจุบันก็คือ “การเมืองใหม่” ซึ่งเป็น “ธง” โบกไสวโดดเด่นอยู่เบื้องหน้า ทำให้เราไม่ย่อท้อ หรือหลงทิศผิดทาง
“ปัญญาแกน” นี้ ไม่เพียงแต่จะค้ำจุนให้พันธมิตรฯ เข้มแข็งเกรียงไกรเท่านั้น แต่จะสามารถค้ำจุนให้ประเทศไทยเข้มแข็งเกรียงไกรด้วยเช่นเดียวกัน ในทันทีที่การเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ ได้รับการสถาปนาขึ้นแทนที่การเมืองเก่า
เมื่อนั้น สังคมไทยก็จะหลุดพ้นจากสภาพการใช้ “ปัญญาฝอย” แก้ปัญหาชาติ ปัญหาวิกฤตร้ายแรงก็จะได้รับการแก้ไขให้ตกไป และก้าวเข้าสู่ยุคเฟื่องฟูได้สำเร็จ ด้วยพลานุภาพของ “ปัญญาแกน” ที่เริ่มต้นจากพวกเราชาวพันธมิตรฯ
ปัญญาแกนก็คือปัญญาใหญ่ที่เป็น “แก่นแกน” ของระบบปัญญารวมในสังคม ที่นำพาคนในสังคมคิดและทำ อยู่ในฐานะแก่นแกนทางวัฒนธรรมระดับชาติ
ในอดีตก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มีปัญญาแกนสะท้อนโลกทัศน์ของเจ้าศักดินาเป็นหลัก แต่พอหลังจากนั้น อำนาจปกครองแตกเป็นเสี่ยง กระจายไปอยู่ในมือของกลุ่มอำนาจที่เรียกว่า “อำมาตย์” เสียส่วนใหญ่ บวกกับการไหลบ่าเข้าของอำนาจครอบงำจากโลกตะวันตก ตามช่องทางและสายเชื่อมต่างๆ อย่างหลากหลาย ในรูปของความคิด ค่านิยมสมัยใหม่ สะท้อนวิสัยทัศน์ทุนนิยม แต่ปัญญาคร่ำครึของกลุ่มอำมาตย์กับปัญญาต่างด้าวจากตะวันตกเข้ากันไม่ได้และกินกันไม่ลง กระจัดกระจาย กลายเป็น “ปัญญาฝอย” ลอยฟุ้งไปทั่ว
พัฒนาการสังคมไทยหลังจากนั้นจึงวนเวียนและเวียนวน เหมือนคนตาบอด หาหนทางไปไม่เจอ จวบจนทุกวันนี้
จากนี้พอจะเห็นได้ว่า อำนาจกับปัญญาเป็นของคู่กัน เป็นคนละด้านของเหรียญเดียวกัน
บัดนี้ อำนาจประชาชนโดยการนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ก่อตัวขึ้นมาตามความเรียกร้องต้องการของประชาชน และตามกฎเกณฑ์พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ และได้แสดงตัวเป็นอำนาจกำหนดใหม่ทางการเมืองและสังคมไทยอย่างเด่นชัด เพราะเป็นอำนาจตื่นรู้ ใช้ปัญญาชี้นำ มุ่งจุดเทียนปัญญาให้แก่มวลมหาชน มีจุดหมายที่จะนำประเทศชาติและประชาชนออกไปให้พันจากวังวนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ให้สำเร็จเป็นจริงในเร็ววัน
เพื่อภารกิจทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่นี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงต้องสร้างและพัฒนาปัญญาแกนของตนขึ้นมา หาไม่แล้ว อำนาจประชาชนก็จะเสื่อมสลาย ขบวนการการเมืองภาคประชาชนก็จะฝ่อ การเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยก็จะถูกเลื่อนออกไปอีกหลายสิบปี
จากบทเรียนในอดีต เราพบว่า “ปัญญาฝอย” ช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ผิวเผินได้ แต่แก้ปัญหาใหญ่ๆ ระยะยาวๆ ในระดับองค์รวมไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ คนไทยหลังปี 2475 จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาระดับชาติได้แบบเบ็ดเสร็จ ไม่สามารถทำให้สังคมไทยร่มเย็นได้จริง
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาประเทศชาติครั้งนี้ของชาวพันธมิตรฯ (ในฐานะแกนนำของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่แสดงตนเป็นเจ้าภาพเปลี่ยนแปลงประเทศไทย) จึงต้องใช้ปัญญาแกน ตั้งแต่เริ่มต้น โดยเน้นสร้างความเป็นปึกแผ่นภายในพันธมิตรฯ เป็นเบื้องต้น
น่าดีใจที่ปัจจุบันนี้ ปัญญาแกนของชาวพันธมิตรฯ ได้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแล้ว บนฐานองค์ความรู้จากการต่อสู้ของมวลมหาชนชาวพันธมิตรฯ ภายใต้การนำของแกนนำทั้ง 5 หลายระลอกด้วยกัน โดยเฉพาะจากการเคลื่อนไหวชุมนุมอย่างยืดเยื้อ 193 วัน
ปัญญาแกนพันธมิตรฯ มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ ดังนี้
1. จิตใจ ได้แก่ ความเสียสละ กล้าหาญ ซื่อสัตย์ และทุ่มเท (สุดความสามารถ) ซึ่งได้ปรากฏออกมาเป็นคุณลักษณะของ “คนพันธมิตรฯ” ( “ดี” และ “มีความสามารถ”)
2. ภูมิปัญญา ได้แก่
2.1 การเมืองใหม่ เป็นอุดมการณ์หรือ “ธง” คอยชี้นำให้พัฒนาแนวคิดแก้ไขปัญหาของชาติในทุกระยะของการต่อสู้ โดยปรากฏออกมาในรูปของวิสัยทัศน์ แนวคิด และนโยบายรูปธรรมต่างๆ สำหรับแก้ไขปัญหาของชาติ ตลอดจนแนวนโยบายสร้างชาติอย่างรอบด้านด้วย ซึ่งบัดนี้ ได้ก้าวถึงขั้นการตั้งพรรคการเมืองใหม่แล้ว
2.2 อำนาจปัญญา เป็นอำนาจประชาชนที่เกิดจากการ “จุดเทียนปัญญา” เป็นเนื้อหาสาระหลักของ “อำนาจกำหนดใหม่” ที่จะต่อสู้ห้ำหั่นเอาชนะอำนาจกำหนดเก่า ล้างการเมืองเก่าและสร้างการเมืองใหม่ เป็นส่วนที่แสดงความเป็นตัวเป็นตนของภูมิปัญญาชาวพันธมิตรฯ มากที่สุด
2.3 ประชาธิปไตยมวลมหาชน เป็นระบบกลไกชั้นเยี่ยมที่ชาวพันธมิตรฯ ร่วมกันประดิษฐ์คิดสร้างขึ้นมาในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ ทำหน้าที่ขับเคลื่อนกระบวนการใช้อำนาจภายในของพันธมิตรฯ ที่มวลประชามหาชนเบื้องล่างเป็นผู้กำกับการใช้อำนาจของแกนนำเบื้องบน ในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น การลงมติในสภาพันธมิตรฯ และการขอฉันทานุมัติในที่ชุมนุมใหญ่ ก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 24-25 พ.ค. ที่ผ่านมา อยู่ในฐานะเป็น “หัวใจ” ของการเมืองใหม่ และจะเป็นรูปแบบประชาธิปไตยใหม่ในระบบรัฐสภาของการเมืองใหม่ในอนาคต
3. ท่วงทำนอง หรือวิธีคิดวิธีการทำงานของชาวพันธมิตรฯ ประกอบด้วย
3.1 ไม่ตัดอดีต มองเห็นอดีตที่ผ่านมาแบบต่อเนื่องดุจสายน้ำ เข้าใจเหตุปัจจัยของความเป็นมาอย่างถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นจริง ที่สำคัญคือมองเห็นความเชื่อมโยงของสิ่งดีๆ ของอดีตกับปัจจุบัน สามารถเก็บรับสิ่งดีๆ สานต่อสิ่งดีๆ ไม่ทิ้งสิ่งดีๆ ไปในระหว่างทาง
การไม่ตัดอดีต ตีความกว้างครอบคลุมถึงสิ่งสืบทอดทางประวัติศาสตร์ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งของบรรพบุรุษชาวไทย และบรรพบุรุษของมวลมนุษยชาติ
3.2 ไม่จำนนปัจจุบัน หลักๆ คือสามารถมองเห็นภาพรวมทั้งหมดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือ “มองเห็นป่าทั้งป่า” มองเห็นปมปัญหาที่เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดที่จะต้องร่วมกันลงแรงแก้ไขให้ตกไป ซึ่งจะทำให้เรามองเห็นทางออกเสมอ
3.3 ยึดมั่นอนาคต อีกนัยหนึ่งก็คือ ยึดมั่นในอุดมการณ์ ปัจจุบันก็คือ “การเมืองใหม่” ซึ่งเป็น “ธง” โบกไสวโดดเด่นอยู่เบื้องหน้า ทำให้เราไม่ย่อท้อ หรือหลงทิศผิดทาง
“ปัญญาแกน” นี้ ไม่เพียงแต่จะค้ำจุนให้พันธมิตรฯ เข้มแข็งเกรียงไกรเท่านั้น แต่จะสามารถค้ำจุนให้ประเทศไทยเข้มแข็งเกรียงไกรด้วยเช่นเดียวกัน ในทันทีที่การเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ ได้รับการสถาปนาขึ้นแทนที่การเมืองเก่า
เมื่อนั้น สังคมไทยก็จะหลุดพ้นจากสภาพการใช้ “ปัญญาฝอย” แก้ปัญหาชาติ ปัญหาวิกฤตร้ายแรงก็จะได้รับการแก้ไขให้ตกไป และก้าวเข้าสู่ยุคเฟื่องฟูได้สำเร็จ ด้วยพลานุภาพของ “ปัญญาแกน” ที่เริ่มต้นจากพวกเราชาวพันธมิตรฯ