xs
xsm
sm
md
lg

จากทุนดาวเทียมสู่ทุนก่อสร้าง

เผยแพร่:   โดย: อุษณีย์ เอกอุษณีษ์

จริงๆ จะว่าไปแล้ว การตั้งสมมติฐานวิพากษ์สังคมอเมริกัน ของนักวิจารณ์ร่วมสมัยอย่าง นอม ชอมสกี บนสมมติฐานว่า สังคมโลกในยุคปัจจุบันนี้ ก็หนีไม่พ้นความเป็นระบบทุนนิยมโดยรัฐ (State Capitalism) คือ เอกชนกลายเป็นผู้ขึ้นมาได้อำนาจการบริหาร หรือแฝงตัวเข้ามาบริหารประเทศในรูปของพรรคการเมือง และลงท้ายคือ หาทางก้าวขึ้นไปเป็นผู้ครอบครองปัจจัยการผลิตเพื่อกอบโกยความมั่งคั่งให้มากระจุกตัวอยู่ที่คนกลุ่มเดียว ภายใต้แนวทางในการกำหนดนโยบายเอื้อธุรกิจตัวเองทำร้ายคู่แข่ง

บนสมมติฐานนี้ เมื่อนำมาพิจารณาแล้ว แท้ที่จริงไม่ได้ใช้ได้แค่กับบ้านเขาเท่านั้น แต่ที่เมืองไทยเราก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างคลาสสิกของโมเดล หรือสมมติฐานที่ว่านี้ด้วย เพราะการเคลื่อนย้ายฮวงจุ้ยจากรัฐบาลระบอบทักษิณมาสู่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่คนชื่ออภิสิทธิ์ไม่ค่อยจะได้อภิสิทธิ์ในการตัดสินใจอะไรเท่าไรเลย แต่ไอ้คนที่ได้ไปเต็มๆ กับพวกที่แอบอ้างอยู่หลังเก้าอี้รัฐมนตรีบ้าง โดดเข้ามาฮุบเก้าอี้แบบชุบมือเปิบบ้าง แล้วคอยมาสั่งการนู่นนี่นั่นเสีย อย่างกับชาวบ้านเลือกตัวเองเข้ามา

ดังนั้น เมื่อมองเนื้อหาสาระของนโยบายที่ออกมาในช่วง 6 เดือนแรกของรัฐบาลชุดนี้ ก็ทำให้เกิดความหวาดระแวงแคลงใจได้เหมือนกันว่ามันจะเป็นการย้ายฐานอำนาจจากกลุ่มทุนสัมปทานสื่อสารสู่กลุ่มสัมปทานก่อสร้างที่ท้ายสุดจะลงเอยด้วยการกัดกินผลประโยชน์ของประชาชนได้รวดเร็วและร้ายแรงไม่แพ้กันหรือไม่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ประชาชนจะได้จากการต่อสู้คงไม่พ้นเปลี่ยนจากโกงผ่านขายหุ้นไม่เสียภาษี ขายดาวเทียมแถมวงโคจร ขายนโยบายเจรจาเอฟทีเอแลกสัมปทานมือถือนอกราชอาณาจักร- ทั่วโลก

และอีกหลายต่อหลายโครงการโดยจะเปลี่ยนมาเป็นกลโกงที่คลาสสิกน้อยลงมาหน่อย ไม่ซับซ้อน ไม่มีหลายชั้น ไม่ต้องโกงเชิงนโยบาย แต่กลายมาเป็นโกงกันแบบดาดๆ จะเอาให้ ไม่ต้องอายฟ้าอายดิน ไม่ต้องอาศัยเทคนิควิธี ไม่เน้นโกงเนียน แต่เน้นโกงแบบด้านๆ ชนิดให้ไล่ยังไงก็ไม่มีทางไปแน่นอน

เอากันตั้งแต่โครงการถนนปลอดฝุ่นภายใต้การผลักดันของพรรคการเมืองที่มีบริษัทก่อสร้างตั้งแต่ระดับชาติจนถึงระดับไม่ใหญ่มาก รวม 6 กลุ่มบริษัท เป็นผู้ร่วมขับเคลื่อน โครงการยังไม่ทันปรากฏ แต่ก็ให้มโนภาพออกมาได้แจ่มชัดว่า งบที่ว่าคงจะตกต้องอยู่ในภาวะที่ทั้งถูกจิกถูกทึ้งจากฝูงแร้งฝูงนี้ นี่ยังไม่รวมงบประมาณทางด้านการคมนาคม ที่ตัวเสนาบดีก็เคยมีประสบการณ์เข้าร่วมประมูลในฐานะนายทุน พ่อค้ามาแล้วอย่างโชกโชน จะรถไฟฟ้าสายสีเขียว เหลือง ม่วง คราม น้ำเงิน หรือจะสายไหนก็ไม่พ้น “เรือล่มในหนอง”

แต่ต้องไม่ลืมว่าคนในบ้านเราส่วนใหญ่ได้ผ่านประสบการณ์ต่อสู้และถูกปลูกฝังวัฒนธรรมการต่อสู้กับนักการเมืองขี้ฉ้อมาไม่นานนัก ผ่านการทดสอบมาแล้ว 2 ภาคใหญ่ๆ ขาดการเคลื่อนไหวอีกเพียงครั้งเดียว ก็จะกลายเป็นตำนานระดับมหากาพย์ ไตรภาค ...ฉะนั้นไอ้อาการที่เห็นประชาชนนิ่งเฉยเบื่อหน่ายการเมือง แล้วจะเข็นโครงการห่วยๆ เข้า ครม.แบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ก็น่าจะเป็นการดูหมิ่นมันสมองและระดับมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ที่ได้รับการฝึกให้เป็นพลเมืองเต็มขั้นเหล่านี้พอแรงทีเดียว

และถ้าหักหาญทำร้ายน้ำใจกันมากๆ เข้า ท้ายที่สุด การจะออกมานอนนอกบ้านของประชาชนจำนวนมากก็ไม่ใช่เรื่องยาก ที่ต้องใช้เวลาคิดกันนานอีกแล้ว จึงอยากให้คิดกันให้มากว่า พวกที่รอฉวยโอกาสเข็นรถเมล์ เข็นเรื่องแก้ไข รธน.เพื่อจะปล่อยผีทั้งหลายก็ขอให้ท่านได้ระวังกันไว้บ้าง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้มีหลายฝ่ายที่เป็นห่วงรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์เพราะกลัวว่า ความชั่วก็มีเพราะคนช่วยทำเยอะ ขณะที่ความดีก็ยังปรากฏไม่ชัด กลัวว่าเรื่องนี้จะซัดเอารัฐนาวาลำน้อยล่มไปเสียก่อนจะรุ่ง เพราะเวลา 6 เดือนที่นโยบายรัฐบาลกลายเป็นพาดหัวข่าวเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่แพ้ใคร ตั้งแต่ย้ายสนามบิน-เช่ารถเมล์-ประกันข้าว หรือกระทั่งคราวล่าสุด กับเหตุไฟใต้ที่ถูกใครหลายคนจับไปโยงว่าเป็นฝีมือของพวกเสียประโยชน์ไม่ใช่โจรใจร้ายที่ไหน นอกจากเรื่องเหล่านี้ จะเป็นหนทางในการทำลายความเชื่อใจแทนที่จะสร้างความเชื่อใจระหว่างพี่น้องในพื้นที่กับรัฐบาลแล้ว ยังทำให้คนไทยที่คอยเอาใจช่วยรัฐบาลของนายกฯ รูปหล่อ ต้องเสียความรู้สึกไปตามกันด้วย

นอกจากต้องรับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว เรื่องของการผสานกับกองทัพก็เป็นอีกเรื่องที่หลายคนจับตามอง เพราะหลังๆ มีภาพของความแตกแยกระหว่างกองทัพกับการเมืองออกมาทำลายคะแนนนิยมรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การแสดงความไม่พอใจในแนวคิดจะไม่ต่อ พ.ร.ก. ฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนใต้ ที่รัฐมนตรีกลาโหมบอกยังไงก็ต้องต่อ เพราะต้องให้ทหารดูแล ขณะที่หัวหน้ารัฐบาลก็ฉีกไปอีกทางอยากจะให้มีการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ตั้งองค์กรดูแลใหม่ เพื่อจะลดภาพความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ในสายตาประชาชนไทยในภาคใต้ แล้วยังจะมีกรณีปิดท้ายด้วยงบใต้ที่กลัวว่าจะถูกตัดทอน จนหลายคนต้องออกมาเต้นเร่าๆ เสียจนน่ากังวล

จะว่าไปความแตกแยกระหว่างทหารกับการเมืองก็มีให้เห็นมาตลอด แต่ที่เด่นชัดที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องของนโยบายความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านท่ามกลางกระแสข่าววิพากษ์วิจารณ์ออกมาจากฝั่งทหารว่า ปัจจุบันก็เริ่มจะมีความไม่ค่อยจะพอใจท่าทีของรัฐบาลไทยที่ออกแถลงการณ์ประณามพม่าอย่างรุนแรงจากกรณีกักตัวนางอองซาน ซูจีอีกกรณี อ้างว่าทำอย่างนี้เท่ากับสร้างความตึงเครียดจนต้องระงับแผนการเดินทางเยือนพม่าและอีกหลายโปรแกรมของกองทัพออกไป โดยที่ทางทหารก็อาจจะลืมมองว่ารัฐบาลในฐานะที่เป็นประธานอาเซียนก็จำเป็นต้องชูบทบาทของการนำและต้องตอกย้ำว่าเราเชิดชูคุณธรรมสากล เช่น เรื่องการต่อต้านการละเมิดสิทธิมนุษยชน

จึงไม่แปลกบุคลากรที่มีความสามารถอย่างรัฐมนตรีกษิต ภิรมย์ จะถูกมองด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรจากฝ่ายกองทัพ ส่วนกับคนในกระทรวงก็ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือ โดยไปมองว่าท่านเป็นคนหัวก้าวหน้า ไม่เหมือนคนกระทรวงการต่างประเทศทั่วไป ทั้งที่กระทรวงนี้ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงให้เหมือนชาวบ้านร้านตลาดเขา โดยนอกจากตัวท่านรัฐมนตรีกษิตแล้ว สายตาคนกระทรวงการต่างประเทศที่มองไปยังท่านทูตประจำกรุงฮานอย ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ทำหนังสือย้อนถามรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ว่าจะให้แก้ตัวต่อประเทศเพื่อนบ้านยังไงในเหตุการณ์ 7 ตุลา เมื่อรัฐบาลมือเปื้อนเลือดจริง

มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า เรื่องนี้ก็ทำให้คนในกระทรวงพากันเอาไปเมาท์ว่า ถ้าอยากเห็นอะไรแปลกก็ให้ติดต่อสถานทูตไทยในประเทศเวียดนามได้ ทั้งที่ทูตท่านนี้ก็มีความชัดเจนในบทบาทของตนเอง ยกตัวอย่างกรณีที่มีนักการเมือง หรือเจ้าหน้าที่บางคนว่างจัด อยากจะหนีไปรับลมแถวฮาลองเบย์ ดานัง ก็อ้างว่าจะขอไปดูงานเพราะจะได้งบเที่ยวฟรีสบายอุรา ปรากฏว่าไปเจอของจริง เพราะงานนี้ทูตท่านไม่เล่นด้วย ทำหนังสือตอบกลับมาว่า มาดูงานนี่ จะมาดูอะไรหรือครับ เล่นเอาอึ้งกันไปทั้งคนขอไป และคนส่งเรื่อง อย่างนี้รอบกรกฎาคมนี้ที่รัฐมนตรีกลาโหมและผบ.เหล่าทัพจะขนกันไปกว่าครึ่งร้อยในทริปเยือนเวียดนามไม่รู้จะถูกถามจากท่านทูตหรือเปล่า ว่าท่านรัฐมนตรีจะมาเจริญสัมพันธไมตรีหรือมารบกันแน่ครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น