หลังจากที่ถูกรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะรุกไล่อยู่พักหนึ่งเมื่อต้นเดือนมีนาคม ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคุกก็ค่อยๆ รวบรวมกำลังตอบโต้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างมีจังหวะก้าว จนกระทั่งสามารถปลุกระดมคนเสื้อแดงมาล้อมทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 8 เมษายน
ทักษิณป่าวประกาศด้วยอาการกระหยิ่มยิ้มย่อง ว่าจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยใหม่ให้เป็นประเทศประชาธิปไตยใหม่
เป็นคำประกาศที่น่าเกรงขาม น่ากลัว น่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง
วันรุ่งขึ้นของการชุมนุมล้อมทำเนียบฯ พลพรรคเสื้อแดงก็ป่วนกรุงเทพฯ จนมหานครแห่งนี้เกือบจะกลายเป็นอัมพาต ด้วยการใช้รถแท็กซี่ไปขวางทางจราจรในจุดสำคัญๆ ของกรุงเทพฯ เช่น อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สุขุมวิทซอย 71 เป็นต้น
ครั้นถึงการประชุมอาเซียนบวก 3 บวก 6 ที่พัทยา ซึ่งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเตรียมการไว้เป็นอย่างดี ให้สัมภาษณ์นักข่าวทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วยความมั่นใจว่าจะสามารถจัดการประชุมได้ด้วยความเรียบร้อย ต้องล่มลงด้วยการที่พลพรรคคนเสื้อแดงบุกไปถึงโรงแรมที่จัดประชุม นายกรัฐมนตรีของเราต้องพาแขกเหรื่อขึ้นเฮลิคอปเตอร์หนีภัยกันจ้าละหวั่น บ้างไปทางน้ำด้วยเรือของกองทัพเรือ
ทำให้นักโทษหนีคุก ทักษิณ ชินวัตร เกิดอาการลิงโลดเข้าใจว่าเป็นชัยชนะ เกิดความคาดหวังว่าในเวลาอันไม่นานนี้ เขาจะสามารถกลับประเทศไทย และจะสามารถเข้าสู่อำนาจเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ได้
เหตุผลอันสำคัญยิ่งที่ทำให้อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษหนีคุก ทักษิณ ชินวัตร เคลิบเคลิ้มละเมอเพ้อพกได้ขนาดนั้น นอกจากจะเป็นเพราะโลกร้อนขึ้น เพราะแต่ละคนต่างก็ช่วยกันทำร้ายโลกแล้ว ปัญหาสำคัญยังอยู่ที่รัฐบาลผสมซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีนั่นเอง
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรัฐบาลที่มาแทนที่รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายสมัคร สุนทรเวช นอมินีตัวจริง หรือบริษัทบริวารที่ซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคุก ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่ง และเป็นส่วนใหญ่ของประเทศคาดหวังว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต่อกรกับระบอบทักษิณ หรือจัดการกับรอบอบทักษิณแตกต่างไปจากรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่มาเป็นรัฐบาลด้วยการเชื้อเชิญของคณะนายทหารที่ยึดอำนาจรัฐบาลเลว ทักษิณ ชินวัตร
แทนที่รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ จะได้ทำความเข้าใจกับประชาชนให้ประชาชนรู้ความชั่วความเลวของระบอบทักษิณ กลับเพิกเฉย ด้วยเกรงว่าคนเขาจะมองว่าเป็นเผด็จการ อยากจะแสดงให้ชาวโลกเห็นว่า เป็นประชาธิปไตย (ทั้งที่จริงๆ แล้วก็มาด้วยวิถีเผด็จการ)
ในที่สุดกองกำลังพลพรรคเสื้อแดงก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และเติบใหญ่อย่างถึงที่สุดเมื่อพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง นายสมัคร สุนทรเวช มาเป็นรัฐบาล
คดีความต่างๆ ที่แกนนำคนเสื้อแดงทำเอาไว้ ตำรวจพิจารณาด้วยความสุขุมรอบคอบ เป็นเดือนเป็นปีก็ยังไม่ส่งอัยการ ครั้นถึงอัยการ อัยการก็ยังไม่สั่งฟ้อง เช่น การบุกบ้านสี่เสาฯ ของท่านประธานองคมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ด้วยการเอาก้อนอิฐก้อนหินปาเข้าไปในบ้าน อัยการบอกว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ( ระวังเถอะ วันหนึ่งข้างหน้าเกิดประชาชนไปประท้วงอัยการที่บ้าน แล้วใช้ก้อนอิฐก้อนหินปาเข้าไป ก็ขอให้อัยการใช้เหตุผลอันเดียวกันนี้ สั่งไม่ฟ้องก็แล้วกัน )
ขณะเดียวกัน นักโทษหนีคุกทักษิณ ชินวัตร ก็พัฒนาวิธีการที่จะติดต่อสื่อสารกับบรรดาผู้ที่ยังจงรักภักดี สนับสนุนเขา จากการใช้แผ่นวีซีดีมาเป็นการโทรศัพท์ จนกระทั่งถึงการใช้วิดีโอลิงก์ ซึ่งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้แต่บอกกล่าวกับประชาชนว่า นั่นเป็นเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
รัฐบาลไม่มีปัญญาที่จะขัดขวาง ห้ามปราม หรือแม้กระทั่งตัดสัญญาณได้
แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงต่างก็รู้ว่า ถ้าหากจะตัดสัญญาณเมื่อใดก็ย่อมตัดได้ ก็เลยต้องขู่ไว้ก่อนว่าถ้าหากตัดสัญญาณเมื่อใด ก็เป็นเรื่องเมื่อนั้น จะยกระดับความรุนแรงขึ้นไปอีก จากการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยใหม่ชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ต่างตกอยู่ในสภาพเหมือนคนที่เป็นใบ้ ไม่ตอบโต้ ไม่ชี้แจง ปล่อยให้อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษหนีคุกปลุกพลพรรคเสื้อแดงให้ฮึกห้าวเหิมหาญ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ด้วยความหวังลึกๆ ว่า เทศกาลสงกรานต์ที่ประชาชนไม่ว่าจะใส่เสื้อสีใดก็ตาม จะกลับภูมิลำเนาไปพบปะครอบครัว เข้าวัดเข้าวา จะช่วยให้การชุมนุมลดระดับลง ซึ่งก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง หมดเทศกาลสงกรานต์แล้ว รัฐบาลก็จะต้องปวดหัวกับการชุมนุมของพลพรรคเสื้อแดงอีก
ที่สำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ปฏิบัติการของพลพรรคเสื้อแดงไม่สามารถขยายลุกลามได้ ก็เพราะการบุกยึดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งนอกจากเป็นเส้นทางการคมนาคมของประชาชนระดับชาวบ้านแล้ว บริเวณนั้นก็ยังมีโรงพยาบาลหลายต่อหลายแห่ง มีคนไข้ทั้งธรรมดาและฉุกเฉินจะต้องเข้าโรงพยาบาลในบริเวณนั้น เช่น โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ โรงพยาบาลโรคผิวหนัง โรงพยาบาลรามาธิบดี การปฏิบัติการของพวกเขาเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายกันในกรุงเทพฯ เพื่อบีบคั้นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะให้ลาออก ด้วยการปิดการจราจรนั้น พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงมนุษยธรรม ไม่ได้คำนึงถึงชีวิต ซึ่งก็ไม่แปลกสำหรับคนพวกนี้ ดูแต่นักโทษหนีคุก ทักษิณ ชินวัตร ยังให้ลูกเมียของเขาออกนอกประเทศ ในขณะที่เขาเรียกร้องให้ชาวบ้านทั่วไปต่อสู้เพื่อเขา
“อย่าให้ผมต้องพ่ายแพ้นะพี่น้อง” นักโทษหนีคุกทักษิณ ชินวัตร ออดอ้อนประชาชน
ดูเอาเถอะ พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย
ใจมันทำด้วยอะไร มันเป็นคนชนิดไหน?
ครั้นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้คิด ประกาศภาวะฉุกเฉิน สลายการชุมนุมไปทีละจุด ทีละจุด พลพรรคเสื้อแดงก็พยายามดิ้นรน ด้วยการก่อจลาจลหวังจะให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายกันทั้งกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ๆ เพื่อบีบให้นายกรัฐมนตรีลาออก
แต่ประชาชนทั้งหลายทั้งปวงไม่เล่นด้วย
“อย่าให้ผมต้องพ่ายแพ้นะพี่น้อง” ซึ่งทักษิณขอร้อง ไม่มีใครฟัง นอกจากคำถามย้อนกลับว่า
ใจมันทำด้วยอะไร?
ทักษิณป่าวประกาศด้วยอาการกระหยิ่มยิ้มย่อง ว่าจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยใหม่ให้เป็นประเทศประชาธิปไตยใหม่
เป็นคำประกาศที่น่าเกรงขาม น่ากลัว น่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง
วันรุ่งขึ้นของการชุมนุมล้อมทำเนียบฯ พลพรรคเสื้อแดงก็ป่วนกรุงเทพฯ จนมหานครแห่งนี้เกือบจะกลายเป็นอัมพาต ด้วยการใช้รถแท็กซี่ไปขวางทางจราจรในจุดสำคัญๆ ของกรุงเทพฯ เช่น อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สุขุมวิทซอย 71 เป็นต้น
ครั้นถึงการประชุมอาเซียนบวก 3 บวก 6 ที่พัทยา ซึ่งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเตรียมการไว้เป็นอย่างดี ให้สัมภาษณ์นักข่าวทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วยความมั่นใจว่าจะสามารถจัดการประชุมได้ด้วยความเรียบร้อย ต้องล่มลงด้วยการที่พลพรรคคนเสื้อแดงบุกไปถึงโรงแรมที่จัดประชุม นายกรัฐมนตรีของเราต้องพาแขกเหรื่อขึ้นเฮลิคอปเตอร์หนีภัยกันจ้าละหวั่น บ้างไปทางน้ำด้วยเรือของกองทัพเรือ
ทำให้นักโทษหนีคุก ทักษิณ ชินวัตร เกิดอาการลิงโลดเข้าใจว่าเป็นชัยชนะ เกิดความคาดหวังว่าในเวลาอันไม่นานนี้ เขาจะสามารถกลับประเทศไทย และจะสามารถเข้าสู่อำนาจเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ได้
เหตุผลอันสำคัญยิ่งที่ทำให้อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษหนีคุก ทักษิณ ชินวัตร เคลิบเคลิ้มละเมอเพ้อพกได้ขนาดนั้น นอกจากจะเป็นเพราะโลกร้อนขึ้น เพราะแต่ละคนต่างก็ช่วยกันทำร้ายโลกแล้ว ปัญหาสำคัญยังอยู่ที่รัฐบาลผสมซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีนั่นเอง
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรัฐบาลที่มาแทนที่รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายสมัคร สุนทรเวช นอมินีตัวจริง หรือบริษัทบริวารที่ซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคุก ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่ง และเป็นส่วนใหญ่ของประเทศคาดหวังว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต่อกรกับระบอบทักษิณ หรือจัดการกับรอบอบทักษิณแตกต่างไปจากรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่มาเป็นรัฐบาลด้วยการเชื้อเชิญของคณะนายทหารที่ยึดอำนาจรัฐบาลเลว ทักษิณ ชินวัตร
แทนที่รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ จะได้ทำความเข้าใจกับประชาชนให้ประชาชนรู้ความชั่วความเลวของระบอบทักษิณ กลับเพิกเฉย ด้วยเกรงว่าคนเขาจะมองว่าเป็นเผด็จการ อยากจะแสดงให้ชาวโลกเห็นว่า เป็นประชาธิปไตย (ทั้งที่จริงๆ แล้วก็มาด้วยวิถีเผด็จการ)
ในที่สุดกองกำลังพลพรรคเสื้อแดงก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และเติบใหญ่อย่างถึงที่สุดเมื่อพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง นายสมัคร สุนทรเวช มาเป็นรัฐบาล
คดีความต่างๆ ที่แกนนำคนเสื้อแดงทำเอาไว้ ตำรวจพิจารณาด้วยความสุขุมรอบคอบ เป็นเดือนเป็นปีก็ยังไม่ส่งอัยการ ครั้นถึงอัยการ อัยการก็ยังไม่สั่งฟ้อง เช่น การบุกบ้านสี่เสาฯ ของท่านประธานองคมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ด้วยการเอาก้อนอิฐก้อนหินปาเข้าไปในบ้าน อัยการบอกว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ( ระวังเถอะ วันหนึ่งข้างหน้าเกิดประชาชนไปประท้วงอัยการที่บ้าน แล้วใช้ก้อนอิฐก้อนหินปาเข้าไป ก็ขอให้อัยการใช้เหตุผลอันเดียวกันนี้ สั่งไม่ฟ้องก็แล้วกัน )
ขณะเดียวกัน นักโทษหนีคุกทักษิณ ชินวัตร ก็พัฒนาวิธีการที่จะติดต่อสื่อสารกับบรรดาผู้ที่ยังจงรักภักดี สนับสนุนเขา จากการใช้แผ่นวีซีดีมาเป็นการโทรศัพท์ จนกระทั่งถึงการใช้วิดีโอลิงก์ ซึ่งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้แต่บอกกล่าวกับประชาชนว่า นั่นเป็นเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
รัฐบาลไม่มีปัญญาที่จะขัดขวาง ห้ามปราม หรือแม้กระทั่งตัดสัญญาณได้
แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงต่างก็รู้ว่า ถ้าหากจะตัดสัญญาณเมื่อใดก็ย่อมตัดได้ ก็เลยต้องขู่ไว้ก่อนว่าถ้าหากตัดสัญญาณเมื่อใด ก็เป็นเรื่องเมื่อนั้น จะยกระดับความรุนแรงขึ้นไปอีก จากการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยใหม่ชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ต่างตกอยู่ในสภาพเหมือนคนที่เป็นใบ้ ไม่ตอบโต้ ไม่ชี้แจง ปล่อยให้อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษหนีคุกปลุกพลพรรคเสื้อแดงให้ฮึกห้าวเหิมหาญ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ด้วยความหวังลึกๆ ว่า เทศกาลสงกรานต์ที่ประชาชนไม่ว่าจะใส่เสื้อสีใดก็ตาม จะกลับภูมิลำเนาไปพบปะครอบครัว เข้าวัดเข้าวา จะช่วยให้การชุมนุมลดระดับลง ซึ่งก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง หมดเทศกาลสงกรานต์แล้ว รัฐบาลก็จะต้องปวดหัวกับการชุมนุมของพลพรรคเสื้อแดงอีก
ที่สำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ปฏิบัติการของพลพรรคเสื้อแดงไม่สามารถขยายลุกลามได้ ก็เพราะการบุกยึดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งนอกจากเป็นเส้นทางการคมนาคมของประชาชนระดับชาวบ้านแล้ว บริเวณนั้นก็ยังมีโรงพยาบาลหลายต่อหลายแห่ง มีคนไข้ทั้งธรรมดาและฉุกเฉินจะต้องเข้าโรงพยาบาลในบริเวณนั้น เช่น โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ โรงพยาบาลโรคผิวหนัง โรงพยาบาลรามาธิบดี การปฏิบัติการของพวกเขาเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายกันในกรุงเทพฯ เพื่อบีบคั้นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะให้ลาออก ด้วยการปิดการจราจรนั้น พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงมนุษยธรรม ไม่ได้คำนึงถึงชีวิต ซึ่งก็ไม่แปลกสำหรับคนพวกนี้ ดูแต่นักโทษหนีคุก ทักษิณ ชินวัตร ยังให้ลูกเมียของเขาออกนอกประเทศ ในขณะที่เขาเรียกร้องให้ชาวบ้านทั่วไปต่อสู้เพื่อเขา
“อย่าให้ผมต้องพ่ายแพ้นะพี่น้อง” นักโทษหนีคุกทักษิณ ชินวัตร ออดอ้อนประชาชน
ดูเอาเถอะ พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย
ใจมันทำด้วยอะไร มันเป็นคนชนิดไหน?
ครั้นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้คิด ประกาศภาวะฉุกเฉิน สลายการชุมนุมไปทีละจุด ทีละจุด พลพรรคเสื้อแดงก็พยายามดิ้นรน ด้วยการก่อจลาจลหวังจะให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายกันทั้งกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ๆ เพื่อบีบให้นายกรัฐมนตรีลาออก
แต่ประชาชนทั้งหลายทั้งปวงไม่เล่นด้วย
“อย่าให้ผมต้องพ่ายแพ้นะพี่น้อง” ซึ่งทักษิณขอร้อง ไม่มีใครฟัง นอกจากคำถามย้อนกลับว่า
ใจมันทำด้วยอะไร?